บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 516 ปรากฏการณ์ที่อุบัติมาจากฟากฟ้า
บทที่ 516 ปรากฏการณ์ที่อุบัติมาจากฟากฟ้า
จู่ ๆ เจิ้นหลิวชิงกับชิงซิ่วอี้ก็ปรากฏตัวขึ้น ในขณะที่สร้างข่ายพลังหยินหยางปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้า!
สิ่งที่ปรากฏขึ้นนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงทันที
เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าหญิงสาวทั้งสองคนนี้ถูกซางคุนจับตัวไปเมื่อนานมาแล้ว และพวกนางก็กลายเป็นเชลย อีกทั้งยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เฉินซีบุกตระกูลซางเพียงลำพังก็เพื่อช่วยเหลือพวกนาง
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่เพียงแต่หญิงสาวสองคนนี้จะยังมีชีวิตอยู่ แต่พวกนางกลับปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยเหลือเฉินซีที่กำลังจะตาย เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันนี้จะไม่ทำให้ผู้คนต้องแปลกใจได้อย่างไร
“บัดซบ เป็นไปได้อย่างไรกัน!? เหตุใดเจ้าทั้งคู่ถึงยังมีชีวิตอยู่! แล้วนายน้อยของข้าล่ะ!? หรือว่า…?”
เมื่อมองไปยังชิงซิ่วอี้กับเจิ้นหลิวชิงที่ยืนอยู่กลางอากาศอย่างภาคภูมิ ใบหน้าของซางเชวี่ยก็พลันเปลี่ยนเป็นตกตะลึงและเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่เชื่อ จากนั้นเขาก็อุทานด้วยความตกใจ
ผู้คนล้วนมองชายหนุ่มด้วยสายตาสมเพช ราวกับเขาถูกคนทั้งโลกทอดทิ้ง จึงทำให้คนถูกมองรู้สึกขุ่นเคืองอย่างยิ่ง กอปรกับความรู้สึกสิ้นหวังและหมดหนทางก็แทบทำให้เขาเสียสติ
เขาหันหลังกลับและรีบรุดไปหาซางคุนอย่างโซซัดโซเซ
ด้วยไม่อยากเชื่อว่าซางคุนนั้นตายแล้ว เขาจึงไม่สามารถแบกรับผลที่ตามมาได้! และเมื่อคิดถึงใบหน้าอันโกรธเกรี้ยวของผู้อาวุโสในตระกูลยามรู้เรื่องนี้ หัวใจของเขาพลันสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว และซางเชวี่ยก็ไม่ปรารถนาสิ่งใดนอกจากความตายในตอนนี้
ซางคุนเป็นความหวังของตระกูลซางและเป็นผู้สืบทอดที่ผู้อาวุโสในตระกูลให้ความสำคัญ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา แม้ว่าซางเชวี่ยจะสามารถเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้ แต่ก็คงไม่อาจหลีกเลี่ยงจากถูกตระกูลซางไล่ล่าได้
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก ในฐานะตระกูลอันทรงเกียรติจากอาณาจักรโบราณ ตระกูลซางจึงได้ส่งผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะนับไม่ถ้วนมายังแดนภวังค์ทมิฬ โดยผ่านสมรภูมิบรรพกาลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนเหล่านี้หยั่งรากและเติบโตเป็นกองกำลังแห่งแดนภวังค์ทมิฬมานานแล้ว ดังนั้นการลงโทษศิษย์ในตระกูลของพวกเขาก็ง่ายดายเหมือนการเป่าฝุ่น
