บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 520 กลับชาติมาเกิดร้อยครั้ง
บทที่ 520 กลับชาติมาเกิดร้อยครั้ง
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของตาแก่คนนั้นไม่เพียงแต่ทำให้กลุ่มของเฉินซีตกใจ แม้แต่ดวงตาของอวิ๋นหลานเซิงยังหรี่ลง พลังชีวิตในร่างกายของเขาสั่นไหว เส้นผมสีขาวราวกับหิมะปลิวไสวขณะที่ยืนตั้งท่าป้องกันราวกับกำลังเผชิญกับศัตรูที่น่าสะพรึงกลัว
แต่เขากลับดูจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกและปลดกลิ่นอายออกเมื่อเห็นรูปลักษณ์ของชายชราอย่างชัดเจน ก่อนกล่าวด้วยความประหลาดใจและงุนงง “วิปลาสหลิ่ว เหตุใดเจ้าจึงมา…?”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดูเหมือนว่าจะจำอะไรบางอย่างได้ เขาชี้ไปที่เฉินซี “มาหาเขา?”
ดวงตาของตาแก่ขี้เหล้าปรือขึ้นเพื่อจ้องมองไปยังอวิ๋นหลานเซิงก่อนจะสบถคำ “เจ้าน่ะคนบ้า ทั้งครอบครัวของเจ้าเต็มไปด้วยคนบ้า!”
ใบหน้าของอวิ๋นหลานเซิงแข็งทื่อ เขาเกาจมูกและเงียบไป เขารู้จักตาเฒ่านี้เป็นอย่างดี ตาแก่นี่เป็นคนแปลกประหลาด แต่ก็มีพละกำลังที่น่าเกรงขามอย่างไม่อาจหาผู้ใดเทียบได้ และตนไม่มีทางได้เปรียบหากต้องมาทะเลาะกับตาแก่คนนี้
เฉินซีกับพวกพ้องตะลึงงัน ตาเฒ่านี่ดูแล้วเหมือนขอทานอย่างไรอย่างนั้น ยังกล้าพูดแบบนี้กับอวิ๋นหลานเซิงอีกหรือ? เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่น่าเกรงขามแฝงตัวมา?
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดสำหรับชายหนุ่มก็คือการที่ตาแก่สกปรกกำลังมองหาเขาอย่างเห็นได้ชัด ‘แต่…ข้าไม่รู้จักเขาเลยนะ?’ ไม่ว่าชายหนุ่มจะใช้สมองนึกมากแค่ไหน ก็ไม่อาจนึกออกว่าตาแก่คนนี้รู้ได้อย่างไรว่าตนคือเฉินซี
“เจ้ามีลักษณะของคนที่มากมีความสามารถจริง ๆ รูปร่างหน้าตาของเจ้าช่างหล่อเหลาซ้ำยังมีกระดูกที่ยอดเยี่ยม เจ้าเป็นต้นกล้าชั้นดีเลยทีเดียว” ชายชราผงกศีรษะอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นอวิ๋นหลานเซิงปิดปากอย่างเชื่อฟัง หลังจากนั้นสายตาของเขาก็จ้องเขม็งไปยังเฉินซีก่อนที่จะกล่าวชมเชย ราวกับว่าสังเกตเห็นหยกชิ้นดี ไม่ได้ปกปิดความหลงใหลเลยแม้แต่น้อย
เฉินซีอาจจะรู้สึกเขินหากเขาได้รับคำชมจากคนอื่น แต่เมื่อพบกับตาแก่คนนี้ มันก็มีเพียงแต่ความรู้สึกแปลก ๆ ในหัวใจของเขาเท่านั้น
มันคล้ายกับว่าขอทานกำลังสวมบทบาทเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างโลกที่ทำนายโชคชะตาของเขาด้วยการศึกษาโครงสร้างกระดูก ซึ่งให้ความรู้สึกไร้สาระยิ่ง
แต่ดูจากปฏิกิริยาก่อนหน้านี้ของอวิ๋นหลานเซิง เฉินซีจึงทราบว่าชายชราคนนี้มีนามว่าวิปลาสหลิ่ว เขาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และชายหนุ่มย่อมไม่กล้าตัดสินตาแก่คนนี้จากรูปลักษณ์ภายนอก
“ผู้อาวุโส…” เขาหายใจเข้าลึก ๆ กำลังจะกล่าวคำ ทว่าถูกขัดจังหวะด้วยการสะบัดมือของวิปลาสหลิ่ว “อย่าเรียกข้าว่าผู้อาวุโสมันห่างเหินเกินไป ข้าไม่ชอบ”
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วข้าจะเรียกท่านอย่างไรดี?”
