บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 543 มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์!
บทที่ 543 มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์!
เสียงตะโกนดังก้องของวิปลาสหลิ่วทำให้ทุกคนสะดุ้ง
น้ำเสียงที่เอ่ยคำว่า ‘ไสหัวไป’ นั้นทรงพลังมาก ถึงขั้นที่ไม่เห็นหัวปิงซื่อเทียนซึ่งเป็นเซียนสวรรค์ว่าเป็นอะไร ท่าทางเย่อหยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกหายใจไม่ออก และเผยสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา
กระทั่งเจิ้นหลิวชิงและคนอื่น ๆ ต่างชะงักไป ด้วยไม่คิดว่าตาแก่ที่ปกติดูซอมซ่อและมีอารมณ์ร้ายอยู่ตลอด จะมีด้านที่น่าเกรงขามเช่นนี้ นับเป็นเรื่องที่คิดไม่ถึงจริง ๆ
“เจ้าพูดกับข้าหรือ?” ปิงซื่อเทียนมีใบหน้าขรึม สายตาเยียบเย็นจนแทบฆ่าคนได้
“จะมีใครอีก? หากร่างจริงของเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าคงจะกลัวอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ข้ามั่นใจว่าสามารถกำจัดเจ้าได้” วิปลาสหลิ่วกลอกตาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“คิดหรือว่าเจ้าหลบอยู่ในภพมนุษย์แล้วจะไม่มีใครสามารถยับยั้งเจ้าได้?” ไฟแค้นพลันลุกโชนขึ้นในดวงตาของชายหนุ่ม ครั้งนี้เขาโกรธขึ้นมาจริง ๆ แล้ว
เขาเป็นใครน่ะหรือ? เขาเป็นถึงเซียนสวรรค์ผู้สูงส่ง มีตอนไหนที่ถูกกระทำเช่นนี้บ้าง?
แต่กลับมีมดตัวจิ๋วตัวหนึ่งที่คอยล่วงเกินเขาไม่หยุด เมื่อครู่ตาแก่สกปรกนี่ยังลุกขึ้นมาเอ่ยคำไม่ไว้หน้ากัน ทำให้ปิงซื่อเทียนโกรธเคืองยิ่งนัก
เมื่อราชันเดือดดาล ลำธารย่อมนองไปด้วยเลือด แต่เมื่อเซียนสวรรค์เดือดดาล นับว่าสามารถทำลายล้างโลกขนาดเล็กได้ทีเดียว!
แม้ปิงซื่อเทียนในตอนนี้จะอยู่ในร่างจำแลง แต่หากลองเสี่ยงดู พลังทำลายล้างที่เขาปล่อยออกมาก็นับว่าสูงส่งจนเกินบรรยาย
“อ้อ? อยากจะลองหรือ?” วิปลาสหลิ่วก้าวขึ้นมา เคราแพะพลิ้วไหวไปตามลม ปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่ากลัวสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
นี่คือจิตสังหารของเซียนสวรรค์!!!
ยามสวรรค์ส่งจิตสังหารลงมา กลุ่มดาราจะพากันขับเคลื่อน เมื่อปฐพีส่งจิตสังหารออกมา ชีวาทั้งหลายจะเคลื่อนไหว และเมื่อมนุษย์เผยจิตสังหารออกมา ฟ้าดินก็ถูกพลิกกลับ แต่เมื่อเป็นจิตสังหารของเซียนสวรรค์ ก็นับว่ามากพอจะทำลายล้างทั้งโลกได้ทีเดียว!!!!
“หึ! คนเขลานั้นไร้ความกลัวจริง ๆ!” ปิงซื่อเทียนเยาะ เขาพลิกฝ่ามือทีหนึ่ง ประกาศิตหนึ่งก็เรืองแสงสีทองขึ้นมา ชั่วพริบตาที่มันปรากฏขึ้น ก็เผยความสูงส่งออกมา ส่งผลให้ทุกคนอยากคุกเข่าลงอ้อนวอนแล้วบูชาด้วยใจภักดี
“ประกาศิตภพเซียน!?” วิปลาสหลิ่วพลันส่องประกายเยือกเย็น เขาดูตกใจเล็กน้อย เหมือนไม่คิดว่าสมบัติเช่นนี้จะมาปรากฏอยู่ในมือของอีกฝ่ายได้
“ใช่แล้ว ข้ารับภารกิจจากภพเซียนมาให้ตรวจสอบสาเหตุของกลียุคแห่งสามภพตอนที่ลงมาในภพมนุษย์ครั้งนี้ ดังนั้นสมบัติชิ้นนี้ย่อมตกอยู่ในกำมือข้า” ปิงซื่อเทียนหัวเราะลั่น น้ำเสียงเยียบเย็นที่สุด “ประกาศิตนี้อาจเป็นเพียงสมบัติอมตะในสายตาผู้อื่น ดูไร้สิ่งใดพิเศษ แต่กับเจ้ามันต่างกัน เจ้าคือผู้ละทิ้งสวรรค์ หากข้าใช้งานมันแล้วมีหรือเจ้าจะหลบหนีได้?”