อันที่จริง ไม่ใช่แค่ตระกูลซางเท่านั้น แม้แต่ราชวงศ์และกองกำลังอื่น ๆ ก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจในแดนภวังค์ทมิฬไม่มากก็น้อย เช่นเดียวกับเหล่าศิษย์ของตระกูลอันทรงเกียรติและราชวงศ์ระดับสูงสุด พวกเขาจะต้องเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬเท่านั้น จึงจะได้รับการส่งเสริมมากมาย ซึ่งนี่คือที่มาของทรัพยากรในกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา
เฉินซีไม่ได้หยุดซางเชวี่ย เนื่องจากเขาไม่มีเรี่ยวแรงพอจะหยุดอีกฝ่าย ในตอนนี้ ตราบใดที่ชายหนุ่มยืนยันได้ว่าชิงซิ่วอี้กับเจิ้นหลิวชิงยังมีชีวิตอยู่ เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญอีกต่อไป
ในทางกลับกัน เฟิงเจี้ยนไป๋ก็ไม่ได้ขัดขวางซางเชวี่ยเช่นกัน ส่วนเหตุผลนั้นง่ายดายมาก เพราะเขาถูกกลิ่นอายของหญิงสาวทั้งสองกดดันลงมา หากเคลื่อนไหวอย่างผลีผลาม เขาจะถูกพวกนางโจมตีอย่างแน่นอน
แม้ว่าจะมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองมาก แต่เขาก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อยเมื่อเผชิญหน้ากับข่ายหยินหยางบนท้องฟ้าที่ควบแน่นจากพลังงานแห่งแสงและความมืด
ดังนั้นแม้ว่าเฉินซีจะอยู่ห่างจากตนเพียงสิบสองจั้ง แต่เขาก็ไม่กล้าลงมืออย่างผลีผลาม
แต่ก็ไม่มีทางที่เขาจะยอมแพ้ไปเช่นนี้ ไม่ว่าจะเพื่อศักดิ์ศรีของตระกูลเฟิงหรือเพียงเพื่อทำลายเฉินซี เขาต้องตัดสินใจเพื่อที่จะสามารถพลิกสถานการณ์โดยรวมได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อลังเลว่าควรใช้ไพ่ตายหรือไม่ เจิ้นหลิวชิงที่ยืนอยู่ท่ามกลางอากาศก็กล่าวขึ้นมาทันที
“ข้าคิดว่าตัวเจ้าก็คงตระหนักได้เป็นอย่างดี หากพวกเราสู้กันจนถึงที่สุด ย่อมทำให้เกิดความสูญเสียทั้งสองฝ่าย เพราะเจ้าไม่ได้ตัวคนเดียว แต่เป็นตัวแทนของตระกูลเฟิงทั้งหมด หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเจ้า ก็คงจะมีกองกำลังมากมายที่ชุบมือเปิบและเหยียบต่ำตระกูลเฟิงอย่างมีความสุขอย่างแน่นอน”
เจิ้นหลิวชิงกล่าวออกมาอย่างคล่องแคล่ว น้ำเสียงของนางเย็นสบายและรื่นหูเหมือนน้ำพุที่ไหลริน
“งั้นปล่อยเฉินซีไปซะ แล้วเราจะถอนตัว เช่นนี้เป็นอย่างไร?”
เฟิงเจี้ยนไป๋เริ่มรู้สึกลังเลทันที เพราะเป็นดั่งที่เจิ้นหลิวชิงกล่าว เขาไม่กังวลว่าการคุกคามของหญิงสาวสองคนนี้จะทำร้ายตนได้ แต่เขาก็ต้องระมัดระวังไม่ให้กองกำลังอื่น ๆ ฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้
เพราะเขาตั้งใจจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตระกูลซางก่อนหน้านี้และเข้าควบคุมอาณาเขต แต่ถ้าสิ่งนั้นเกิดขึ้น มันคงเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถทนได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงรู้สึกหวั่นไหวต่อข้อเสนอของเจิ้นหลิวชิง
“ไม่ได้ มันต้องถูกฆ่า!”
อย่างไรก็ตาม เมื่อเฟิงเจี้ยนไป๋ตัดสินใจได้และตั้งใจจะกล่าว กับชิงซิ่วอี้ซึ่งอยู่อีกฝั่งก็กล่าวขึ้นทันทีและนางก็ปฏิเสธข้อเสนอนี้
เฟิงเจี้ยนไป๋รู้สึกโกรธแค้นทันที
“บัดซบ พวกนางคิดว่าข้าเป็นวัวควายที่รอการเชือด เพียงเพราะไม่ได้กล่าวเองหรือ!?”
