บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 503 ร่างนั้นคือ…
บทที่ 503 ร่างนั้นคือ…
ฟุ่บ!
ทันทีที่กล่าวจบ ร่างของหวงฝู่ฉางเทียนก็พุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ฟาดฝ่ามือใส่ฟ่านอวิ๋นหลานอย่างรุนแรงดุจขุนเขา
เดิมที ฟ่านอวิ๋นหลานก็เกลียดชังอีกฝ่ายมานานแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าเขากำลังร่วมมือกับศัตรูและต้องการจับตัวนางเพื่อให้พวกมันได้เสพสมกับเรือนร่างของนาง ความเกลียดชังที่อัดแน่นอยู่ภายในใจก็ปะทุราวกับภูเขาไฟที่ระเบิดหินหลอมเหลวออกมา
จากนั้นนางก็วาดฝ่ามืออันบอบบางออกไป ก่อนจะพลิกฝ่ามือขึ้นมาและฟาดไปที่ฝ่ามือของหวงฝู่ฉางเทียนอย่างรุนแรง
ตู้ม!
คลื่นพลังที่น่าสะพรึงกลัวได้ระเบิดออกมาจากการปะทะของฝ่ามือทั้งสอง ทำให้ใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นโดยรอบได้รับผลกระทบจากคลื่นพลังจนแตกสลายกลายเป็นผุยผง อีกทั้งยังสั่นสะเทือนลานเล็ก ๆ แห่งนี้อย่างรุนแรง
คลื่นพลังพลันกระจายไปทั่วทิศทาง หวงฝู่ฉางเทียนโซเซถอยกลับไปสองสามก้าวและกระอักเลือดออกมาจากปากอย่างรุนแรง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงพร้อมกับคิดในใจว่า ‘ตั้งแต่เมื่อใดที่การบ่มเพาะของนางถึงแข็งแกร่งได้ขนาดนี้?’
ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนอง เจตนาฆ่าพลันส่องประกายในดวงตาของฟ่านอวิ๋นหลาน และปราณแท้อันทรงพลังได้บรรจบกันที่ปลายนิ้วของนางดุจกระบี่อันคมกริบที่อัดแน่นไปด้วยเต๋ารู้แจ้ง จากนั้นนางก็แทงนิ้วไปที่ลำคอของหวงฝู่ฉางเทียนอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
นางชิงชังคนทรยศที่น่ารังเกียจเช่นหวงฝู่ฉางเทียนเป็นอย่างมาก ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เขาใช้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเฉินซีเป็นเครื่องมือ แต่ยังชักจูงคนนอกเพื่อทำร้ายนางอีกด้วย การกระทำต่ำช้าดังกล่าว มันก็สมควรแล้วที่อีกฝ่ายจะถูกสังหารทิ้งเพื่อระบายความเกลียดชังในใจของนาง!!
“พี่หวงฝู่ ให้ข้าช่วยเจ้าเถอะ” เมื่ออวี๋เซวียนเฉินเห็นฉากนี้ สีหน้าของเขาพลันกลายเป็นโหดเหี้ยม จากนั้นร่างผอมบางก็พุ่งออกไปทันทีและจู่โจมฟ่านอวิ๋นหลานจากด้านข้าง
“ไสหัวไปซะ!” เรือนผมที่งดงามของฟ่านอวิ๋นหลานปลิวไสวไปตามแรงลม สายตาของนางดั่งสายฟ้าฟาด ใบหน้าที่เปี่ยมเสน่ห์และงดงามถูกปกคลุมด้วยเจตนาอย่างหนาแน่น จากนั้นนางก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า พลิกฝ่ามือขึ้นและฟาดออกไปอย่างรุนแรง ระเบิดพลังฝ่ามือใส่อวี๋เซวียนเฉินโดยตรง ทำให้เขากระเด็นออกไปราวกับว่าวที่สายป่านขาดและอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้จนยากที่จะอธิบาย
แต่หลังจากที่อวี๋เซวียนเฉินสอดมือช่วยเหลือ หวงฝู่ฉางเทียนจึงสามารถหลีกหนีภัยพิบัติได้ในที่สุด ร่างของเขาถอยหลังอย่างรวดเร็ว ในขณะที่สายตาซึ่งมองไปยังฟ่านอวิ๋นหลานนั้น มีร่องรอยของความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด และไม่กล้าที่จะลงมือกับนางอีก
