บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 528 ทหารม้ามรณะ
บทที่ 528 ทหารม้ามรณะ
ครึ่งเดือนต่อมา
วันนี้… ท้องฟ้าที่ใสกระจ่างแต่เดิมกลับถูกมวลเมฆดำทะมึนปกคลุมดุจก้อนตะกั่ว จนดูราวกับตกอยู่ในความมืดมิดยามราตรี
จู่ ๆ สายลมก็เริ่มส่งเสียงหวีดหวิวอย่างเกรี้ยวกราด ขณะพัดผ่านไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก จนทำให้ทรายและก้อนหินปลิวว่อน หรือแม้แต่ฝุ่นผงก็ฟุ้งกระจายไปในอากาศ ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องที่ส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง ลมกระโชกแรงได้พัดกระหน่ำขณะที่เมฆดำทะมึนปกคลุมทั่วทั้งเมือง
ทันใดนั้น กลิ่นอายอันอธิบายไม่ได้ก็ปกคลุมไปทั้งฟ้าดินและหัวใจของทุกคน ราวกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันและน่าตกตะลึงกลับเกิดขึ้น ทำให้จิตใจของผู้คนรู้สึกกระสับกระส่าย
“ฟ้ามืดแล้ว!” วิปลาสหลิ่วเงยศีรษะขึ้น ดวงตาที่ขุ่นมัวและมึนเมาของเขาพลันส่องประกายเย็นยะเยือก
เฉินซียังคงเงียบ แต่เขารู้สึกสงสัยในใจ
หลังจากที่ปิงซื่อเทียนมาถึงเมืองบรรพกาลเมื่อครึ่งเดือนก่อน เขาดูเหมือนจะหายตัวไปในอากาศและไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่ได้ออกมาตามหาชิงซิ่วอี้ การกระทำที่ผิดปกติเหล่านี้ทำให้เฉินซีรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
แต่เขาไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร สิ่งที่ทำได้มีเพียงบ่มเพาะอย่างอุตสาหะและใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง
ตึง! ตึง! ตึง!
ที่นอกเมืองบรรพกาลในขณะนี้ดูราวกับมีกองทัพที่ทรงพลังกำลังเข้ามาใกล้อย่างเป็นระเบียบ บังเกิดเป็นเสียงฝีเท้าที่หนักหน่วงซึ่งทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
“กลิ่นอายร้ายกาจอะไรเช่นนี้!” สีหน้าของเฉินซีพลันเคร่งขรึม ขณะที่ทะยานขึ้นไปบนท้องนภาชายหนุ่มจึงพบกับปราณสีดำจากระยะไกล พวกมันดูราวกับฝูงมังกรทมิฬที่ส่งเสียงคำรามขณะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้สวรรค์และโลกถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดอันไพศาล ปราณวิญญาณและเส้นชีพจรวิญญาณดูจะถูกกำจัดออกไปในชั่วพริบตา
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนจะมีกองทัพทหารม้ากลุ่มแล้วกลุ่มเล่าที่ควบขี่อยู่ภายในหมอกสีดำนั้น พวกมันสวมชุดเกราะสีดำสนิท หมวกและง้าว หรือแม้แต่ม้าที่อยู่ข้างใต้ก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบสีดำสนิท ทำให้พวกเขาดูเหมือนกับฝูงปีศาจ!
เมื่อมองจากระยะไกล กองทัพทหารม้าได้ปกคลุมฟ้าดินดุจกระแสน้ำที่ไหลบ่ามาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป และพุ่งเข้าใส่เป็นแถวอย่างน่าเกรงขามและปล่อยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัว
ในขณะนี้ ไม่ใช่แค่เฉินซีที่เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อสังเกตการณ์ แต่ผู้บ่มเพาะทุกคนในเมืองบรรพกาลต่างก็ตื่นตระหนกกับสิ่งนี้และทำเช่นเดียวกัน คนทั้งหมดต่างแสดงสีหน้าวิตกกังวลและตกใจ
“สวรรค์! นั่นมันอะไรกัน?”
“พวกมันเป็นสัตว์อสูรประเภทใดกัน ถึงสามารถจัดตั้งกองทัพขึ้นมาได้!?”