“ฟังข้านะ เพื่อเห็นแก่เฉินซี” เจิ้นหลิวชิงมองไปที่ชิงซิ่วอี้และกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง ส่วนเฟิงเจี้ยนไป๋ที่กำลังโกรธ นางก็ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
เพราะนางมั่นใจเป็นอย่างมากว่า เมื่อสถานการณ์ยังไม่ชัดเจนและอาจทำให้ตัวเองต้องเสียประโยชน์ คนที่น่ารังเกียจอย่างเฟิงเจี้ยนไป๋ซึ่งถูกกระตุ้นด้วยผลประโยชน์จะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองถูกความโกรธชักนำอย่างแน่นอน
เช่นเดียวกับที่เจิ้นหลิวชิงคาดเดาไว้ เฟิงเจี้ยนไป๋ก็ระงับความโกรธในใจของเขาทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นความรู้สึกไม่พอใจก็เกิดขึ้นในใจ ‘นี่ข้ามอบอำนาจการตัดสินใจให้แก่พวกนางตั้งแต่เมื่อใดกัน แล้วเหตุใดข้าถึงต้องมาทำความต้องการของพวกนางด้วย?’
ความรู้สึกนี้ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก ในฐานะผู้นำศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูลเฟิง แม้แต่ภายในเมืองบรรพกาล เขาก็ได้รับความเคารพจากทุกหนทุกแห่ง แล้วจะเคยถูกปฏิบัติเช่นนี้ได้อย่างไร? แต่เพื่อผลประโยชน์ของตระกูลเฟิง เขายังต้องกัดฟันฝืนทน
“ไม่ การฆ่ามันก็เพื่อประโยชน์แก่เฉินซีเช่นกัน” ร่างของชิงซิ่วอี้สูงส่งดุจเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ และเมื่อใดก็ตามที่นางตัดสินใจ มันก็จะกลายเป็นเรื่องยากหากต้องการเปลี่ยนแปลงหรือล้มเลิก
ในขณะนี้ เฟิงเจี้ยนไป๋อดไม่ได้ที่จะก่นด่าสาปแช่ง “พวกเจ้าจะเอาอย่างไร? ในเมื่อยังไม่ตัดสินใจ เช่นนั้นก็เชิญพวกเจ้าไปถกเถียงกันให้เสร็จค่อยมากล่าวได้หรือไม่! รู้หรือไม่ว่ามันน่าขุ่นเคืองขนาดไหน!”
สิ่งที่ทำให้เขาขุ่นเคืองเป็นอย่างมากก็คือ การที่หญิงสาวสองคนนี้เอาแต่กล่าวเพื่อเห็นแก่เฉินซี และพวกนางก็ไม่ได้สนใจความรู้สึกของเขาแม้แต่น้อย ราวกับไม่เห็นเฟิงเจี้ยนไป๋อยู่ในสายตาเลย!
เมื่อนึกถึงสายตานับไม่ถ้วนที่จ้องมองมายังตนจากด้านข้าง เฟิงเจี้ยนไป๋ก็ไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากอยากบีบคอหญิงสาวสองคนนี้ให้ตายคามือ
แต่… เขายังคงอดกลั้นได้ในที่สุด
ในขณะนี้ แม้แต่เฟิงเจี้ยนไป๋ก็ยังรู้สึกชื่นชมความอดทนของตัวเองเล็กน้อย…
เช่นเดียวกับที่เจิ้นหลิวชิงคิด ด้วยลักษณะนิสัยของเฟิงเจี้ยนไป๋ เขาจะทำเช่นนี้อย่างแน่นอนและไม่ใช่คนใจร้อนที่จะโกรธเกรี้ยวหรือเพิกเฉยต่อทุกสิ่ง
ผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ไกลออกไปล้วนรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก เนื่องจากพวกเขาไม่เคยคาดคิดว่า เจิ้นหลิวชิงกับชิงซิ่วอี้จะสามารถควบคุมการตัดสินใจภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ได้ ซึ่งแม้แต่เฟิงเจี้ยนไป๋ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอดกลั้นความขุ่นเคืองเอาไว้
พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการว่า ราชวงศ์ระดับกลางอย่างราชวงศ์ซ่งจะมีผู้โดดเด่นอยู่มากมายขนาดไหน แค่ความอหังการของเฉินซีคนเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนต้องอุทานด้วยความชื่นชม แต่ตอนนี้ยังมีเจิ้นหลิวชิงกับชิงซิ่วอี้ที่มีความสามารถเทียบเท่ากับเฉินซีอีก แล้วพวกเขาจะไม่ตกตะลึงได้อย่างไร?