วิปลาสหลิ่วพลันมีสีหน้าขรึม ปิงซื่อเทียนกล่าวถูกต้องแล้ว ประกาศิตภพเซียนมีอำนาจของภพเซียนอยู่ เมื่อมีตัวตนใดเช่นเขาจุติกลายเป็นเซียนสวรรค์ แต่ไม่ขึ้นไปยังภพเซียนก็จะถูกประกาศิตภพเซียนเรียกตัวไป ย่อมถูกบังคับให้กลับไปภพเซียนภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป
“เยี่ยม เยี่ยมเลย! เจ้าปิงซื่อเทียนกลับมีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ได้ นับว่าเปิดหูเปิดตาข้าได้จริง ๆ แต่…” วิปลาสหลิ่วเอ่ยเยาะ ขณะสีหน้าเผยแววอำมหิต “คิดว่าก่อนจะถูกดึงไปภพเซียนข้าจะฆ่าเจ้าไม่ได้หรือ?”
ชายหนุ่มรูปงามชะงักไป จากนั้นหัวเราะเสียงเย็น “ไม่ลองดูเล่า?”
บรรยากาศรอบกายจึงแปรเปลี่ยนเป็นดุดัน
การปะทะกันระหว่างสองผู้ยิ่งใหญ่ทำให้คนรอบกายหวาดกลัว จนไม่อาจยื่นมือเข้าแทรกได้
กระทั่งทูตจากแดนภวังค์ทมิฬยังมีสีหน้าทะมึนและหวาดกลัวยิ่ง
ตอนนี้ในใจทุกคนแทบหยุดเต้น ขณะมองภาพศึกที่กำลังจะปะทุขึ้นระหว่างเซียนสวรรค์ทั้งสอง พวกเขารู้สึกราวกับวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง อยากหันหลังวิ่งหนีไปเท่านั้น
เหตุผลนั้นง่ายมาก เมื่อทั้งสองสู้กัน ฟ้าดินคงได้ถูกทำลาย พวกเขาย่อมต้องตาย เมื่อถูกแรงกระทบนั้น!!
ท่ามกลางความเงียบนี้ เฉินซีมองเงาร่างผอมโซเบื้องหน้าตน ในใจรู้สึกทั้งอบอุ่นและเศร้าใจ หากแต่ที่มากกว่าคือความโกรธ
เป็นเพราะปิงซื่อเทียนคนเดียว วันนี้จึงเกิดเรื่องขึ้นมากมาย เขาทำให้สหายของชายหนุ่มต้องติดร่างแหไปด้วย จนไม่อาจเข้ากับกองกำลังฝ่ายใดในแดนภวังค์ทมิฬได้ แล้วตอนนี้ยังจะดึงวิปลาสหลิ่วไปเกี่ยวอีก ทำให้เขาโกรธจัดทีเดียว
“เฉินซี ยังจำที่ข้าพูดได้หรือไม่? หากเรารวมพลังกัน ข้ามั่นใจถึงสามในสิบส่วนว่าจะสามารถทำให้เจ้านั่นบาดเจ็บสาหัส อาจกระทั่งสังหารเขาได้ เจ้าลองคิดดูแล้วกัน” ในขณะที่ใจกำลังแค้นเคืองนัก เสียงของหม้อใบจิ๋วก็พลันดังขึ้นมา
สามในสิบส่วนหรือ!
เมื่อได้ยินว่ามีความมั่นใจต่ำเช่นนี้ ใจที่เกือบจมดิ่งสู่ความแค้นของเฉินซีก็พลันสลายไป นัยน์ตาแดงก่ำจ้องเขม็งไปยังปิงซื่อเทียนที่กำลังหัวเราะเสียงเย็น พลันเอ่ยขึ้นว่า “ผู้อาวุโสหลิ่ว ขอบคุณในความหวังดีครั้งนี้ของท่านด้วยขอรับ หากข้ามีโอกาสย่อมตอบแทนท่านในอนาคตแน่นอน แต่ตอนนี้ขอให้ท่านหลบไปก่อน ปล่อยเรื่องนี้ให้ข้าจัดการเองเถิด”
เฉินซีพลันเอ่ยขึ้นมา ทำลายความเงียบอันน่าประหม่าอย่างไม่มีใครคาดคิด ชั่วพริบตาต่อมา สายตาตกใจของทุกคนก็พุ่งไปทางเขา หรือเจ้าเด็กนี่อยากสละตนเองเพื่อให้วิปลาสหลิ่วปลอดภัยกัน?
