บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 527 โทสะที่ลุกโชน
บทที่ 527 โทสะที่ลุกโชน
ที่แห่งนี้เป็นห้องโถงที่พบได้ทั่วไปในเมืองบรรพกาล ชายคาของมันมีรอยด่างและทรุดโทรม อีกทั้งยังอบอวลไปด้วยกลิ่นอายโบราณ
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศภายในห้องโถงกลับแตกต่างออกไป
กระถางธูปที่มีรูปร่างเป็นสัตว์มงคลได้ปล่อยควันและกลิ่นหอมฟุ้งขึ้นไปในอากาศ
พื้นถูกปูด้วยพรมหรูหราสีแดงเข้ม ผนังถูกแขวนด้วยโคมไฟรูปหยดน้ำ ซึ่งสาดส่องลำแสงอันนุ่มนวลที่ทำให้จิตใจรู้สึกสดชื่นและอิ่มเอม
ตรงกลางห้องโถงมีโต๊ะที่สร้างจากหยกสีเขียวเข้มที่กะดำกะด่าง
ปิงซื่อเทียนนั่งอยู่ที่ด้านหน้าโต๊ะ ดวงตาของเขามีสีดำสนิทดุจท้องฟ้ายามค่ำคืนซึ่งลึกล้ำดั่งภาพมายา ใบหน้าของเขาถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบ
บนโต๊ะมีกระดานหมากล้อมวางไว้อยู่
เขาถือจอกหยกใสและจิบสุราขณะเดินหมากล้อมสีขาวดำอย่างมีความสุขไร้กังวล
หลังจากที่พวกเขาออกจากศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงครามแล้ว อวิ๋นหลานเซิงก็พาเขามาที่นี่แทนที่จะเป็นอาณาเขตทางตะวันออกเฉียงเหนือที่ชิงซิ่วอี้อาศัยอยู่
แม้ว่าจะรู้สึกพิกล แต่ปิงซื่อเทียนก็ไม่ได้เอ่ยสักถาม
“ข้าเฝ้ารอนางมาหลายปีแล้ว แล้วเหตุใดข้าถึงไม่รอต่อไปอีกสักพักล่ะ?”
เขากลับมีความสุขกับการกระทำนี้มาก เนื่องจากรู้สึกถึงความคาดหวัง ความตื่นเต้น และความกังวลใจ ทำให้จิตใจที่ถูกขัดเกลาจนสงบนิ่งของเขาอดไม่ได้ที่จะบังเกิดระลอกคลื่นแห่งความหวั่นไหวอยู่เล็กน้อย
หากเขาอยู่ในสนามรบ คลื่นลูกนี้อาจทำให้เขาเผชิญกับหายนะได้ แต่ตอนนี้มันกลับแตกต่างออกไป เพราะนี่คือสมรภูมิบรรพกาล และไม่มีอะไรที่สามารถคุกคามเขาได้ ดังนั้นเจ้าตัวจึงเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกต่าง ๆ ที่ระลอกคลื่นนี้มอบให้แก่ตนได้อย่างปลอดภัย และกระทั่งรู้สึกอิ่มเอมใจ
เขารู้สึกราวกับได้ย้อนเวลากลับไปสู่วัยหนุ่มสาวในเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งความคิดอ่านของเขาได้เปลี่ยนไปเพียงเพื่อคนคนหนึ่ง
กึก! กึก! กึก!