ในอีกด้านหนึ่ง อวี๋เซวียนเฉินก็หวาดกลัวเช่นเดียวกับหวงฝู่ฉางเทียน เพราะเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าฟ่านอวิ๋นหลานจะรับมือได้ยากถึงเพียงนี้
“หึ พวกเศษสวะ! ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าต้องยอมสวามิภักดิ์ต่อพวกลิ่วล้อของราชวงศ์ระดับสูง ด้วยความแข็งแกร่งอันอ่อนด้อยเช่นนี้ พวกเจ้าก็เป็นได้แค่สุนับรับใช้ให้พวกมันเท่านั้น” ฟ่านอวิ๋นหลานรู้ตัวว่าสูญเสียโอกาสไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่คิดที่จะไล่ตามพวกหวงฝู่ฉางเทียนอีกต่อไป นางเพียงมองไปที่หวงฝู่ฉางเทียนกับอวี๋เซวียนเฉินอย่างเย็นชา พร้อมกับกล่าวด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
“เจ้า…” สีหน้าของหวงฝู่ฉางเทียนกับอวี๋เซวียนเฉินพลันบิดเบี้ยวจนน่ากลัว
“ฮึ่ม! ความแข็งแกร่งของเจ้าไม่เลวเลยนี่ แต่น่าเสียดายที่วันนี้เจ้าจะไม่ได้จากไป ทุกคน ร่วมมือกันจับนางซะ!” ลวี่เทียนเจ๋อตะโกนออกมา และระเบิดการโจมตีใส่ฟ่านอวิ๋นหลานทันที
ตู้ม!
ทันทีที่เขากล่าวจบ สายตาเย็นชาของผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ด้านข้างมาตั้งแต่ต้น พลันทอประกายอำมหิตขึ้นมา พวกเขาไม่ได้กล่าววาจาไร้สาระออกมา จากนั้นจึงปิดล้อมฟ่านอวิ๋นหลานจากทุกทิศทาง
ทันทีที่ลงมือ ความร่วมมือของพวกเขาก็สอดประสานกันอย่างลงตัว ขณะแผ่กระจายกลิ่นอายออกไปเพื่อปิดผนึกเส้นทางหลบหนีทั้งหมดของหญิงสาว ในขณะที่ปราณแท้อันทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวของพวกเขาก็โหมกระหน่ำเข้าหานางดุจห่าฝน
ดวงตาของฟ่านอวิ๋นหลานหรี่ลงขณะที่มองไปยังการโจมตีอันดุร้ายที่เทลงมาราวกับห่าฝน ความแข็งแกร่งของนางอยู่ที่ขอบเขตจุติระดับที่สี่ ดังนั้นนางจึงไม่สามารถหลบเลี่ยงได้เมื่อเผชิญกับการโจมตีผสานของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติทั้งสิบห้าคน
“ไม่ได้การ แม้ว่าจะตาย แต่ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้แก่นวิญญาณของข้าถูกพวกมันกักขังได้ มิฉะนั้นมันจะนำปัญหามาสู่เฉินซีอย่างแน่นอน… หากเป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดข้าถึงไม่จบชีวิตตัวเองเสียเลย…”
ในเสี้ยวพริบตานี้ ร่างสูงที่มีรอยยิ้มอันอบอุ่นและใบหน้าอันหล่อเหลาของเฉินซีก็ผุดขึ้นมาในความคิดของฟ่านอวิ๋นหลานอย่างช่วยไม่ได้ นางถอนหายใจออกมา ก่อนที่ความเหี้ยมโหดและความแน่วแน่จะฉายวาบขึ้นในดวงตาของนาง
ทว่าเมื่อการโจมตีที่ปกคลุมทั่วทั้งฟ้าดินกำลังจะระเบิดเข้าใส่ ฟ่านอวิ๋นหลานก็ตั้งใจที่จะจบชีวิตของนาง แต่ทันใดนั้นเสียงเสียดหูก็ดังขึ้น ก่อนที่เงาดำร่างหนึ่งจะพุ่งเข้ามาเหมือนภูตผี จากนั้นจึงปรากฏตัวต่อหน้านาง ส่งแสงสีแดงเข้มสาดส่องออกมาราวกับพระอาทิตย์ที่แผดเผา ก่อตัวเป็นม่านพลังทรงกลมขึ้นปกป้องสิ่งที่อยู่ภายใน!
โครม! โครม! โครม!
