บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 529 พลังเทวะ
บทที่ 529 พลังเทวะ
การต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างดุเดือด!
ภาพที่ปรากฏทุกหนแห่งคือสมบัติวิเศษนับพันนับหมื่นที่สาดแสงระยิบระยับ สภาพแวดล้อมที่ด้านนอกของประตูเมืองถูกปกคลุมด้วยคลื่นสีดำที่พลุ่งพล่านและกระแสลมปั่นป่วนวุ่นวาย นอกจากนี้ยังมีเสียงของการต่อสู้และการปะทะที่ดังก้องกังวานไปทั้งฟ้าดินราวกับเสียงฟ้าร้อง
ทหารม้ามรณะสวมหมวกและชุดเกราะสีดำสนิทควบขี่ม้าทมิฬ …อาวุธที่อยู่ในมือของพวกมันถูกควบแน่นจากปราณอสูร อาวุธเหล่านี้ดูน่าสะพรึงอย่างสุดขั้ว ทุกครั้งที่เหวี่ยงมันจะสามารถฉีกมิติออกจากกันและทำให้ปราณอสูรปะทุอย่างดุเดือด
พวกมันพุ่งเข้ามาเป็นหน้ากระดานดั่งกองทัพที่ถูกฝึกมาเข้มงวด ยิ่งไปกว่านั้นยังรวดเร็ว ดุร้าย ไร้ซึ่งความกลัวต่อความตายและบดขยี้ทุกสิ่งที่ขวางทางพวกมันจนเป็นจุณ
ในช่วงเวลาไม่กี่อึดลมหายใจ พวกมันก็พุ่งประชิดเข้ามาถึงที่ประตูเมืองแล้ว
ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!!!
เสียงกลองดังก้องราวกับเสียงคำรามของมังกร และแฝงไปด้วยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวที่สามารถบดขยี้ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ เสียงตึงตังของมันทอดยาวออกไป ไม่ว่ามันจะผ่านไปยังแห่งหนใด กองทัพทหารม้ามรณะก็จะถูกบดขยี้จนไม่เหลือแม้แต่เศษซาก
มันคือกลองหนังกระทิงขุยซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าประตูเมือง พื้นผิวของมันปรากฏลวดลายอักขระยันต์อย่างเห็นได้ชัด และถูกปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วน ซึ่งทุกครั้งที่ทุบก็จะเกิดเสียงดังกึกก้องดั่งเสียงฟ้าร้อง และการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำลายล้างทหารม้ามรณะกว่าร้อยตัว
อย่างไรก็ตาม ทหารม้ามรณะก็มีจำนวนมายมายมหาศาล พวกมันก่อตัวเป็นมวลหนาทึบที่ปกคลุมไปทั้งฟ้าดิน และการตายของพวกมันเพียงร้อยตัวก็เปรียบดั่งคลื่นที่สาดกระเซ็นไปจากมหาสมุทร
“ฆ่ามัน!”
“ฆ่ามัน!”
“ฆ่ามันนน!”
ร่างจำนวนมากพุ่งออกมาจากประตูเมืองเพื่อต่อสู้กับกองทัพทหารม้ามรณะ พร้อมกับกลองหนังกระทิงขุย
เสียงกลองดังกึกก้องราวกับเสียงสายฟ้าฟาด ในขณะที่การต่อสู้ก็ดังสนั่นดุจห่าฝน ฟ้าดินถูกย้อมด้วยเลือดที่สาดกระเซ็นดุจสายฝนโปรยปรายและฝุ่นควันที่ฟุ้งกระจายจนทัศนวิสัยขุ่นมัว เกิดเป็นฉากนองเลือดอันน่าสะพรึงกลัวอย่างสุดขั้ว
ผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์ต่าง ๆ เหล่านี้รู้ว่า นี่คือการทดสอบที่จะทำให้พวกเขาสามารถเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้อย่างราบรื่นหากสามารถผ่านพวกมันไปได้ และหากไม่ทำเช่นนั้น แผ่นดินที่เย็นยะเยือกก็จะเป็นที่พำนักแห่งสุดท้ายของพวกเขา
ดังนั้นคนทั้งหมดจึงไม่กล้าเก็บงำพลังแม้แต่น้อย และไม่คิดถอยกลับเลยสักนิด!
