บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 517 ทูตของแดนภวังค์ทมิฬ
บทที่ 517 ทูตของแดนภวังค์ทมิฬ
ร่างนับสิบที่เปล่งแสงเรืองรองดั่งพระอาทิตย์ ได้พุ่งทะยานฉีกผ่านท้องฟ้าและปรากฏตัวเหนือท้องฟ้าของเมืองบรรพกาล พวกเขาเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจราวกับทวยเทพที่จุติมายังโลก
เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันและไม่คาดคิดเช่นนี้ ได้สั่นสะเทือนไปทั้งเมืองบรรพกาลในทันที
“ทูตของแดนภวังค์ทมิฬ!”
“สวรรค์! เหตุใดทูตของแดนภวังค์ทมิฬจึงมาก่อนเวลาเช่นนี้”
“ช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก! ว่ากันว่าทูตของแดนภวังค์ทมิฬมาจากกองกำลังโบราณต่าง ๆ ซึ่งแต่ละคนก็มีฐานการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนปฐพี ตอนนี้ข้าได้เห็นพวกเขาด้วยตาของตัวเองแล้ว พวกเขาช่างคู่ควรกับคำร่ำลือจริง ๆ”
“เราต้องทำผลงานให้ดี หากเราได้รับเลือกจากหนึ่งในทูตเหล่านี้ เราก็จะมีโอกาสเป็นเซียนในชีวิตนี้อย่างแน่นอน!”
…
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ เมืองบรรพกาลทั้งหมดก็เกิดความโกลาหลไปทั่ว เสียงอุทานและเสียงโห่ร้องแผ่กระจายออกไปดุจคลื่นยักษ์ที่สั่นสะเทือนไปถึงฟ้าดิน ซึ่งเหล่าผู้บ่มเพาะในเมืองบรรพกาลในขณะนี้ต่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความกระตือรือร้น
คนทั้งหมดล้วนเป็นคนหนุ่มสาวที่มีความสามารถโดดเด่นของราชวงศ์ต่าง ๆ พวกเขาได้ผ่านภยันตรายและอุปสรรคทุกรูปแบบจนกระทั่งมาถึงเมืองบรรพกาล ซึ่งก็เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากทูตของแดนภวังค์ทมิฬและมีสิทธิ์ในการเข้าสู่โลกอันกว้างใหญ่และงดงามอย่างแดนภวังค์ทมิฬมิใช่หรือ?
เมื่อพวกเขาเห็นทูตของแดนภวังค์ทมิฬมาถึงที่นี่ในตอนนี้ ความตื่นเต้นและความคาดหวังในใจของพวกเขาก็เผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้น การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของทูตของแดนภวังค์ทมิฬก็ช่วยบรรเทาบรรยากาศอันตึงเครียดที่เกิดจากการเผชิญหน้าระหว่างเฉินซีกับเฟิงเจี้ยนไป๋ ทำให้ผู้คนที่อยู่ในบริเวณโดยรอบ ต่างก็จดจ้องไปยังร่างนับสิบบนท้องฟ้า
แม้แต่ชิงซิ่วอี้ซึ่งยืนกรานที่จะฆ่าเฟิงเจี้ยนไป๋ก็ล้มเลิกความคิดนี้ นางกับเจิ้นหลิวชิงพาเฉินซีหลบหนีจากเฟิงเจี้ยนไป๋และไปยังที่ปลอดภัย
ทางด้านเฟิงเจี้ยนไป๋ก็ไม่ได้ขัดขวางพวกนาง เนื่องจากเขาไม่มีความกล้าที่จะเปิดฉากต่อสู้ภายใต้การจ้องมองเหล่าทูต
ยิ่งไปกว่านั้น บทสนทนาระหว่างชิงซิ่วอี้กับเจิ้นหลิวชิงก่อนหน้านี้ได้ทรมานเขาจนแทบมอดไหม้จากข้างใน ดังนั้นเจ้าตัวจึงย่อมตั้งตารอให้เฉินซีจากไปโดยเร็วที่สุด
…
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เจิ้นหลิวชิงเอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวล เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ดูนางจะไม่สนใจทูตพวกนั้นเลยสักนิดและความคิดทั้งหมดของนางก็อยู่ที่เฉินซี ซึ่งในขณะที่กล่าว นางก็ช่วยชายหนุ่มเช็ดคราบเลือดบนร่างกายและทำความสะอาดบาดแผลให้แก่เขา
แม้ว่าจะรู้ดีว่า อาการบาดเจ็บเหล่านี้ไม่อาจทำให้เฉินซีเสียชีวิตได้และเขาต้องการเวลาเพียงระยะหนึ่งเท่านั้นเพื่อฟื้นฟูร่างกายอย่างรวดเร็ว แต่หญิงสาวก็ยังอดไม่ได้ที่จะทำเช่นนี้ ซึ่งการกระทำของนางก็อ่อนโยน ราวกับนางกลัวเป็นอย่างยิ่งว่าอาจทำให้เฉินซีเจ็บปวด
เฉินซีรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขาจึงกล่าวออกมาอย่างเขินอายว่า “ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก ข้าสามารถฟื้นฟูได้เร็วยิ่ง”
เจิ้นหลิวชิงกลอกตา จากนั้นถลึงตาใส่อีกฝ่ายด้วยความโกรธ “เจ้าอยู่นิ่ง ๆ ก็พอ จะเขินอายไปทำไมเล่า!”