“ช่างเป็นกลิ่นอายที่น่ากลัวและดุร้าย เหตุใดสิ่งมีชีวิตดังกล่าวจึงมีอยู่ในสมรภูมิบรรพกาลได้? หรือว่านี่คือเหตุการณ์คาดไม่ถึงที่เหล่าทูตได้กล่าวไว้”
เมืองบรรพกาลทั้งหมดเป็นเหมือนกับเกาะโดดเดี่ยวที่ลอยอยู่กลางมหาสมุทร มันสิ้นหนทาง ในขณะที่ทหารสวมชุดเกราะสีดำปกคลุมทั่วทั้งฟ้าดินและหลั่งไหลมาจากทุกทิศทุกทางราวกับกระแสน้ำที่ต้องการถาโถมเข้าใส่เมือง …เป็นภาพที่น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง
“ทูตแห่งแดนภวังค์ทมิฬ จงนำผู้บ่มเพาะในอาณาเขตของเจ้าไปปกป้องประตูเมืองและตั้งรับศัตรูอย่างเร่งด่วน!” ทันใดนั้น เสียงกู่ร้องยาวและชัดเจนได้ดังก้องไปยังสวรรค์ทั้งเก้า อีกทั้งยังปกคลุมไปทั้งฟ้าดิน …กึกก้องอยู่ในหูของทุกคน
เจ้าของสุ้มเสียงนี้คือร่างสูงที่ปรากฏอยู่กลางอากาศ ร่างนั้นเปล่งแสงสีทองพร่างพรายทำให้เขาดูเหมือนพระอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่สว่างไสวผู้กำลังมองลงมายังโลกด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครเทียบได้
ช่างน่าตกใจที่คนคนนั้นคือทูตเซียนปิงซื่อเทียน!
ในทันทีที่ชายผู้นี้ปรากฏตัว เขาเป็นดั่งเสาหลักอันศักดิ์สิทธิ์ที่คอยขจัดความกังวลใจในหัวใจของผู้บ่มเพาะทั้งหมดในทันที อีกทั้งยังนำความมั่นใจและแสงสว่างกลับมาสู่หัวใจของทุกคน
“เขาคือปิงซื่อเทียน?” เฉินซีมองไปรอบ ๆ และเห็นเพียงดวงแสงที่พร่างพราย แต่ไม่อาจเห็นได้ว่าปิงซื่อเทียนมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร
วูบ!
ปิงซื่อเทียนในขณะนี้ดูจะสังเกตเห็นการจ้องมองของเฉินซี ซึ่งในขณะที่เขากะพริบตา สายฟ้าที่ส่องประกายก็ได้ปะทุออกมาจากดวงตาทั้งสองและกวาดสายตาไปยังชายหนุ่ม
ทันใดนั้น เขาพลันรู้สึกปวดแปลบที่ดวงตาและรู้สึกอึดอัดจนหายใจลำบาก ราวกับถูกภูเขาลูกมหึมากดทับลงมาจนถึงจุดที่แม้แต่วิญญาณก็อดสั่นสะท้านไม่ได้
พลังที่อีกฝ่ายปลดปล่อยออกมานั้นน่ากลัวถึงขีดสุด!
ปิงซื่อเทียนเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดที่เฉินซีเคยเจอนับตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะ
ไม่นานนัก ทูตเซียนผู้นั้นก็ละสายตาจากไป ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอกและลอบหัวเราะอย่างขมขื่นในใจ ‘ศัตรูหัวใจ’ ของข้าคนนี้น่ากลัวจริงๆ…
ในขณะเดียวกันทูตกว่าสิบคนของแดนภวังค์ทมิฬได้ทะยานออกไปยังประตูเมืองทั้งแปดทิศ
การทดสอบสุดท้ายกำลังจะเริ่มขึ้น!
…
ครืนนนน!