“แล้วเหตุใดเราถึงไม่ฟังความคิดเห็นของเฉินซีล่ะ?”เจิ้นหลิวชิงรู้ว่าชิงซิ่วอี้มีเหตุผลของตัวเองในการยืนหยัด จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย ดังนั้นถ้าใครจะมีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของนางได้ คนผู้นั้นก็คงเป็นเฉินซี
ชิงซิ่วอี้ตกตะลึง เห็นได้ชัดว่านางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเจิ้นหลิวชิงจะเสนอคำแนะนำเช่นนี้ ดังนั้นเจ้าตัวจึงเม้มริมฝีปากในขณะที่เงียบไป
แม้ว่าในใจของนางจะให้อภัยแก่เฉินซีไปมากกว่าครึ่ง แต่ความภาคภูมิใจในกระดูกของนางก็ไม่ยอมให้ตอบตกลงต่อหน้าของชายหนุ่มในตอนนี้ หรืออาจกล่าวได้ว่านางไม่เต็มใจที่จะเป็นคนที่คอยรับฟังแต่คำพูดของเฉินซีเท่านั้น
ซึ่งแน่นอนว่านางก็อยากรู้ว่าเฉินซีจะเห็นด้วยกับความคิดเห็นของใครกันแน่ และด้วยวิธีนี้ ก็สามารถได้พิสูจน์ว่า ระหว่างตัวนางกับเจิ้นหลิวชิง ใครมีความสำคัญมากกว่ากันในหัวใจของเขา!
ถึงแม้ความคิดเช่นนี้จะแปลกประหลาด แต่ก็สามารถพบเห็นได้ทั่วไป และมักจะเกิดขึ้นเมื่อหญิงสาวสองคนต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงความรักจากผู้ชายคนหนึ่ง แต่ชิงซิ่วอี้ไม่ได้สังเกตสิ่งที่ไม่เหมาะสมจากการกระทำนี้
จึงเห็นได้ชัดว่า แม้ว่าจะเป็นเซียนสวรรค์ที่กลับชาติมาเกิด แต่นางก็ไม่ต่างจากมนุษย์เมื่อเผชิญกับความรักที่ยุ่งเหยิงระหว่างชายหญิง
ความเงียบของชิงซิ่วอี้ดูจะเป็นการยินยอมโดยปริยายอย่างไม่ต้องสงสัย
ในทางกลับกัน เฉินซีซึ่งเป็นคนที่เกี่ยวข้องก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นทุกข์ในใจ แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส อ่อนล้าโรยแรงเต็มทีและอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้อย่างยิ่ง แต่หนังศีรษะของเขาก็ยังรู้สึกชาเมื่อเผชิญกับปัญหานี้ และชายหนุ่มก็รู้สึกว่ามันยากเย็นยิ่งกว่าการต่อสู้กับศัตรูเสียอีก
แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตอบ เพราะในขณะนี้ ไม่ใช่แค่สายตาของเจิ้นหลิวชิงกับชิงซิ่วอี้ที่พุ่งมาทางตน แม้แต่สายตาของเฟิงเจี้ยนไป๋และผู้คนที่เฝ้าอยู่ไกลออกไปก็เพ่งมองมาที่เขาอย่างพร้อมเพรียงเช่นกัน!