ชิงซิ่วอี้ที่อยู่ใกล้เคียงตกตะลึงขณะที่มองดูเจิ้นหลิวชิงช่วยเฉินซีทำความสะอาดบาดแผลของเขาอย่างระมัดระวัง จากนั้นคิ้วอันงดงามของนางก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย และนางดูจะได้ตัดสินใจครั้งใหญ่บางอย่างได้
นางพลิกฝ่ามือที่บอบบางขึ้น ก่อนที่ขวดหยกสีขาวจะปรากฏขึ้น จากนั้นจึงส่งให้เจิ้นหลิวชิงและกล่าวว่า “นี่คือผงหยาดกุหลาบเทวะ และสรรพคุณทางยาของมันก็ไม่เลว มันสามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและความแข็งแกร่งของร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เจ้าช่วยทาให้เขาหน่อย”
ขณะที่กล่าว การจ้องมองของนางไม่เคยละสายตาจากเจิ้นหลิวชิงและเฉินซีเลย
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ทำให้เฉินซีตกใจอย่างมาก เนื่องจากชายหนุ่มไม่เคยคิดเลยว่าชิงซิ่วอี้จะเริ่มเป็นห่วงเป็นใยเขา ‘แม้มันจะเป็นเพียงขวดผงยา แต่แสดงว่า… ในใจนางไม่ได้เกลียดข้าอีกต่อไปแล้วหรือ?’
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เฉินซีก็รู้สึกมีความสุขอย่างสุดจะพรรณาและรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากอย่างช่วยไม่ได้ ทัศนคติที่เปลี่ยนไปของชิงซิ่วอี้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอย่างไม่ต้องสงสัย
“เจ้าดูจะมีความสุขเสียจริงนะ!” เจิ้นหลิวชิงชำเลืองมองเฉินซี จากนั้นจึงเปิดขวดหยก กระแสลมเย็นดุจหมอกน้ำแข็งได้พุ่งออกมาพร้อมกับกลิ่นหอมสดชื่น เมื่อถูกมืออันบอบบางของนางคว้าไว้เบา ๆ จากนั้นนางก็ตบมันลงไปที่บาดแผลของเฉินซีและเริ่มถูอย่างรุนแรง
ความหนาวเย็นที่เสียดกระดูกได้แผ่ไปตามบาดแผลและกระจายไปทั่วร่างกายของเขาทันที ทำให้เฉินซีอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านและมองไปยังเจิ้นหลิวชิงด้วยสายตาแปลกประหลาด
“นี่…นี่เจ้าหึงข้าหรือ?”
