บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 553 ข้อพิพาทสำหรับตำแหน่งปรมาจารย์สูงสุด
บทที่ 553 ข้อพิพาทสำหรับตำแหน่งปรมาจารย์สูงสุด
ณ ยอดเขาสัประยุทธ์ ด้านหน้าห้องโถงขนาดใหญ่และเก่าแก่
เพราะคำพูดของวิปลาสหลิ่ว จึงทำให้บรรยากาศของที่นี่ตกอยู่ในความเงียบงันอย่างฉับพลัน
ภายในแดนภวังค์ทมิฬอันกว้างใหญ่หรือสุดยอดนิกายแห่งอื่น เช่น นิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิบล้วนมีผู้ละทิ้งสวรรค์สังกัดอยู่
ผู้ละทิ้งสวรรค์เหล่านี้ได้พิชิตระลอกคลื่นแห่งทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้าเมื่อนานมาแล้ว และสามารถขึ้นสู่ภพเซียนเพื่อกลายเป็นเซียนสวรรค์ได้ ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขาจึงไม่ต้องการที่จะเป็นเซียนสวรรค์ ดังนั้นคนเหล่านี้จึงได้ใช้เคล็ดวิชาลับเพื่อปกปิดร่างเซียนและซ่อนตัวอยู่ในภพมนุษย์
แต่การกระทำเช่นนี้ก็ทำให้พวกเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เท่าเทียม ประการแรก อายุขัยของพวกเขาจะค่อย ๆ โรยราไปตามกาลเวลา เพราะพวกเขาไม่สามารถดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ได้ และประการที่สอง การบ่มเพาะของพวกเขาจะถูกจำกัดอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับเก้าเท่านั้น ทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้พลังที่แท้จริงของเซียนสวรรค์ได้
แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เมื่อตัวตนในฐานะผู้ละทิ้งสวรรค์ถูกเปิดเผยและถูกความลับของสวรรค์ค้นพบ พวกเขาจะถูกบังคับให้เข้าสู่ภพเซียนโดยไม่มีโอกาสได้หวนคืนสู่ภพมนุษย์อีกเลย
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกลงทัณฑ์อีกเช่นกัน!
“เหตุใดสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้น? หรือว่าเจ้าได้ต่อสู้กับเซียนสวรรค์มา?” ประมุขนิกายขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาส่องประกายแสงเยียบเย็น เพราะเท่าที่ทราบมา ด้วยความแข็งแกร่งของวิปลาสหลิ่ว เว้นแต่ว่าจะเป็นเซียนสวรรค์ มิฉะนั้นก็จะไม่มีผู้ใดสามารถบีบบังคับให้เขาต้องเผยตัวตนในฐานะผู้ละทิ้งสวรรค์ได้
“ประมาณนั้น” วิปลาสหลิ่วกล่าวอย่างเฉยเมย
“ในบรรดาทูตของแดนภวังค์ทมิฬที่สืบเชื้อสายมาจากสมรภูมิบรรพกาล มีเพียงปิงซื่อเทียนเท่านั้นที่เป็นเซียนสวรรค์ ศิษย์พี่ใหญ่หลิ่ว ท่านคงไม่…” ผู้อาวุโสอดไม่ได้ที่จะถาม
“ถูกต้อง” ชายชราหัวเราะอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ไอ้สารเลวนั่นทำให้ศิษย์ของข้าต้องอับอายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วข้าจะนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร? ถ้าไม่ใช่เพราะมันมีประกาศิตภพเซียนอยู่ในมือ ข้าคงสังหารมันไปนานแล้ว!”
ฟู่!
ทุกคนล้วนอ้าปากค้างและถอนหายใจออกมา แม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าศิษย์พี่ใหญ่หลิ่วมีนิสัยที่ดื้อด้านมาก แต่พวกเขาก็ยังต้องตกใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อได้ยินอีกฝ่ายยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าตนเองได้เผชิญหน้ากับปิงซื่อเทียน
ปิงซื่อเทียนคือใครน่ะหรือ??