กองทัพทหารม้าพุ่งออกไปราวกับกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากและส่งเสียงดังกึกก้อง ก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้าประตูเมือง ซึ่งในสายตาของทุกคนคือปราณอสูรสีดำสนิทที่ปกคลุมสวรรค์และโลก… มันน่าสะพรึงกลัวอย่างสุดขั้ว
ฟ้าดินดูราวจะตกอยู่ในความมืดชั่วนิรันดร์
“ทุก ๆ หนึ่งร้อยปี เหตุการณ์ที่น่าตกใจจะบังเกิดขึ้นในสมรภูมิบรรพกาล และสิ่งที่เจ้าเห็นคือกองทหารม้ามรณะจากสมรภูมิบรรพกาล”
“ในยุคบรรพกาล เหล่าทวยเทพได้นำทัพมาที่นี่ และเป้าหมายของการโจมตีก็คือผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มาจากนอกพิภพ หลังจากผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านี้ล้มตายลง ความแค้นของพวกเขาก็ยังคงอยู่และไม่อาจทำลายลงได้ พวกมันจึงกลายเป็นทหารม้ามรณะเหล่านี้”
“ความแข็งแกร่งของทหารม้ามรณะเหล่านี้อยู่ที่ประมาณขอบเขตจุติ อีกทั้งยังรวมตัวกันเป็นกองทัพขนาดมหึมาและมหาศาล ภารกิจของพวกเจ้าคือการปกป้องประตูเมืองและพยายามทุกวิถีทางเพื่อฆ่าพวกมันทั้งหมด”
“และนี่ก็คือการทดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาล!”
อวิ๋นหลานเซิงยืนอยู่ที่หน้าประตูเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือพร้อมกับผมสีขาวราวหิมะที่กำลังไสวไปตามสายลม เขาชี้ไปยังกองทัพทหารม้าที่พุ่งเข้ามาจากระยะไกล และกล่าวด้วยความมั่นใจและสำรวม
ในขณะเดียวกัน ผู้บ่มเพาะไม่ต่ำกว่าร้อยคนได้มารวมตัวกันที่หน้าประตูเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือ และไม่ใช่แค่เฉินซีหรือคนอื่น ๆ เท่านั้นที่เข้าร่วม แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ของราชวงศ์อื่น ๆ ก็อยู่ด้วย
ผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านี้มาจากราชวงศ์ระดับกลาง และไม่มีความเป็นปฏิปักษ์กับราชวงศ์ซ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับอนุญาตจากชายหนุ่มและคนอื่น ๆ ให้อยู่ในอาณาเขตทางตะวันออกเฉียงเหนือได้
ในตอนนี้ …การทดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาลกำลังจะเริ่มขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้ว พวกเขาจะไม่สามารถหลีกหนีความรับผิดชอบได้ จึงเข้าร่วมกับกองกำลังของเฉินซีและคนอื่น ๆ เพื่อปกป้องประตูเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือไปด้วยกัน
สถานการณ์ที่ประตูเมืองอีกเจ็ดแห่งก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
แน่นอนว่าพวกเขาสามารถเลือกที่จะไม่เข้าร่วมได้ แต่หากทำเช่นนี้ พวกเขาจะสูญเสียสิทธิ์ในการรับการทดสอบสุดท้ายอย่างไม่ต้องสงสัย และเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะได้เข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬ
ดังนั้นจึงไม่มีผู้บ่มเพาะคนใดที่กล้าหย่อนยานหรือมีท่าทีนิ่งเฉย ทว่าคนทั้งหมดกลับกระตือรือร้นและหวังว่าจะสามารถแสดงฝีมือออกมาได้อย่างเต็มที่ เพื่อดึงดูดความสนใจจากเหล่าทูตของแดนภวังค์ทมิฬและมีสิทธิ์เข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้อย่างราบรื่น
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พวกเขาได้ยินคำแนะนำของอวิ๋นหลานเซิง อารมณ์ของทุกคนรวมถึงเฉินซี และคนอื่น ๆ ก็หนักอึ้งขึ้น
ช่างตลกเสียจริง! ทหารม้าหุ้มเกราะที่ตั้งขบวนทัพอยู่ที่นอกเมือง กลับก่อตัวขึ้นจากความขุ่นเคืองของผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มาจากนอกพิภพ ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันทุกตนก็มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตจุติ!