“ไม่ว่าในกรณีใด จากนี้ไปเจ้าเป็นศิษย์ของข้า ดังนั้นจงเรียกข้าตามนั้น” วิปลาสหลิ่วลูบเคราแพะของเขาขณะยิ้ม
ศิษย์!?
เฉินซีตกใจพลางกล่าว “ผู้อาวุโส…”
“ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่ชอบให้เจ้าเรียกข้าว่าผู้อาวุโส!” วิปลาสหลิ่วจ้องเขม็งขณะที่ขัดจังหวะด้วยความโกรธเคืองอีกครั้ง
ชายหนุ่มปิดปากอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็เข้าใจความรู้สึกของอวิ๋นหลานเซิงว่าการพูดคุยกับตาแก่คนนี้อาจทำให้ขาดอากาศหายใจจนตายได้
“วิปลาสหลิ่วเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ซึ่งเป็นหนึ่งในสามนิกายมหากระบี่ในแดนภวังค์ทมิฬ เขามีบุคลิกที่แปลกประหลาด ทว่านิสัยก็ไม่ได้แย่ จงทำตามสิ่งที่เขาตั้งใจให้ทำ และหาเหตุผลที่เขามาหาเจ้า หลังจากที่เจ้าเข้าใจสถานการณ์แล้ว คงไม่สายไปที่จะตัดสินใจ” เสียงของอวิ๋นหลานเซิงแว่วเข้ามาในหู ทำให้เฉินซีเข้าใจตัวตนของชายชราในที่สุด ทว่าสิ่งที่ชายหนุ่มคาดเดาไม่ได้ก็คือตนไม่มีความเกี่ยวข้องกับวิปลาสหลิ่วเลย เหตุใดคนคนนี้ถึงมาหาเขา?
หรือว่าจะเป็น…
แสงแห่งการตระหนักรู้ปรากฏขึ้นในใจของเฉินซี ในขณะที่เขานึกถึงความเป็นไปได้ ความคิดก็หลุดออกจากปากของชายหนุ่ม “น้าไป๋ส่งท่านมาที่นี่หรือขอรับ?”
วิปลาสหลิ่วชะงักงันพลันหัวเราะเสียงดัง เขาชี้ไปที่ชายหนุ่ม “ไม่เลวเลยเจ้าหนู เจ้าช่างเฉลียวฉลาด ทั้งยังดีกว่าพวกศิษย์ผู้โง่เขลาที่ข้าเคยรับมาเสียอีก”
หลังจากนั้น สีหน้าของเขากลายเป็นจริงจังขณะส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “แม่นางน้อยไป๋ไม่ได้ส่งข้ามา แต่นางเป็นคนขอร้องให้ข้ามาหา อย่าตีความผิดไป”
เฉินซีเริ่มยิ้มออกมาเช่นกัน ในที่สุดก็เข้าใจว่าวิปลาสหลิ่วเกี่ยวข้องกับน้าไป๋ มันทำให้เขาเข้าใจได้อย่างง่ายดายว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงรู้จักเขาทันทีที่พบกัน
“แม่นางน้อยไป๋… จากตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วง?” อวิ๋นหลานเซิงที่อยู่ใกล้เคียงกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“ทำไมถึงถามมากเยี่ยงนี้? หรือว่าเจ้าต้องการจะแย่งเขาจากข้า?” ก่อนที่เฉินซีจะตอบกลับ วิปลาสหลิ่วจ้องมองกลับมาและพูดว่า “อย่าพูดถึงเจ้าเลย อวิ๋นหลานเซิง ต่อให้ประมุขนิกายแห่งนิกายวิถีกระแสสวรรค์มาหามันก็ยังไปไม่ได้!”
อวิ๋นหลานเซิงยักไหล่พลางหัวเราะอย่างขมขื่น ใคร ๆ ก็คงรู้สึกปวดหัวเมื่อต้องเจอกับตาแก่ที่รับมือยากเช่นนี้
ชิงซิ่วอี้มองไปรอบ ๆ และเห็นผู้บ่มเพาะจำนวนมากมองมาทางนี้ด้วยสายตาแปลก ๆ จึงทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจจนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ดังนั้นจึงกล่าวออกไปว่า “ไปกันเถอะ เพราะเขาไม่ใช่คนนอก พวกเรากลับกันก่อนแล้วค่อยคุยกันต่อ”
“เจ้า…” วิปลาสหลิ่วกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นรูปลักษณ์ของชิงซิ่วอี้ และไม่อาจหยุดน้ำตาที่ไหลออกมาได้ “นี่… ไม่ใช่ว่า…”
“ใช่ นางเอง” อวิ๋นหลานเซิงที่อยู่ด้านข้างพยักหน้า
“แสดงว่านางผ่านการกลับชาติมาเกิดครบร้อยครั้งแล้วหรือ?” วิปลาสหลิ่วมีท่าทีสับสนในขณะที่เขาพึมพำ และดูจะนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่ถูกผนึกไว้ในใจเป็นเวลานานออก
“วิปลาสหลิ่ว!” อวิ๋นหลานเซิงขมวดคิ้วพลางดุ
“อ๋อ เข้าใจแล้ว ข้าจะไม่พูดพล่ามอย่างแน่นอน” ชายชราตกตะลึง ราวกับถูกปลุกให้ตื่นจากความฝัน จากนั้นก็ถอนหายใจยาวก่อนเหลียวมองไปยังอวิ๋นหลานเซิงด้วยความไม่พอใจ “น้ำเสียงช่างดุดันอะไรเยี่ยงนี้! เจ้ากล้าดุข้าจริง ๆ หรือ? อยากสู้กันหรือไม่?”