เจิ้นหลิวชิงจ้องมองเฉินซีจนใบหน้าอันงดงามนั้นขึ้นสีแดงระเรื่อ และนางก็ก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย จากนั้นหญิงสาวจึงจ้องมองไปที่บาดแผลบนร่างของชายหนุ่มและเช็ดมันอย่างระมัดระวัง ซึ่งการเคลื่อนไหวของมือนางก็อ่อนโยนอีกครั้ง
ในทางกลับกัน ชิงซิ่วอี้ยืนอยู่ที่ด้านข้างคนเดียวเงียบ ๆ ผมสีดำของนางถูกปล่อยลงมาดุจน้ำตก ในขณะที่ร่างอันเพรียวบางและสง่างามถูกปกคลุมด้วยชั้นหมอก ทำให้ท่าทางของนางดูห่างไกลจากโลกมากยิ่งขึ้น
“นั่นคือทูตจากแดนภวังค์ทมิฬหรือ?” เฉินซีเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เหล่าทูตซึ่งเป็นดั่งพระอาทิตย์มากมายบนท้องฟ้า และก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย
“ใช่แล้ว ทั้งสิบสามคนล้วนมาจากกองกำลังที่แตกต่างกันของแดนภวังค์ทมิฬ พวกเขามาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพื่อเฝ้าดูการทดสอบสุดท้ายในสมรภูมิบรรพกาล และผู้ที่มีความโดดเด่นในการทดสอบก็จะได้รับตราคำสั่งภวังค์ทมิฬ เพื่อเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้อย่างราบรื่น” เฉินซีพลันตกตะลึงดุจถูกสายฟ้าฟาด เนื่องจากคนที่ตอบเขาไม่ใช่เจิ้นหลิวชิง แต่กลับเป็นชิงซิ่วอี้ผู้นิ่งเงียบ น้ำเสียงของนางฟังดูสูงส่งและไร้ตัวตน มันกระซิบอยู่ในหูของเขาราวกับเสียงกระดิ่งลมในหุบเขา ช่างไพเราะเสนาะหูอย่างสุดจะพรรณนา
“หากผู้ใดได้รับความกรุณาจากทูตเหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะมีสิทธิ์ในการเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬเท่านั้น แต่ยังได้รับคัดเลือกให้เป็นศิษย์ของนิกายของพวกเขาอีกเช่นกัน ซึ่งนี่เป็นดั่งน้ำผึ้งก้อนโตที่มากไปด้วยความเย้ายวนที่ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ไม่อาจปฏิเสธได้”
“แต่เฉินซี ข้าเกรงว่าสถานการณ์ของพวกเราจะแย่ลง” จู่ ๆ เจิ้นหลิวชิงก็เงยหน้าขึ้นและกล่าวว่า “ทูตส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับศิษย์ของราชวงศ์บางแห่ง และตระกูลซางเองก็มีความสัมพันธ์ที่ว่าเช่นกัน ดังนั้นการที่เจ้าเข่นฆ่าคนของตระกูลซางไปจำนวนมากและถึงกับถอนรากถอนโคนพวกมัน ข้าจึงเกรงว่าอาจมีคนที่จ้องจะสร้างปัญหาให้แก่เจ้า”
“โอ้?” คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้นในขณะที่เขาถาม “หรือว่าในฐานะทูตของแดนภวังค์ทมิฬ พวกเขากล้าลงมือกับพวกเราโดยพลการ?”
“โดยปกติแล้ว มันจะไม่เกิดขึ้น แต่เราก็ต้องคอยระวังเหตุการณ์ไม่คาดฝันดังกล่าวเช่นกัน” ในขณะเดียวกัน เจิ้นหลิวชิงก็ช่วยเฉินซีทำความสะอาดบาดแผลของเขาจนเสร็จเรียบร้อย นางปัดมือและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวว่า “ไม่ต้องกล่าวถึงว่า หากทูตของแดนภวังค์ทมิฬต้องการจัดการกับใครก็ตาม พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องลงมือเอง พวกเขาแค่ต้องคิดวิธีที่จะทำให้เจ้ามีช่วงเวลาที่ยากลำบากและมันก็เพียงพอที่จะทำให้เจ้าต้องตายตกแล้ว”
เฉินซีรู้สึกวิตกกังวลอยู่ในใจและดูเหมือนเด็กหลงทาง หลังจากที่เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มจึงกล่าวออกไปว่า “ทวนเปิดเผยนั้นหลบหลีกง่าย แต่เกาทัณฑ์ลับนั้นยากจะระวัง ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาจริง ๆ มันคงจะลำบากน่าดู”
“ข้าจะไม่ยอมเด็ดขาด หากพวกเขากล้าลงมือกับเจ้า” จู่ ๆ ชิงซิ่วอี้ก็กล่าวขึ้นมา และดวงตาที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันลึกล้ำของนางก็เผยให้เห็นถึงความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว
เฉินซีตกตะลึงราวกับสายฟ้าฟาด จู่ ๆ ความรู้สึกอบอุ่นก็ผุดขึ้นในใจ จากนั้นเขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วเราจะไปใส่ใจทำไม? ทุกปัญหาล้วนมีวิธีแก้ไขอยู่เสมอ เรามาไกลขนาดนี้แล้ว ข้าไม่เชื่อว่าเราจะผ่านการทดสอบสุดท้ายไม่ได้”
ในขณะนี้ ชายชราที่มีหนวดเคราสีม่วงซึ่งกระพือไปตามสายลมและมีดวงตาที่ส่องประกายดุจสายฟ้าแลบ จู่ ๆ ก็ก้าวออกมาจากกลุ่มทูตทั้งสิบของแดนภวังค์ทมิฬที่ยืนอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวของเจ้าตัวแผ่พุ่งออกมาจากร่างอย่างดุเดือดและปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองบรรพกาล ทำให้ทุกคนเงียบลงอย่างพร้อมเพรียงกันและเสียงอึกทึกครึกโครมก็หายไปสู่ความว่างเปล่า
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มลึกว่า “ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงคาดเดาตัวตนของพวกข้าได้แล้ว ตามแผนแล้ว การทดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาลจะเริ่มขึ้นในอีกสามเดือนนับจากนี้ แต่สถานการณ์ในครั้งนี้พิเศษกว่าปกติ พวกข้าจึงจะเปิดการทดสอบสุดท้ายในอีกหนึ่งเดือนนับจากนี้ ดังนั้นพวกเจ้าทุกคนควรเตรียมตัวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
เสียงของเขาดังกึกก้องราวกับเสียงฟ้าร้องที่แผ่กระจายไปทั่วทั้งเมืองบรรพกาล
“อันใดนะ อีกแค่หนึ่งเดือน การทดสอบสุดท้ายก็จะมาถึงแล้ว!”
“สถานการณ์พิเศษ? หรือว่ามีเหตุการณ์ไม่คาดฝันบางอย่างเกิดขึ้น”
“เหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวเท่านั้น ดูเหมือนว่าเราจะต้องเตรียมตัวกันพอสมควร ข้าได้ยินมาว่าการทดสอบสุดท้ายนั้นแตกต่างกันไปทุกครั้ง ข้าสงสัยว่าการทดสอบในครั้งนี้จะเป็นอย่างไร”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ เหล่าผู้บ่มเพาะภายในเมืองก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้นมาทันที เนื่องจากพวกเขารู้สึกงุนงงสับสนกับการทดสอบขั้นสุดท้ายที่จะมาถึงในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า
แต่ชายชราคนนั้นไม่ได้ให้คำอธิบายแก่พวกเขา หลังจากที่ประกาศเรื่องนี้ เจ้าตัวก็พยักหน้าให้กับทูตที่อยู่ข้างเคียง ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังเมืองบรรพกาลอย่างรวดเร็ว
“เซวียหรานเฉิน คารวะบรรพบุรุษจื่อหมิง!” ในขณะนี้ มีร่างหนึ่งได้พุ่งทะยานไปทางชายชราเคราม่วงที่อยู่กลางอากาศ ร่างนั้นคือเซวียหรานเฉินจากตระกูลเซวีย
“อืม ข้ารู้จักเจ้า เจ้าเป็นผู้นำของรุ่นนี้ใช่หรือไม่?” ชายชราเคราม่วงพยักหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้ม ท่าทางของเขาอบอุ่นเป็นสุขขณะที่โบกมือและกล่าวว่า “ลุกขึ้นและนำทางไป ข้าได้ยินมาจากท่านปู่ของเจ้าว่า พรสวรรค์ของศิษย์ทุกคนที่เข้าสู่เมืองบรรพกาลในครั้งนี้ล้วนไม่ธรรมดา แสดงให้ข้าดูหน่อยสิว่ามันจริงหรือไม่”
“ขอรับ!” เซวียหรานเฉินยืนขึ้นทันทีก่อนที่จะนำทางชายชราจากไปด้วยท่าทางเคารพนบน้อม
ไม่ใช่แค่เซวียหรานเฉินเท่านั้น ยังมีบุคคลจำนวนมากที่โผล่ออกมาจากทุกมุมเมือง คนเหล่านั้นต่างก็โค้งคำนับต่อเหล่าทูตแห่งแดนภวังค์ทมิฬและเปิดเผยความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด
เห็นได้ชัดว่าศิษย์ของราชวงศ์เหล่านี้ ล้วนมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างใกล้ชิดกับทูตของแดนภวังค์ทมิฬเหล่านี้
ยิ่งกว่านั้น เฉินซียังสังเกตเห็นว่าทูตเหล่านี้ล้วนมีความใกล้ชิดกับศิษย์ของสามราชวงศ์ระดับสูงสุด และ… พวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ระดับกลาง!