เฉินซีและคนอื่น ๆ ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน
…
เปรี้ยง!
ยันต์ศัสตราทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้ทหารม้ามรณะกว่าสิบตัวถูกฟันก่อนจะระเบิดเป็นกลุ่มปราณอสูรและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ทหารม้ามรณะเหล่านี้ก่อตัวขึ้นจากความแค้นที่เหลืออยู่ของผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มาจากนอกพิภพ และพวกมันก็ไม่มีเลือดเนื้อ หลังจากเสียชีวิต พวกมันจะกลายร่างเป็นปราณอสูรที่หวนคืนสู่ฟ้าดิน
เปรี้ยง!
ยันต์ศัสตราหมุนไปโดยรอบดุจหางของมังกร จากนั้นปราณกระบี่สายใหญ่ก็ยืดออกไปเพื่อทำลายทหารม้ามรณะอีกหลายสิบคน
ในขณะเดียวกัน เฉินซีดูจะกลายร่างเป็นเทพอสูรที่อาละวาดอยู่ท่ามกลางกองทัพของทหารม้ามรณะ และปราณกระบี่ของเขาก็เหมือนกับสายรุ้งที่กวาดผ่านทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างง่ายดาย ราวกับไม่มีสิ่งใดที่สามารถต้านทานการโจมตีของเขาได้
“ช่างน่าพอใจเสียจริง! หลังจากที่ยันต์ศัสตราได้ก้าวหน้าไปอีกขั้น อานุภาพของมันอาจเหนือกว่ากระบี่โศกนภาพที่เป็นสมบัติกึ่งอมตะด้วยซ้ำ…”
เฉินซีอุทานด้วยความประหลาดใจ หลังจากสัมผัสได้ถึงพลังทำลายล้างอันน่าตกตะลึงของยันต์ศัสตรา
ในที่สุด ทหารม้ามรณะทุกตัวที่มีความแข็งแกร่งเทียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติล้วนถูกยันต์ศัสตราสังหารลงอย่างง่ายดาย ราวกับว่ามันกำลังหั่นผลแตงโม ด้วยผลลัพธ์เช่นนี้ จะไม่ทำให้เฉินซีรู้สึกตื่นเต้นยินดีได้อย่างไร?
เขามั่นใจมากว่า อานุภาพของยันต์ศัสตราในตอนนี้ได้เหนือกว่าสมบัติกึ่งอมตะ!
“ช่างเสียของ” ในตอนที่ชายหนุ่มกำลังเข่นฆ่าทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเขา หม้อกลั่นใบจิ๋วก็กล่าวกับเขาผ่านกระแสปราณ “หากยังคงสังหารเช่นนี้ต่อไป เจ้าคงไม่ได้รับประโยชน์อันใดเลย”
เฉินซีรู้สึกตกตะลึง และได้ทำลายแนวแถวของทหารม้ามรณะที่อยู่ตรงหน้าจนหมด จากนั้นจึงฉวยโอกาสนี้สอบถามหม้อกลั่นใบจิ๋วว่า “เจ้าหมายถึงอะไร? หรือว่าทหารม้ามรณะเหล่านี้มีสมบัติบางอย่าง?”