เสียงที่คมชัดของตัวหมากซึ่งกระทบกับกระดานหมากล้อมดังก้องออกมาและมันสอดคล้องกับความรู้สึกในตอนนี้ของปิงซื่อเทียน แม้ว่าความคิดของเขาจะไม่สงบ แต่ก็ทำโดยไม่เสียใจแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับการวางหมากของเขา
อวิ๋นหลานเซิงที่อยู่ใกล้เคียงทอดถอนหายใจเมื่อเห็นฉากนี้ และปากที่อ้าค้างของเขาก็หุบลงในครู่ต่อมา เนื่องจากไม่รู้ว่าจะอธิบายกับปิงซื่อเทียนอย่างไรดี
อันที่จริง เขารู้สึกลังเลที่จะกล่าวหลายต่อหลายครั้งนับตั้งแต่ได้เข้ามาในห้องโถงนี้ และดูเขาอยากจะกล่าวเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจทำได้ ราวกับมีบางสิ่งที่ยากจะเปิดเผย ซึ่งเขาก็เกรงว่าจะทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบที่หาได้ยากเช่นนี้
“ศิษย์น้องอวิ๋น มาเล่นกับข้าสักรอบได้หรือไม่?” ทันใดนั้น ปิงซื่อเทียนก็เงยหน้าขึ้นและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
อวิ๋นหลานเซิงส่ายหน้า เพราะเขาไม่มีอารมณ์ที่จะเล่นในตอนนี้
ปิงซื่อเทียนยิ้มในขณะที่นิ้วเรียวขาวของเขากำลังเล่นกับหมากขาวดำในมือ จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ว่ามาเถอะ สิ่งใดที่ทำให้เจ้าต้องตกที่นั่งลำบากเช่นนี้”
อวิ๋นหลานเซิงเม้มริมฝีปากแน่น เขาพยายามดิ้นรนในใจอยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่จะไม่สามารถทนได้อีกต่อไปและกล่าวว่า “ศิษย์พี่ปิงเรื่องนี้สำคัญเกินไป ข้าเกรงว่า…”
“ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล” ปิงซื่อเทียนส่ายหน้าเบา ๆ และกล่าวว่า“ ให้ข้าเดาว่ามันเกี่ยวข้องกับศิษย์พี่หญิงชิงใช่หรือไม่”
อวิ๋นหลานเซิงตกตะลึงดุจถูกสายฟ้าฟาด จากนั้นจึงจ้องมองไปยังชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ข้างหน้าและสังเกตเห็นว่า ชายหนุ่มคนนี้มีรอยยิ้มที่อ่อนโยน มีสีหน้าที่นิ่งสงบ ซึ่งต่อให้ท้องฟ้าจะถล่มก็ไม่อาจทำให้เขาต้องบูดบึ้งได้
สิ่งนี้ทำให้เขาลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
‘จริงสิ ศิษย์พี่ปิงเป็นเซียนสวรรค์แล้วในตอนนี้ ดังนั้นเรื่องความรักจะส่งผลต่อสภาพจิตใจของเขาได้อย่างไรกัน?’
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและถอนหายใจ “ศิษย์พี่ปิง ท่านเดาถูกแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศิษย์พี่หญิงชิง ซึ่งในชาตินี้ของนางนั้น… นางมีคนในใจแล้ว”
ขณะที่กล่าว เขามักจะให้ความสนใจกับปฏิกิริยาของชายตรงหน้า และเขาก็ไม่เห็นแววความโกรธบนใบหน้าของปิงซื่อเทียน จึงทำให้เจ้าตัวรู้สึกโล่งใจมากยิ่งขึ้น
“ข้าไม่เคยนึกเลยว่าคนที่หยิ่งยโสอย่างศิษย์พี่หญิงชิงจะมีคนรักแล้ว” หนุ่มรูปงามหัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมกับเหยียดยิ้มหยันให้ตัวเองที่มุมปาก
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เหล่าอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมและโดดเด่นที่อยู่ในแดนภวังค์ทมิฬ ต่างก็ตกหลุมรักในความงามที่ไม่มีใครเทียบได้ของนาง แต่กลับไม่มีใครสักคนที่สามารถสั่นคลอนหัวใจของนางได้ แต่ตอนนี้กลับมีคนที่สามารถสะเดาะกลอนที่ปิดผนึกหัวใจของนางได้แล้ว สรรพสิ่งบนโลกนี้ช่างไม่อาจคาดเดาได้จริง ๆ”