“อย่าไร้สาระเลย! เจ้าไปยืนตรงนั้นดี ๆ เถอะ!” วิปลาสหลิ่วมุ่นคิ้ว พลางเอ่ยตอบเสียงต่ำ
“ผู้อาวุโส ต่อไปข้าอาจต้องเจอสถานการณ์ที่อันตรายกว่านี้อีก หากตอนนั้นท่านไม่อยู่ข้าจะทำอย่างไรเล่า?” เขายังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบ “ให้ข้าจัดการเถอะ ปิงซื่อเทียนเป็นศัตรูของข้า หากข้าไร้ความกล้าจะรับมือเขา ชั่วชีวิตนี้ข้าก็คงไม่อาจกลายเป็นเซียนได้”
“เจ้า…” วิปลาสหลิ่วอยากตอกกลับ แต่เมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่ายแล้ว ใจก็เกิดสั่นขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล จากนั้นพลันชะงักไปและพูดอะไรไม่ออก
นี่มันสายตาอันใดกัน?
ทั้งสงบและชัดเจนดั่งหิมะ ทั้งยังมุ่งมั่นและมั่นคงอย่างลึกล้ำ เหมือนสายตาจากนักรบหาญกล้าบนสมรภูมิ แม้ทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยขวากหนาม กระบี่มากหลาย และทะเลเพลิง ก็คงไม่อาจทำให้อีกฝ่ายมุ่นคิ้วได้ด้วยซ้ำ
“ฮ่า ๆ! คิดหรือว่าทำเช่นนี้จะทำให้คนอื่น ๆ ปลอดภัยได้?” ปิงซื่อเทียนพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เผยสีหน้าเย้ยหยันออกมาเต็มที่ “ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่ใช่แค่เจ้า สหายเจ้าเองก็ไม่อาจเข้าแดนภวังค์ทมิฬได้เช่นกัน!”
อันใดนะ!?
ทุกคนรอบข้างพลันร้องตกใจ พวกเขาเข้าใจว่าชายหนุ่มคงเกิดความคิดหมายสังหารเพราะถูกเฉินซีโต้กลับหลายครั้ง และเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยคำออกมา ย่อมไม่อาจเปลี่ยนคำนั้นไปได้ง่าย ๆ แน่
“เฉินซี ไม่เป็นไร แม้พวกข้าต้องตายวันนี้ก็จะยังสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้า!” หวงฝู่ฉิงอิงและคนอื่น ๆ กลับดูสุขุมนัก ทุกคนต่างร้องบอกว่าจะสนับสนุนเขา เห็นได้ชัดว่าเตรียมใจยอมรับความตายไว้แล้ว
เฉินซีพลันหันกลับไป ความคิดก่อนหน้ายิ่งมั่นคงขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นสีหน้ามั่นใจของหวงฝู่ฉิงอิงและคนอื่น ๆ “ไม่ต้องห่วง วันนี้ไม่มีใครมาขวางเราไม่ให้เข้าแดนภวังค์ทมิฬได้ทั้งนั้น!”
“หึ! หน้าไม่อายจริง! ไหนแสดงฝีมือให้ข้าดูหน่อยว่ามดปลวกเช่นเจ้ามีดีอะไรถึงได้ปากดีได้เช่นนี้!” ปิงซื่อเทียนเหยียด
เฉินซีไม่ว่าอะไรต่อ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยคำในใจช้า ๆ “หม้อหยกจิ๋ว ต้องให้เจ้าต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับข้าแล้ว”
“เดี๋ยวก่อน!” แต่จังหวะที่เฉินซีกำลังจะยอมเสี่ยงชีวิตนั่นเอง หม้อหยกจิ๋วก็พลันร้องขึ้น “มีคนกำลังมา สถานการณ์อาจพลิกให้เราเป็นฝ่ายได้เปรียบก็เป็นได้”
ชายหนุ่มชะงักไป จังหวะที่กำลังจะเอ่ยถาม ก็บังเกิดเสียงฝีเท้าดังสนั่นราวกับฟ้าลั่นขึ้นมา สะเทือนจนเขารู้สึกมึนงง แก้วหูแทบระเบิด
ตึง! ตึง! ตึง!