“ทหารม้ามรณะทั้งหมดเหล่านี้ ได้ก่อตัวขึ้นจากความคับแค้นของผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มาจากนอกพิภพ แต่พวกมันทั้งหมดสามารถคงอยู่ได้โดยปราศจากการทำลายในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา เจ้ารู้เหตุผลหรือไม่ว่าทำไม” หม้อกลั่นใบจิ๋วดูจะไม่รอให้เขาได้ตอบคำถามและชิงตอบคำถามของมันเองว่า “เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะมันมีเศษเสี้ยวของพลังเทวะอยู่ภายในความคับแค้นที่เกือบจะเป็นนิรันดร์ ดังนั้นหากเจ้ากลืนมันเข้าไป มันก็จะส่งเสริมต่อการบ่มเพาะของเจ้าเป็นอย่างมาก”
ในใจของเฉินซีรู้สึกตกตะลึง จากนั้นเขาก็ฟันทหารม้ามรณะจนตายทันที หลังจากนั้นจึงตรวจสอบอย่างระมัดระวัง แน่นอนว่าท่ามกลางปราณอสูรที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ กลับมีเศษเสี้ยวของแสงที่แผ่วเบามาก และเขาก็คว้ามันเอาไว้ทันที
ทันใดนั้น เศษเสี้ยวของพลังเทวะก็ได้กลายเป็นกระแสพลังอันอบอุ่นที่ไหลหลั่งเข้าสู่ท้องทะเลแห่งลมปราณของเขา ก่อนจะถูกกงล้อสังสารวัฏดูดซับและทำให้เฉินซีสัมผัสกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์บนกงล้อสังสารวัฏของเขาได้อย่างชัดเจน!
ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของเขาก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น แม้จะเป็นเพียงร่องรอยเล็กน้อย แต่ก็น่าทึ่งพอสมควร
“ช่างเป็นสมบัติที่ล้ำค่า! ไม่เพียงแต่จะทำให้กงล้อสังสารวัฏของข้าได้รับการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของข้าอีกด้วย ถ้าพลาดโอกาสนี้ไป ข้าคงเสียใจไปตลอดชีวิต…”
เฉินซีลอบอุทานด้วยความประหลาดใจ
เมื่อมองเพียงแวบเดียว เขาก็สังเกตเห็นคนอื่น ๆ ที่อยู่ในระยะไกล กำลังรวบรวมเศษเสี้ยวพลังเทวะเหล่านั้นขณะที่พวกเขาต่อสู้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสังเกตเห็นว่า พลังงานนี้ให้ประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของพวกเขามานานแล้ว
‘ดูเหมือนว่าข้าต้องเคลื่อนไหวให้เร็วที่สุด…’ เฉินซีเก็บยันต์ศัสตราทันที จากนั้นปราณจ้าววิญญาณ ของเขาก็พรั่งพรูขึ้นและกลายร่างเป็นยักษ์ที่สูงกว่ายี่สิบลี้ ซึ่งมีสามเศียรหกกรในทันที
ครืนนน!
มวลพลังพายุสายฟ้าได้ส่องแสงเจิดจ้าและหมุนวนอยู่รอบตัวเฉินซีพร้อมกับส่งเสียงดังกึกก้อง ทำให้เขาดูเหมือนเทพอสูรที่กำเนิดจากสายฟ้า เขายืนอยู่อย่างมั่นคง จากนั้นจึงสะบัดมือออกไป จนระเบิดพลังกลายเป็นกระแสพายุสายฟ้านับไม่ถ้วน และส่งเสียงหวีดหวิวในขณะที่พวกมันขยายตัวออกไป
พลังทำลายจากการโจมตีของเฉินซีนั้นเหมือนกับพลังทำลายของคลื่นยักษ์หรือแผ่นดินถล่ม ซึ่งมันได้ห่อหุ้มทหารม้ามรณะทั้งหมดที่อยู่ในระยะหกสิบลี้ที่อยู่รอบตัวของเขา ทันใดนั้นเอง พวกมันทั้งหมดก็ระเบิดและกลายเป็นปราณอสูรที่ดุร้าย
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ในทางกลับกัน พลังเทวะที่ยังคงเหลืออยู่ถูกพายุสายฟ้ากลืนกิน และกลายเป็นกระแสน้ำที่พุ่งเข้าสู่ร่างของเฉินซี ทำให้การบ่มเพาะของเขาได้ก้าวหน้าขึ้นอย่างมหาศาลทันที
นอกจากนี้ ชายหนุ่มยังสังเกตเห็นว่าพลังเทวะนี้มีผลต่อร่างกายอย่างมาก อีกทั้งยังทำให้เส้นลมปราณและกล้ามเนื้อในร่างของเขามีร่องรอยของกลิ่นอายนิรันดร์จาง ๆ เช่นกัน!