อวิ๋นหลานเซิงดูจะรำลึกถึงเหตุการณ์มากมายในอดีตขึ้นมาได้ และสีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยอารมณ์เว้าวอนเช่นกัน
ดวงตาของปิงซื่อเทียนเต็มไปด้วยความมั่นใจในขณะที่เขาส่ายศีรษะและกล่าวว่า “ศิษย์น้องอวิ๋นกังวลมากเกินไปแล้ว เมื่อศิษย์พี่หญิงชิงได้ฟื้นคืนความทรงจำของชาติก่อนแล้ว นางก็จะตระหนักได้ว่า ไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถแทนที่ตำแหน่งของข้าในหัวใจของนางได้ ส่วนคนรักคนนั้นก็เป็นเพียงภาพลวงตาในที่สุด”
เมื่อเห็นปิงซื่อเทียนแสดงท่าทางเช่นนี้ หัวใจของอวิ๋นหลานเซิงก็ยิ่งดิ่งลง เขาจึงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ศิษย์พี่ปิง แต่สถานการณ์ในครั้งนี้แตกต่างออกไป ศิษย์พี่หญิงชิงมี…มี…”
เห็นได้ชัดว่าปิงซื่อเทียนตกตะลึง และเขากล่าวพร้อมกับขมวดคิ้วว่า “ศิษย์น้องอวิ๋น ตอนนี้เจ้าได้บรรลุขอบเขตเซียนปฐพีระดับที่แปดแล้ว แต่กลับแสดงความโลเลและขาดความมั่นใจมากเช่นนี้ มันช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก”
น้ำเสียงของชายหนุ่มมีแววการตำหนิอย่างรุนแรง
อวิ๋นหลานเซิงหัวเราะอย่างขมขื่นอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เขาจะกัดฟันและกล่าวว่า “ว่ากันว่า เมื่อตอนที่ศิษย์พี่หญิงอยู่ในราชวงศ์ซ่ง นางได้ให้กำเนิดบุตรชายของชายหนุ่มผู้นั้น… ”
ตู้ม!
ก่อนที่จะทันได้กล่าวจบ โต๊ะหยกที่อยู่ตรงหน้าปิงซื่อเทียนก็ระเบิดอย่างกะทันหัน ทำให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ กระเด็นออกไปทุกทิศทุกทาง อีกทั้งยังส่งเสียงอึกทึกไปทั่วทั้งห้อง
ใบหน้าที่หล่อเหลาของปิงซื่อเทียนในขณะนี้ไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไป และกลับกลายเป็นเย็นยะเยือก ในขณะที่เขาค่อย ๆ ลุกยืนขึ้น
พร้อมกับการลุกขึ้นของเขา กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวยิ่งก็ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องโถงและแผ่กระจายออกไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้อากาศปั่นป่วนรุนแรงพร้อมกับส่งเสียงหวีดหวิวไปทั่วบริเวณโดยรอบ อีกทั้งยังทำลายทุกอย่างในห้องโถงจนยุ่งเหยิง
ในขณะนั้น ทั้งห้องโถงได้สั่นสะท้านอย่างรุนแรงและใกล้จะพังทลาย!
ยิ่งไปกว่านั้น สรรพสิ่งในโลกภายนอกห้องโถงดูเหมือนจะรับรู้ถึงโทสะของปิงซื่อเทียน
…ทำให้สายลมพัดโหมอย่างโกรธเกรี้ยว ฟ้าดินก็ถูกปกคลุมจนมืดมิด และกลิ่นอายอันน่ากลัวก็ผุดขึ้นในหัวใจของทุกคนและแผ่กระจายปกคลุมทั้งโลก!!!
ผู้บ่มเพาะที่อยู่ทั่วทั้งเมืองบรรพกาลต่างรู้สึกถึงกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวนี้ ทำให้หัวใจของพวกเขาสั่นไหวและความรู้สึกไม่สบายใจก็แล่นไปทั่วร่างกายของพวกเขา ราวกับว่าวันโลกาวินาศอยู่ใกล้แค่เอื้อม
“ศิษย์พี่ โปรดระงับโทสะของท่านก่อน!” อวิ๋นหลานเซิงที่อยู่ใกล้เคียงตื่นตระหนกอย่างมาก จึงรีบกล่าวเพื่อหวังให้อีกฝ่ายสงบลง ทว่าเมื่อสบสายตากับปิงซื่อเทียน เขาก็ตัวสั่นด้วยความกลัวทันที
“สายตาเช่นนี้มันคืออะไรกัน!?”
มันช่างเย็นเยียบและลึกล้ำ ไม่แยแสและปราศจากความรู้สึก ภายในนั้นเสมือนกับมีทะเลเพลิงที่โหมกระหน่ำดั่งหินหลอมเหลวที่ร้อนแรงและพวยพุ่งราวกับว่ามันต้องการจะทำลายล้างทุกสรรพสิ่งไปชั่วนิรันดร์!