การโจมตีมากมายได้ระเบิดใส่ม่านพลังอย่างรุนแรง ทำให้เกิดระลอกคลื่นพลังจำนวนมาก ซึ่งพัดพาออกไปทุกทิศทาง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคลื่นพลังจะรุนแรงสักเพียงใด แต่แสงสีแดงเข้มที่ไหลวนอยู่บนม่านพลังก็ไม่มีการขยับเขยื้อนเลย และมันก็ปกป้องร่างทั้งสองที่อยู่ภายในอย่างแน่นหนา
แสงสีแดงเข้มที่ส่องประกายดั่งเปลวไฟที่ลุกโชน ทำให้ดวงตาที่ดำสนิทและใสกระจ่างของฟ่านอวิ๋นหลานต้องหรี่ตาลงอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากนั้นนางจึงเห็นร่างที่ยืนเด่นเป็นสง่าตรงหน้าได้อย่างชัดเจน…
ภายใต้การส่องสว่างของแสงสีแดงเข้ม ร่างนั้นสูงและตั้งตรงดุจกระบี่ ที่ถึงแม้ท้องฟ้าจะถล่มลงมา แต่มันก็ไม่สามารถบิดงอกระดูกสันหลังของร่างนี้ได้
ซึ่งนี่ก็คือคนที่ฟ่านอวิ๋นหลานคุ้นเคยมากที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเป็นคนที่แบกนางขึ้นไปบนยอดเขาทะยานสวรรค์ และต่อสู้เพื่อเข้าสู่น้ำตกเต๋ารู้แจ้ง… ภาพตอนที่นางเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งแวบเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นเป็นช่วงวิกฤตที่ถูกปิดล้อมโดยศัตรูมากมาย! ฟ่านอวิ๋นหลานได้เผยความหลงใหลออกมา ในขณะที่นางจ้องมองร่างที่อยู่ตรงหน้าด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้า
ในที่สุดร่างนั้นก็หันกลับมาและยิ้มให้กับหญิงสาวผู้งดงามที่อยู่ข้างหลัง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและขอโทษ จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “อภัยให้ข้าด้วย ที่ข้ามาช้าไป”
เมื่อเห็นรูปลักษณ์และเสียงที่คุ้นเคยของเฉินซี ร่างกายของฟ่านอวิ๋นหลานก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน นางกัดริมฝีปากสีแดงสดและส่ายศีรษะอย่างดื้อรั้น แต่น้ำตาที่ใสดั่งผลึกที่อยู่ภายในหัวใจนางกลับไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป มันจึงพรั่งพรูออกมาจากดวงตาคู่น้อยคู่นั้น
เมื่อครู่ที่ผ่านมา นางนึกคิดว่าตนเองคงไม่มีโอกาสเห็นใบหน้าของชายหนุ่มอีกต่อไป แต่เมื่อมองไปยังร่างที่คอยหลอกหลอนนางอยู่ในความฝันและปรากฏขึ้นตรงหน้า นางก็รู้สึกกังวลว่านี่เป็นความฝันหรือภาพหลอนก่อนตายกันแน่
เมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ที่โดดเดี่ยวและหมดท่าของฟ่านอวิ๋นหลาน ความเจ็บปวดที่อธิบายไม่ได้ก็เสียดแทงหัวใจของเฉินซีทันที เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นจึงวางมือลงบนไหล่ของหญิงสาวและกล่าวที่ข้างหูของนางอย่างแผ่วเบาว่า “ข้าขอสัญญา ว่าจะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานอีกในอนาคต ส่วนที่เหลือจากนี้… เจ้าปล่อยให้ข้าจัดการเถอะ”
ทันใดนั้น ฟ่านอวิ๋นหลานก็เงยหน้าขึ้นและกล่าวอย่างกระวนกระวายว่า “เจ้า…” นางยังกล่าวไม่ทันจบ เฉินซีก็ใช้นิ้วปิดปากของนาง
“เชื่อในตัวข้า” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อืม” เมื่อเห็นรอยยิ้มที่อบอุ่นและชัดเจนซึ่งเหมือนกับแสงแดดที่ส่องบนใบหน้าของเฉินซี ความหวาดกลัว ความโกรธเกรี้ยว ความขุ่นเคือง ความกังวล และความสิ้นหวังที่อยู่ในใจของฟ่านอวิ๋นหลานนั้น ก็ถูกลบล้างไปจนหมดสิ้น หัวใจของนางขณะนี้รู้สึกสงบและอบอุ่นยิ่ง
แสงสีแดงเข้มค่อย ๆ จางลงก่อนที่จะเลือนหายไปในที่สุด
ดวงตาของลวี่เทียนเจ๋อและคนอื่น ๆ เริ่มมืดมนทันทีเมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีปรากฏอยู่ตรงหน้าฟ่านอวิ๋นหลาน
ลวี่เทียนเจ๋อจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัวว่า “ไอ้โง่คนนี้มาจากไหนกัน? นี่มันคิดจะเป็นวีรบุรุษช่วยเหลือหญิงงามหรือ?! ช่างน่าหัวเราะเสียจริง! ในโลกใบนี้ยังมีคนโง่เขลาที่กระทำเรื่องโง่ ๆ เช่นนี้อยู่จริง ๆ หรือนี่?”