ไม่ต้องกล่าวถึงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติเหล่านี้ หากผู้บ่มเพาะที่มีขอบเขตที่สูงกว่าเผชิญหน้ากับกองทัพเหล่านี้ ก็คงไม่กล้ากล่าวด้วยความมั่นใจว่า พวกเขาจะสามารถเอาชีวิตรอดจากกองทัพอันเกรียงไกรนี้ได้
“พวกเจ้าอย่าได้กังวัลไป เมื่อการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น ศัสตราแห่งทวยเทพจะปรากฏขึ้นในอาณาเขตทั้งแปดแห่ง เพื่อปกป้องประตูเมืองและช่วยเหลือพวกเจ้าจัดการกับกองกำลังส่วนใหญ่ของศัตรู” อวิ๋นหลานเซิงกล่าว
สีหน้าของทุกคนผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ การปรากฏตัวของสมบัติวิเศษของทวยเทพช่วยบรรเทาความกังวลได้อย่างแท้จริง
อวิ๋นหลานเซิงเพียงยิ้มบาง ๆ จากนั้นสีหน้าของเขาพลันจริงจังขึ้น ในขณะที่มองไปยังระยะไกลด้วยสายตาที่เด็ดขาดดุจสายฟ้า “สำหรับทูตเช่นข้า พวกเราจะป้องกันอาณาเขตทั้งแปดและรับมือกับศัตรูที่ทรงพลังซึ่งอยู่ในกองทัพของศัตรู! ดังนั้นพวกเจ้าทุกคนมิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้และสามารถต่อสู้อย่างเต็มกำลังเมื่อกองทัพทหารม้ามรณะเข้าโจมตี”
“ท่านทูต ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่า ชีวิตของพวกเราจะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่” จู่ ๆ ก็มีผู้บ่มเพาะถามขึ้นมาจากในฝูงชน
อวิ๋นหลานเซิงมองไปที่บุคคลนั้นและกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “นี่เป็นการต่อสู้ที่แท้จริง แล้วเจ้าคิดอย่างไรล่ะ?”
ทุกคนเงียบไป
เมื่อลองคิดดูแล้ว นี่เป็นการทดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาล ซึ่งเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่และไม่อาจหลีกเลี่ยงความตายได้
โอม!
ในขณะนี้ จู่ ๆ คลื่นพลังที่กว้างใหญ่ไพศาลได้แผ่ขยายไปทั่วท้องฟ้าเหนือเมืองบรรพกาล จากนั้น… ดวงแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พร่างพราวทั้งแปดดวงก็พุ่งออกมาจากอาณาเขตทั้งแปดของเมืองอย่างดุเดือด
เมื่อมองจากระยะไกล ดูเหมือนว่าดวงแสงทั้งแปดดวงกำลังพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า มันทั้งทรงพลังและพร่างพราว อีกทั้งยังทำให้สายลมและมวลเมฆาปั่นป่วน ปัดเป่าเมฆดำที่ปกคลุมอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองให้ถูกพัดพาไป เผยให้เห็นท้องฟ้าที่สดใสอีกครั้ง
“ศัสตราแห่งทวยเทพปรากฏขึ้นแล้ว!” อวิ๋นหลานเซิงหันกลับมาอย่างรวดเร็ว แม้สภาพจิตใจของเขาจะมั่นคงและแข็งแกร่ง แต่เมื่อเห็นการกำเนิดของสมบัติแห่งทวยเทพที่ถูกผนึกไว้ใต้ผืนดินตลอดหลายชั่วอายุคน ชายผู้นี้ก็อดรู้สึกหวั่นไหวไม่ได้
แสงศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วนได้พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับแผ่ปราณศักดิ์สิทธิ์ออกมา จนเมืองบรรพกาลปกคลุมไปด้วยรัศมีเปล่งประกายความยิ่งใหญ่
ครั้งหนึ่งศัสตราทั้งแปดเหล่านี้เคยต่อสู้ร่วมกับเหล่าทวยเทพ …ผ่านศึกสมรภูมินับไม่ถ้วนจนอาบไปด้วยเลือดผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มาจากนอกพิภพ ตอนนี้… เมื่อมันปรากฏขึ้นมาในโลกอีกครั้ง คลื่นพลังที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ก็ถูกปลดปล่อยออกมา จนทำให้หัวใจของทุกคนหวาดหวั่น
เฉินซีเงยหน้าขึ้นและเห็นศัสตราของเหล่าทวยเทพถูกปกคลุมด้วยแสงเจิดจ้าที่ส่องประกายแวววาวดั่งแสงสวรรค์ ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงได้อย่างชัดเจน
แต่จากปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่ที่พวกมันได้ปล่อยออกมา ก็เพียงพอพิสูจน์ความแข็งแกร่งของศัสตราเหล่านี้ …ทรงพลังยิ่งกว่าสมบัติอมตะเสียอีก!