“เขาชื่ออะไร?” ปิงซื่อเทียนถามด้วยน้ำเสียงที่สงบ ทว่ากลับมีกระแสความเย็นอันน่าสยดสยองเอ่อล้นออกมา และทำให้คนอื่นรู้สึกราวกับตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง
“เฉินซี” ครานี้อวิ๋นหลานเซิงตอบอย่างง่ายดาย “ศิษย์พี่ชิงเป็นห่วงเป็นใยเขายิ่งนัก”
“โอ้? เป็นเขาเองหรือ?” ปรากฏการณ์ที่น่าตกตะลึงและประกายแสงอันน่าสะพรึงกลัวบังเกิดขึ้นในดวงตาของปิงซื่อเทียน และเขานึกถึงฉากที่ตนประสบที่ศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงครามขึ้นมา
“ศิษย์พี่ พลังแฝงของเด็กคนนี้น่าตกใจจริง ๆ เขาสามารถพิชิตทัณฑ์สวรรค์วิหคอมตะแห่งการจุติและครั้งหนึ่งเคยบดขยี้ประกาศิตเซียนสวรรค์ นอกจากนี้ เขายังเกือบจะถอนรากถอนโคนทั้งตระกูลซางด้วยตัวคนเดียว ความแข็งแกร่งดังกล่าวถือได้ว่าอยู่ในระดับสูงสุดในหมู่คนรุ่นเดียวกัน” อวิ๋นหลานเซิงอธิบายจากด้านข้าง “ซึ่งในตอนนี้วิปลาสหลิ่วจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองก็มาหาเขาโดยเฉพาะ และดูเหมือนว่าคนคนนี้จะได้รับความไว้วางใจจากตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วง…”
“พอแล้ว!” ทันใดนั้น ปิงซื่อเทียนก็หันกลับมาพร้อมกับสายตาที่น่าตกตะลึง จากนั้นจึงโบกมือเพื่อขัดจังหวะอวิ๋นหลานเซิง “ข้าจะตัดสินใจเอง เจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรอีก”
อวิ๋นหลานเซิงลอบถอนหายใจ แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือน “ศิษย์พี่ ข้าแค่อยากจะบอกว่า ศิษย์พี่หญิงชิงห่วงใยเฉินซีมาก ถ้าท่านลงมือกับเขา ข้าเกรงว่า…”
ปิงซื่อเทียนในขณะนี้กลับมาสงบแล้ว ไม่ว่าในใจของเขาจะเดือดดาลเพียงใดและไม่ปรารถนาสิ่งใดมากไปกว่าการทำลายล้างเฉินซี แต่สุดท้ายเขาก็ยังยับยั้งตัวเองไว้ได้
เนื่องจากเขารู้ว่าสิ่งที่อวิ๋นหลานเซิงกล่าวนั้นถูกต้อง คนที่เขาห่วงใยมากที่สุดคือศิษย์พี่หญิงชิง และถ้าเขาทำให้ศิษย์พี่หญิงชิงรู้สึกไม่พอใจเพียงเพราะบดขยี้มดปลวกเช่นเฉินซี มันคงไม่คุ้มค่าที่จะกระทำ
อย่างไรก็ตาม เขาก็คงไม่สามารถอดทนได้ตลอดไป
ในฐานะที่เป็นเซียนสวรรค์ สตรีที่เขาหลงรักกลับถูกมดปลวกตัวเล็ก ๆ ในโลกมนุษย์พรากจากไป …สิ่งนี้ถือเป็นความอัปยศอดสูอย่างร้ายแรงที่เขาไม่สามารถระบายได้ หากไม่ฆ่าอีกฝ่ายซะ!