“องค์รัชทายาท มัน…มันคือเฉินซี” เมื่อหวงฝู่ฉางเทียนเห็นร่างของเฉินซี รูม่านตาของเขาก็หดตัวลง จากนั้นจึงอธิบายอย่างรวดเร็ว
“เฉินซี?!” ในขณะนี้ คนอื่น ๆ รวมถึงลวี่เทียนเจ๋อต่างก็ตกตะลึง เนื่องจากพวกเขาดูจะไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า คู่ต่อสู้ที่พวกเขาเพียรพยายามหาโอกาสที่จะสังหาร จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวต่อหน้าเช่นนี้!
“ฮ่า ๆๆ… เราใช้ความพยายามอย่างมากในการตามหามัน แต่มันกลับปรากฏตัวต่อหน้าเราเสียเอง!” หลังจากลวี่เทียนเจ๋อได้สติจากการตกตะลึง ความปีติยินดีพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา จากนั้นจึงจ้องมองเฉินซีด้วยสายตาอันน่ากลัวและกล่าวว่า “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าจะโง่เง่าถึงขั้นพาตัวเองมาเข้าสู่กับดัก สวรรค์ช่างเมตตาเสียจริง ๆ!”
ขณะที่กล่าว เขาก็ยื่นมือออกไปและชี้ไปที่ผู้คนซึ่งอยู่เคียงข้าง “จงแหกตาดูซะ ไม่เพียงแต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ของราชวงศ์ต้าเสวียนของข้าจะอยู่ที่นี่เท่านั้น แต่ยังมีผู้เยี่ยมยุทธ์ของราชวงศ์ต้าเฉียน ราชวงศ์ต้าฉิน และราชวงศ์ต้าจิ้นเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดล้วนเกลียดชังเจ้าเข้ากระดูกดำ แต่เจ้ากลับกล้าเสนอมาที่นี่คนเดียว เจ้ากำลังรนหาที่ตายอย่างแท้จริง!”
“องค์รัชทายาท แม้ว่าการบ่มเพาะของมันจะเป็นเพียงขอบเขตจุติขั้นต้น แต่ความแข็งแกร่งมันก็น่ากลัวถึงขีดสุด ดังนั้นเราควรระมัดระวัง” หวงฝู่ฉางเทียนกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบาจากด้านข้าง
“พี่หวงฝู่กล่าวถูกต้องแล้ว เจ้าเด็กบัดซบคนนี้มีพรสวรรค์ที่น่าตกตะลึงสุดขั้ว ในช่วงที่เรายังอยู่ในราชวงศ์ซ่ง ความแข็งแกร่งของมันก็เหนือล้ำกว่าผู้บ่มเพาะที่อยู่ในขอบเขตเดียวกันมาก ดังนั้นมันจึงทรงพลังยิ่งนัก” อวี๋เซวียนเฉินพยักหน้าเช่นกัน
“ฮึ่ม! ข้ารู้ซึ้งถึงความสามารถของมันได้อย่างถ่องแท้แล้ว เจ้าทั้งคู่ไม่ต้องกล่าวอะไรอีกแล้ว” เนื่องจากลวี่เทียนเจ๋อกล้าที่จะเป็นศัตรูกับเฉินซี เขาย่อมรู้ถึงความสำเร็จอันยอดเยี่ยมมากมายที่ชายหนุ่มได้กระทำที่เกาะสมบัติที่ร่วงหล่น แต่ถึงจะรู้… ทว่าเขาก็ยังคงมั่นใจที่จะจัดการเฉินซีที่นี่ในวันนี้!