อวิ๋นหลานเซิงทำอะไรไม่ถูก หากเป็นไปได้เขาคงไม่อยากจะอยู่กับตาแก่เจ้าปัญหานี่อีกต่อไป ทว่าน่าเสียดายที่ความปรารถนาของเขาคงจะไม่มีทางเป็นจริง!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เจ้าตัวก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองชิงซิ่วอี้ก่อนจะเหลียวมองเฉินซีที่อยู่ใกล้เคียงพลางถอนหายใจ ด้วยสายตาที่เฉียบแหลมของเขา จะดูไม่ออกได้อย่างไรว่าความสัมพันธ์ระหว่างเฉินซีกับชิงซิ่วอี้นั้นเหนือความเป็นเพื่อน?
เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าหากเสนอแนะให้พาชิงซิ่วอี้ออกไปในตอนนี้ ก่อนที่เฉินซีจะทันได้ตอบโต้ นางก็คงจะไม่ยอมเด็ดขาด
เขาทำอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นจึงได้เพียงเลือกที่จะทนอยู่กับวิปลาสหลิ่วต่อไป
ในขณะนี้มีคนกลุ่มหนึ่งกรูเข้ามาจากระยะไกล เป็นหวงฝู่ฉิงอิงและพวกพ้อง เมื่อเห็นว่าเฉินซีปลอดภัยดีและช่วยชีวิตเจิ้นหลิวชิงกับชิงซิ่วอี้เอาไว้ได้ สีหน้าของพวกเขาก็ผ่อนคลายและมีความสุขอย่างเหลือล้น
การได้กลับมารวมตัวกับสหายในสมรภูมิบรรพกาลที่แสนอันตรายอีกครั้ง เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองอย่างไม่ต้องสงสัย
คืนนั้น ภายในห้องโถงอันกว้างใหญ่ ณ พื้นที่ทางตอนตะวันออกเฉียงเหนือ เสียงของการดื่มด่ำไปกับสุราและการสนทนาดังกึกก้องเหมือนคลื่นถาโถม มันเต็มไปด้วยความรื่นเริงและสนุกสนาน
ภายใต้ฤทธิ์ของสุรา จ้าวชิงเหอผู้สุขุมเยือกเย็นกลับเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ หลิงอวี๋ผู้ตรงไปตรงมากลับร่าเริงเหมือนเด็ก ในขณะที่นายน้อยโจวถึงกับถอดเสื้อออกและแข่งดื่มสุรากับวิปลาสหลิ่ว
แม้แต่ชิงซิ่วอี้ เจิ้นหลิวชิง และหวงฝู่ฉิงอิงก็ยังดื่มสุราไปพอสมควร ทำให้ใบหน้าของพวกนางแดงระเรื่อ ดวงตาอันสดใสกลับกลายเป็นเย้ายวนและเต็มไปด้วยความเกี้ยวพาราสี ความงามของพวกนางราวกับจะพลิกโลกได้ทั้งใบ
เฉินซียิ้มพลางมองภาพตรงหน้า เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกผ่อนคลายและเป็นสุขท่ามกลางสมรภูมิแห่งนี้
เขาจะต้องผ่านศึกมากี่ครั้งกว่าจะได้ฟังเสียงเฮและเสียงหัวเราะจากทุกคนเมื่อรวมตัวกัน?
นับครั้งไม่ถ้วน…
ดังนั้นจึงควรเก็บช่วงเวลานี้เป็นความทรงจำและปกป้องมันเอาไว้ใช่หรือไม่?
เฉินซีดื่มสุราเข้าไปอีกจอก ความรู้สึกแสบร้อนของสุราแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกายในขณะที่สภาพจิตใจของเขายิ่งแน่วแน่ ไม่ว่าจะเพื่อการแก้แค้นหรือเพื่อความปลอดภัยของคนที่เขารัก สิ่งที่เขาต้องจ่ายไปย่อมถือเป็นราคาที่สมน้ำสมเนื้อ!