“เป็นไปตามที่ข้าคาดไว้ เผ่าพันธุ์ที่สามารถต่อกรกับเหล่าทวยเทพได้ จะต้องมีความแข็งแกร่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ข้าชักอยากรู้จริง ๆ ว่า การบ่มเพาะของข้าจะก้าวหน้าขึ้นอย่างก้าวกระโดดได้หรือไม่ หากข้าได้กลืนกินผู้บ่มเพาะจากนอกพิภพเหล่านี้?”
เฉินซีอุทานด้วยความตกใจ แต่เขาก็ไม่ได้ช้าลงเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเป็นดั่งเทพอสูรที่ปล่อยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวและน่าสยดสยองในทุกการเคลื่อนไหว อีกทั้งยังมีกลิ่นอายแห่งการคุกคามที่อหังการยิ่ง
แต่ไม่ว่าเขาจะทำลายล้างทหารม้ามรณะไปสักกี่ตัว ก็ยังมีทหารม้ามรณะจำนวนมากพุ่งเข้ามาจากระยะไกล พวกมันดูราวกับไม่มีที่สิ้นสุดจริง ๆ
หากเป็นผู้บ่มเพาะคนอื่น คนผู้นั้นอาจจะตายด้วยความเหนื่อยล้าไปแล้ว
แต่หลังจากได้รับการเติมเต็มด้วยพลังเทวะ พละกำลังของเฉินซีก็ได้รับการเติมเต็มอย่างต่อเนื่อง และเขาก็ไม่ได้แสดงอาการเหนื่อยล้าออกมาแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป การขัดเกลากายาและการบ่มเพาะปราณแท้ของเขาก็ได้บรรลุขอบเขตจุติระดับที่สอง!
แม้แต่เฉินซีเองก็ยังตกตะลึงกับความเร็วในการบรรลุระดับนี้ เนื่องจากมันเร็วเกินไป และใช้เวลาในการบรรลุน้อยกว่าหนึ่งช่วงก้านธูป ซึ่งหากข่าวนี้ได้แพร่กระจายออกไป ก็คงจะไม่มีใครที่กล้าเชื่อย่างแน่นอน
ดังนั้นการใช้พลังเทวะที่มีผลลัพธ์อันน่ามหัศจรรย์ ท้าท้ายสวรรค์เพียงใดก็สามารถเห็นได้ชัดจากสิ่งนี้
“อืม? มีคนถูกปิดล้อมอยู่ที่ข้างหน้าหรือ?” ทันใดนั้น เฉินซีเหลือบมองไปโดยไม่ได้ตั้งใจและเห็นผู้บ่มเพาะสองสามคนถูกกลุ่มทหารม้ามรณะปิดล้อมอยู่ห่างไกลออกไป
สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงก็คือชุดเกราะ หมวก อาวุธ และม้าของทหารม้ามรณะเหล่านี้ กลับมีสีแดงเข้มราวกับเปลวเพลิง!
ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายของนักรบเหล่านี้ ก็ยังน่าเกรงขามยิ่งกว่าทหารม้ามรณะที่เขาเคยเห็นก่อนหน้านี้เสียอีก ทุก ๆ การเคลื่อนไหวของพวกมันจะทำให้ปราณอสูรพวยพุ่ง อีกทั้งพวกมันยังใช้กระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่หลากหลาย!