หวงฝู่ฉางเทียนกับอวี๋เซวียนเฉินเงียบทันทีเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้ หากแต่บนใบหน้าก็ยังคงจริงจังและระมัดระวังยิ่ง
“พวกเจ้าอย่าได้กังวล องค์รัชทายาทได้วางค่ายกลเก้าขุนเขาสยบโลกาในบริเวณลานเล็กแห่งนี้มาตั้งนานแล้ว มันจะไม่มีวันหลบหนีไปได้แม้ว่าจะต้องการก็ตาม” ผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์ต้าเสวียนอดไม่ได้ที่จะอธิบายเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของพวกเขา ซึ่งน้ำเสียงของคนผู้นี้ก็เผยให้เห็นถึงความเฉยเมย เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกว่าหวงฝู่ฉางเทียนกับอวี๋เซวียนเฉินนั้นระมัดระวังและขี้ขลาดเกินไป
“ที่แท้องค์รัชทายาทได้ทรงตระเตรียมทุกอย่างไว้นานแล้ว หากเป็นเช่นนั้นก็คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้ว…” หวงฝู่ฉางเทียนและอวี๋เซวียนเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทำให้สีหน้าของพวกเขาผ่อนคลายลง จนมีอารมณ์ที่จะยั่วยุเฉินซีว่า “อ้อ ข้าลืมบอกไป ลู่เซียวกับจ้าวชิงเหอถูกข้าสังหารไปแล้ว ช่วยไม่ได้ ใครขอให้พวกเขาเป็นพวกเศษสวะของราชวงศ์ซ่งกัน!”
ในขณะที่ลวี่เทียนเจ๋อและคนอื่น ๆ กำลังพูดคุยกัน เฉินซีเพียงเฝ้าดูจากที่ด้านข้างอย่างเย็นชามาโดยตลอด และแม้จะได้ยินว่าอีกฝ่ายตั้งใจที่จะปิดเส้นทางหลบหนีด้วยค่ายกลเก้าขุนเขาสยบโลกา แต่สีหน้าของชายหนุ่มก็ไม่ได้เผยความหวั่นไหวออกมาเลยแม้แต่น้อย
แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่หวงฝู่ฉางเทียนกล่าว ดวงตาของเขาก็ฉายแสงเย็นยะเยือกออกมาทันที จากนั้นจึงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าก็เลยตั้งใจจะทรยศต่อราชวงศ์ซ่งใช่หรือไม่?”
“ทรยศ? คนฉลาดมักเลือกติดตามผู้นำที่ดี! ในเมื่อข้าสามารถมาถึงสมรภูมิบรรพกาลโดยยังมีชีวิตรอดได้ เหตุใดข้าถึงต้องตายไปพร้อมกับพวกเจ้าด้วย? อย่าได้ทำตัวโง่เขลาไปหน่อยเลย ราชวงศ์ระดับกลางไม่มีอำนาจที่จะต่อรองในสมรภูมิบรรพกาลได้อย่างเต็มที่หรอก และคนแทบทั้งหมดล้วนตายในการทดสอบสุดท้าย ข้าทำไปก็เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง เจ้าเข้าใจหรือยัง?”
“เจ้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกันหรือ?” เฉินซีไม่ได้สนใจหวงฝู่ฉางเทียนอีกต่อไป และสายตาของเขาก็มองไปที่อวี๋เซวียนเฉิน ในขณะที่ใบหน้าอันเย็นชาของชายหนุ่มก็เผยให้เห็นถึงแรงกดดัน
อวี๋เซวียนเฉินไม่กล้าสบสายตาของเฉินซี และก็เงียบไปครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับความคิดเห็นของหวงฝู่ฉางเทียนโดยปริยาย
“อันที่จริง ข้าไม่อาจยอมรับสิ่งที่พวกเจ้ากระทำลงไปได้ และก็คาดหวังว่าตนเองคงจะคิดผิด เพราะข้ารู้สึกว่าเจ้าทั้งคู่ถูกบีบบังคับให้กระทำสิ่งที่ต่ำช้าเลวทราม แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าจะคาดหวังกับพวกเจ้ามากเกินไป” ในขณะที่เสียงพึมพำของเฉินซีก้องไปทั่วทั้งลานเล็ก สีหน้าของเขาก็เย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในที่สุดมันก็กลายเป็นเฉยเมยและไร้ความปรานี จากนั้นเขาก็กล่าวว่า
“แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ข้าจะได้ฆ่าพวกเจ้าทั้งคู่ได้อย่างสบายใจ!”