“ศิษย์พี่หญิง… ท่านรู้หรือไม่ว่า ครั้งหนึ่งข้าเคยสาบานเมื่อหลายปีก่อนไว้ว่า จะไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่จะได้ตัวท่านไป หากตัวข้าไม่สามารถครอบครองท่านได้…” เสียงพึมพำของปิงซื่อเทียนล่องลอยอยู่ในห้องโถงที่ว่างเปล่า และถึงแม้น้ำเสียงของเขาจะสงบนิ่ง แต่ก็เผยให้เห็นถึงความรู้สึกเย็นชาและความกระหายเลือดอย่างรุนแรง
…
ณ อาณาเขตทางตะวันออกเฉียงเหนือ
เฉินซีลังเลซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และพยายามอย่างหนักเพื่อทำให้ตัวเองสงบลง จากนั้นเขาจึงเดินไปข้างหน้า ก่อนยกมือขึ้นเพื่อเคาะประตูเบา ๆ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ประตูก็เปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่ขาวราวกับหยกและงดงามไร้ที่เปรียบของชิงซิ่วอี้ ซึ่งดูนางจะไม่แปลกใจเลยที่เห็นเขา จากนั้นนางก็เดินกลับเข้าไปในห้อง
เดิมที เฉินซีได้เตรียมคำพูดไว้มากมาย เช่น สิ่งที่เขาจะกล่าวเมื่อชิงซิ่วอี้เปิดประตู และท่าทางแบบไหนที่เขาควรทำควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ตัวเองดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่า ชิงซิ่วอี้ดูจะคาดหวังให้เขาจะมาถึง จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องทันทีที่เปิดประตู และไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ทำอะไรแม้แต่จะทักทายเลยสักนิด
แต่เขาก็เข้าใจเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว ด้วยอุปนิสัยของชิงซิ่วอี้ นางมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ และมันคงจะแปลก ถ้าจู่ ๆ นางเป็นฝ่ายเปิดปากทักทายเขาก่อน
ห้องของหญิงสาวนั้นเรียบง่ายมาก อีกทั้งยังมีร่องรอยของแสงและกลิ่นหอมสดชื่นที่ฟุ้งอยู่ในอากาศ
“เจ้ามาหาข้าทำไม?” หลังจากนั่งลงแล้ว ชิงซิ่วอี้ก็ถามออกมาตามตรง ผมสีดำขลับของนางดูสง่างาม และนางก็สวมชุดที่มีระบาย ทำให้นางมีลักษณะพิเศษที่ดูห่างไกลจากโลกเหมือนเทพธิดาจากสวรรค์
“ทูตเซียนได้มาถึงแล้ว” เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวออกไป จากระยะนี้เขาจึงสามารถมองเห็นใบหน้าที่บอบบางและงดงามของนางได้อย่างชัดเจน
“ข้าทราบแล้ว” ชิงซิ่วอี้ตอบด้วยการพยักหน้า ท่าทีของนางสงบนิ่งและยังมีร่องรอยของความเฉยเมย ซึ่งดูนางจะไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง
เฉินซีตกตะลึงและกล่าวต่อ “คนผู้นั้นคือปิงซื่อเทียน ซึ่งควรเป็นศิษย์น้องในชาติที่แล้วของเจ้า”
“ข้าทราบ” หญิงสาวตอบซ้ำและท่าทีของนางก็ยังเฉยเมย
“เจ้า… หรือว่าเจ้าไม่มีความรู้สึกอื่นเลย? ข้าได้ยินมาว่าเขาได้ไล่ตามเจ้าอย่างบ้าคลั่งในชาติก่อน” เฉินซีไม่อาจอดอดกลั้นได้อีกต่อไป จึงเอ่ยถามคำถามที่เขากังวลมากที่สุด
ชิงซิ่วอี้เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม ก่อนที่นางจะตอบคำถาม “หากชาติที่แล้วและชาตินี้มีความต่อเนื่องกัน เหตุใดข้าจึงเลือกเกิดใหม่และบ่มเพาะอีกครั้ง”
เฉินซีตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นเขาก็เริ่มหัวเราะทันทีและดูมีความสุขมาก “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าบ่มเพาะอย่างสบายใจเถอะ ข้าขอตัวก่อน”
ขณะกล่าว เฉินซีก็ลุกขึ้นและจากไปด้วยความตื่นเต้น
ชายหนุ่มไม่ได้สังเกตเห็นว่า ทันทีที่ก้าวออกจากประตู สายตาที่จ้องมองมายังเขาจากทางด้านหลัง ก็เต็มไปด้วยร่องรอยของความอ่อนโยน
ความรักเปรียบเหมือนอวนจับปลาที่มีเงื่อนมากมายอยู่ระหว่างกลาง
ดังนั้นจะดิ้นรนไปทำไม ในเมื่อสุดท้ายโชคชะตาก็เป็นผู้กำหนด!!