จังหวะนั้นเองที่คนอื่น ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าสะเทือนฟ้าดินดังมาเช่นกัน คนทั้งหมดล้วนมีใบหน้าซีดเผือด ทอดสายตามองไประยะไกล
ท้องฟ้าตรงนั้นแยกออกเป็นรอยแยกมิติขนาดยาว มีเงาร่างสูงเสียดฟ้าร่างหนึ่งเดินออกมาจากรอยนั่น ทุกย่างก้าวสะท้านสะเทือนปฐพี แรงกดดันสูงจนถึงขีดสุด
เขามีร่างสูงมาก เงาเมฆหลายชั้นบดบังจนเห็นเพียงเอว ร่างกายส่วนบนทั้งหมดอยู่พื้นหมู่เมฆขึ้นไปอีก!
ที่น่าตกใจที่สุดคือหมอกดำหนาที่พุ่งออกมาจากร่างนั้น ทำให้เมื่อผ่านที่ใดก็กระจายความมืดมิดปกคลุม ราวกับตกลงสู่ค่ำคืนตลอดกาล
กระทั่งปิงซื่อเทียนกับวิปลาสหลิ่วยังเผยสีหน้าตื่นตะลึงเมื่อได้เห็น พวกเขาเหมือนเดาออกแล้ว แต่ยังไม่กล้ามั่นใจสิ่งใด
ฟุ่บ!
เงาร่างสูงเสียดฟ้าพลันมาถึงนอกเมืองบรรพกาลในชั่วพริบตา เมฆเหนือเมืองพลันแยกออก เห็นเป็นมือยักษ์ข้างหนึ่งกำลังเอื้อมลงมา
ชั่วพริบตานั้น แขนนั่นก็บดบังแสงจนเมืองบรรพกาลครึ่งหนึ่งตกอยู่ในความมืด ดวงตาของร่างนั้นราวกับธารน้ำสองสายที่สะท้อนเงาดารา เครายาวหกลี้ที่ปกคลุมใบหน้าทิ้งตัวลงมาราวกับน้ำตกสีดำสนิท คิ้วทั้งสองดั่งขุนเขาเรียงรายในใต้หล้า ผิวกายขรุขระ รูปร่างดูสง่างามเป็นยิ่งนัก
ที่น่าตกใจที่สุดคือ สองข้างศีรษะคือเขาสีดำคู่หนึ่ง มันกรีดผ่านฟ้าดั่งกระบี่คม สะท้อนเงาแสงอันน่าสะพรึงกลัว
ท่าทางเหมือนปีศาจน่าเกรงขามที่เคยต่อสู้เมื่อยุคบรรพกาลนัก!
ทุกคนรู้สึกหายใจไม่ออกเมื่อเห็นภาพนี้ ในใจให้เกิดความรู้สึกดั่งตนเองเป็นมดตัวน้อยตัวหนึ่ง
“มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์!?” ปิงซื่อเทียนและวิปลาสหลิ่วจำคนผู้นี้ได้พร้อมกัน
ทว่าทูตแดนภวังค์ทมิฬที่เพิ่งหายตกใจ เมื่อได้ยินเสียงร้องตกใจของทั้งสอง สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป นัยน์ตาเจือแววหวาดผวาล้ำลึก
มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์คือวัวปีศาจที่มาจากแดนไร้นามของแดนภวังค์ทมิฬ มีชีวิตอยู่มานานเกินจะนับ ว่ากันว่าเขาเคยสังหารเซียนสวรรค์ กระทำสิ่งใดอย่างไร้ความควบคุม ทำให้เหมือนเป็นปีศาจมาจุติก็ไม่เกินจะกล่าว
เดิมทีทุกคนคิดว่ามันเป็นเพียงตำนาน แต่เมื่อได้เห็นเงาร่างสูงเสียดฟ้าเต็มสองตา ก็รู้ว่าถึงตำนานอาจไม่ใช่เรื่องจริง แต่ใกล้เคียงนัก
แค่กลิ่นอายที่มันปล่อยออกมาก็ทำให้หายใจได้ลำบากแล้ว ทั้งยังน่ากลัวกว่าปิงซื่อเทียนเสียอีก
“โอ้ มาทันเวลาพอดีเชียว” นัยน์ตาดั่งกงจักรเลือดของมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์มองผ่านทุกคน กระทั่งปิงซื่อเทียนและวิปลาสหลิ่วก็ด้วย สุดท้ายก็ลากสายตาไปหยุดที่ข้างกายเฉินซี
เจิ้นหลิวชิงยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อถูกมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์จ้องเข้าก็ให้รู้สึกว่าคุ้นเคยขึ้นมา
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าอยู่ที่นี่จริงด้วย ฮ่า ๆ!” มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์พลันหัวเราะลั่น เสียงดังออกมาดั่งฟ้าร้อง สะเทือนไปทั่วทั้งเมืองบรรพกาล