ทว่าเฉินซีกลับต้องประหลาดใจ เพราะในขณะนี้ มีทูตสองคนได้ทะยานเข้ายังบริเวณที่เขาอยู่
คนหนึ่งเป็นชายชราสวมชุดสีเทา รูปร่างของเขาผอมแห้ง มีจมูกงองุ้มราวกับเหยี่ยวและริมฝีปากบาง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอย มีดวงตาที่ใสกระจ่างและลึกล้ำดุจสายฟ้าแลบ อีกทั้งยังเปล่งประกายอย่างน่าตกตะลึงเมื่อกะพริบตา
อีกด้านหนึ่งเป็นชายหนุ่มที่มีผมขาว หน้าตาหล่อเหลาและร่างสูงสง่า ทว่าเขากลับสวมเพียงชุดคลุมทอมือธรรมดา ๆ ผมสีขาวราวกับหิมะของเขาสยายไปทางด้านหลังและส่องประกายแวววาวอย่างแปลกประหลาด
โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นของเขา มันทั้งงดงามและเปล่งประกาย อีกทั้งยังแลดูผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ทำให้ผู้คนได้สัมผัสได้ถึงความผันผวน ราวกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ความสุขและความเศร้า การพลัดพรากและการกลับมาพบกันอีกครั้ง
“ฮึ่ม! แต่ละรุ่นกลับยิ่งแย่กว่ารุ่นก่อน ศิษย์ของตระกูลซางอยู่ที่ใด!? เหตุใดถึงไม่มีใครมาทักทายข้าเลยสักคนเดียว?” ชายชราที่สวมชุดสีเทาผู้มีดวงตาดุจสายฟ้าได้กวาดสายตาผ่านเฉินซีและคนอื่น ๆ อย่างเย็นชา และเมื่อสังเกตเห็นว่าไม่มีศิษย์ของตระกูลซาง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงอย่างเย็นชา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินซีและคนอื่น ๆ ก็รู้สึกหัวใจเต้นแรง อีกทั้งยังรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ได้ดำเนินไปด้วยดี
แม้แต่ผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ไกลออกไป ก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าแปลก ๆ บนใบหน้าของพวกเขา
“ท่านบรรพบุรุษหลิงหยา! ในที่สุดท่านก็มา!” หลังจากชายชราคนนั้นเพิ่งกล่าวจบ ร่างหนึ่งก็แวบเข้ามาจากระยะไกลอย่างรวดเร็ว จากนั้นร่างนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้นที่อยู่เบื้องหน้าของชายชราและร้องครวญอย่างโศกเศร้า
ที่แท้คนผู้นี้ก็คือซางเชวี่ย
“เหตุใดเจ้าถึงเศร้าโศกเสียใจเช่นนี้? หรือว่าเจ้าประสบกับเหตุร้ายบางอย่าง? จงว่ามา เกิดเหตุใดขึ้นกันแน่!?” ชายชราที่สวมชุดสีเทาจ้องมองอย่างพินิจพิเคราะห์ และจู่ ๆ เขาก็ตระหนักได้ถึงบางอย่างจากท่าทางที่น่าสังเวชของซางเชวี่ยในทันที
“มันคือไอ้บัดซบคนนั้น มันฆ่าศิษย์คนอื่น ๆ ของตระกูลซางของข้าอย่างโหดเหี้ยม แม้แต่นายน้อย…ก็ไม่รอด!” ซางเชวี่ยหันกลับไปมองเฉินซีที่อยู่ไกลออกไปอย่างขุ่นเคืองและกล่าวขณะกัดฟัน