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
สมบัติทั้งแปดชิ้นของเหล่าทวยเทพ ดูเหมือนกับว่ามีสติปัญญาเป็นของตัวเอง พวกมันได้กระจายตัวไปยังประตูเมืองทั้งแปด!
ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ เฉินซีก็เห็นศัสตราพุ่งลงมาที่หน้าประตูเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือราวกับดาวตก และปกคลุมร่างของหวงฝู่ฉิงอิงเอาไว้
มันเป็นกลองสงครามหนังสัตว์ขนาดเท่าถังตักน้ำที่มีลวดลายพืชพรรณ สัตว์ต่าง ๆ ดวงดาวและอักขระลึกลับจารึกไว้ อีกทั้งยังถูกปกคลุมด้วยพลังเทวะจนทำให้ผู้พบเห็นต้องรู้สึกหวาดหวั่น
“กลองหนังกระทิงขุย!” อวิ๋นหลานเซิงร้องออกมาด้วยความชื่นชม ดวงตาของเขาทอประกายด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าอย่างอดไม่ได้ “ในยุคบรรพกาล มีสัตว์ร้ายที่น่าสะพรึงกลัวตัวหนึ่ง มันมีรูปลักษณ์ดุจมังกร มีเสียงคำรามราวกับฟ้าร้อง และมันถูกเรียกว่ากระทิงขุย*[1] เสียงคำรามของมันสามารถเขย่าไปทั้งสวรรค์และดวงดาว หรือแม้แต่เคลื่อนภูเขานับพันนับหมื่น มันจึงน่าสะพรึงเป็นอย่างยิ่ง
“กลองหนังกระทิงขุยนี้ถูกขัดเกลาจากผิวหนังของกระทิงขุย และอักขระเต๋าบนกลองนั้นเป็นอักขระที่กระทิงขุยได้ครอบครองมาตั้งแต่กำเนิด กลองนี้สามารถเปล่งเสียงที่ดุดันราวกับเสียงฟ้าร้อง ซึ่งไม่เพียงแต่สามารถบดขยี้ศัตรูให้ตายได้ แต่ยังสามารถเพิ่มขวัญกำลังใจของฝ่ายเดียวกันให้ปะทุด้วยพลังแฝงอันไร้ขอบเขต ดังนั้นมันจึงเป็นศัตราของทวยเทพที่ทรงพลังยิ่ง!”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชม และรู้สึกอิจฉาหวงฝู่ฉิงอิงเป็นอย่างมาก
เนื่องจากนางได้รับการยอมรับจากศิลาสัตย์สัประยุทธ์ กลองหนังกระทิงขุยนี้จึงเป็นของนางไปโดยปริยาย คนอื่น ๆ ไม่สามารถแย่งชิงมันไปได้ หากสังหารนาง แต่กลองหนังกระทิงขุยก็จะสลายไปโดยปริยาย
“กองทัพทหารม้ามรณะได้มาถึงแล้ว! พวกเจ้าจงเตรียมเข้าปะทะซะ!” ในขณะนี้ อวิ๋นหลานเซิงก็ตะโกนออกมาเสียงดังกึกก้องทันที
หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน และเมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นภาพตามที่คิดไว้ กองทัพทหารม้ามรณะที่สวมชุดเกราะสีดำสนิทพุ่งเข้ามาพร้อมกับง้าวในมือ จากภายในหมอกสีดำที่กำลังพลุ่งพล่าน จิตสังหารพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก และเพียงแค่กลิ่นอายที่ปกคลุมฟ้าดินขณะที่พวกมันเคลื่อนไหว ก็สามารถทำลายขวัญกำลังใจของศัตรูได้แล้ว!
[1] ปีศาจกระทิงขาเดียว หรือเทพเจ้าสายฝนในตำนานจีนโบราณ