บางทีในความคิดของเจิ้นหลิวชิงและชิงซิ่วอี้ อาจเป็นเพียงการแข่งขันระหว่างพวกนาง แต่สำหรับคนอื่น ๆ คำตอบของเฉินซีจะเป็นตัวกำหนดอะไรหลาย ๆ อย่าง
หากเขาเลือกการต่อสู้ มันจะทำให้กองกำลังอื่น ๆ ตื่นเต้น เพราะนั่นหมายความว่าพวกเขาจะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ในตอนท้าย
ในทางกลับกัน ถ้าเฉินซีเลือกที่จะหยุดการต่อสู้ มันก็เท่ากับเป็นการทำผิดต่อตัวเองและบังคับให้กล้ำกลืนความโกรธแค้นลงไป เพราะอย่างไร เฟิงเจี้ยนไป๋ก็ได้ไล่ต้อนเขาอย่างโหดเหี้ยมและเกือบทำให้ชายหนุ่มเอาชีวิตไม่รอด ความเกลียดชังระหว่างพวกเขาจึงก่อตัวขึ้นมา แม้ว่าตอนนี้ทั้งคู่จะหย่าศึกเป็นการชั่วคราว แต่การต่อสู้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งในอนาคต
บรรยากาศพลันเงียบลงโดยไม่มีใครสังเกตเห็น และมันก็เงียบสนิท สายตาของทุกคนพุ่งไปที่เฉินซี ขณะที่รอคำตอบของเฉินซีอย่างเงียบ ๆ
ครืนนนน!
อย่างไรก็ตาม เมื่อเฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และตั้งใจจะกล่าว เสียงโครมครามดุจเสียงฟ้าร้องก็ดังก้องมาจากระยะไกล อีกทั้งยังสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งฟ้าดิน ทำให้สายลมและมวลเมฆต่างพัดโหมกระหน่ำ
ทันใดนั้น ท้องฟ้าตรงนั้นก็ระเบิดออก ปรากฏรอยแยกขนาดมหึมาที่ดูเหมือนถูกเปิดออกโดยค้อนยักษ์ของทวยเทพ และภายในรอยแยกนั้นจู่ ๆ ก็ปรากฏลำแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งทะลวงผ่านขอบฟ้า ซึ่งเป็นเหมือนกับสะพานที่เชื่อมระหว่างสวรรค์และโลก อีกทั้งยังเปล่งแสงงดงามและเจิดจ้าอย่างยิ่งยวดออกมา
หลังจากนั้น ร่างจำนวนมากที่ถูกปกคลุมด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ก็เดินออกมาจากบนสะพาน พวกเขาทั้งหมดมีรูปร่างท่าทางเหมือนเซียนและสวมเสื้อผ้าที่มีแขนเสื้อที่กระพือไปในอากาศ ร่างกายของพวกเขาเปล่งแสงที่ส่องประกาย ซึ่งทำให้คนกลุ่มนี้ดูเหมือนดวงอาทิตย์
นอกจากการปรากฏตัวอย่างต่อเนื่องของร่างเหล่านี้แล้ว ดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์หลายดวงได้ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อให้แสงสว่างแก่ฟ้าดิน และเมืองบรรพกาลทั้งหมดก็ถูกปกคลุมด้วยแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว จนทำให้ผู้คนรู้สึกไม่อาจหายใจได้
พลังที่ปลดปล่อยออกมานั้นสามารถทำให้ฟ้าดินต้องยอมสยบ
ครืนน!
เสียงดังดุจเสียงฟ้าร้องบังเกิดขึ้น รอยแตกบนท้องฟ้าพลันหายไป สะพานแสงเองก็แตกสลายไป เหลือเพียงร่างนับสิบที่เหมือนกับพระอาทิตย์ยังคงอยู่ และพวกเขาล้วนยืนอย่างภาคภูมิอยู่บนท้องฟ้า พร้อมกับเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ปกคลุมเมืองบรรพกาลได้ทั้งหมด
ในขณะนี้ เหล่าผู้บ่มเพาะในอาณาเขตทั้งแปดของเมืองบรรพกาลต่างหยุดทุกสิ่งที่กำลังทำอยู่ พวกเขาทั้งหมดต่างมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าที่ยากจะเหลือเชื่อและรู้สึกตกตะลึง!!!