เขาคืออัจฉริยะที่โดดเด่นและเจิดจรัสที่สุดของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ในรอบหนึ่งพันปี เป็นเซียนสวรรค์ที่แท้จริงซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแดนภวังค์ทมิฬ และข่าวที่เขาได้ลงมายังสมรภูมิบรรพกาลของภพมนุษย์ในครั้งนี้ ก็ทำให้เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬ
หากข่าวที่ว่าวิปลาสหลิ่วได้เผชิญหน้ากับปิงซื่อเทียนนั้นแผร่กระจายออกไป มันก็จะก่อให้เกิดความโกลาหลอย่างมากอย่างแน่นอน
“ช้าก่อน หากปิงซื่อเทียนมีประกาศิตภพเซียนอยู่ในมือ ศิษย์พี่ใหญ่หลิ่วคงถูกบังคับให้เข้าสู่ภพเซียนไปตั้งนานแล้ว หรือว่ามีเหตุการณ์ไม่คาดฝันบางอย่างเกิดขึ้นในเวลานั้น” ประมุขนิกายเวินหัวถิงไตร่ตรองอยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่เขาจะโพล่งออกมา
“ถูกต้อง มันเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ ตอนที่ข้าเผชิญหน้ากับไอ้สารเลวปิงซื่อเทียน…” วิปลาสหลิ่วไม่ได้ปิดบังอะไรและเล่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น
เขากล่าวถึงเรื่องนี้อย่างสบายอารมณ์ แต่เมื่อมันลอดผ่านหูของคนอื่น มันก็เหมือนกับเสียงของฟ้าร้อง ซึ่งสั่นคลอนพวกเขาจนสีหน้าถึงกับเปลี่ยนไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าและรู้สึกว่าเหลือเชื่อ
มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ หวงเหมยเวิงแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขนนก ฉผัสสะแห่งวัดป่าธยานะ ฟางจ่านเหมยแห่งนิกายอสูรสวรรค์แรกกำเนิด …ทุกชื่อเหล่านี้ดูจะมีมนต์สะกดอันน่าหวาดกลัว ซึ่งครั้งหนึ่งตัวตนเหล่านี้เคยอาละวาดไปทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬและเหลือเพียงตำนานสะท้านฟ้าสะเทือนดินอันเป็นนิรันดร์เอาไว้
ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยนานแสนนาน แต่ในตอนนี้กลับปรากฏตัวขึ้นในสมรภูมิบรรพกาลคนแล้วคนเล่า เพียงเพื่อคัดเลือกและรับศิษย์ที่มีโชคชะตาร่วมกันกับพวกเขา สิ่งนี้จะไม่ให้ตกตะลึงได้อย่างไร?
“ราชวงศ์ซ่งช่างโชคดีจริง ๆ ศิษย์ของพวกเขาถูกเลือกอย่างมากมาย” ผู้อาวุโสคนหนึ่งถอนหายใจที่มากด้วยความรู้สึก อันเนื่องมาจากโชคชะตาอันยอดเยี่ยมของราชวงศ์ซ่ง
“ชายหนุ่มที่ชื่อเฉินซีนั้น กลับมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับชิงซิ่วอี้ในชาตินี้ นี่…มันน่าเหลือเชื่อจริง ๆ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งรู้สึกประหลาดใจ และในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดปิงซื่อเทียนถึงต้องการสร้างปัญหาให้เฉินซี
“เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ได้เปิดเผยตัวทีละคน แม้แต่สาวกของนิกายพุทธก็อดไม่ได้ที่จะเคลื่อนไหว ดูเหมือนกลียุคของทั้งสามภพกำลังใกล้เข้ามาแล้วจริง ๆ ข้าไม่รู้ว่าจะมีสักกี่ชีวิตที่ได้รับผลกระทบจากหายนะครั้งนี้…” ผู้อาวุโสคนหนึ่งตระหนักได้ถึงร่องรอยของบางอย่างที่แตกต่างออกไป และอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล
ส่วนผู้อาวุโสคนอื่นที่ยังคงนิ่งเงียบก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป และดูเหมือนพวกเขากำลังตกอยู่ในห้วงความคิดอย่างลึกซึ้ง ข้อมูลที่วิปลาสหลิ่วเปิดเผยนั้นน่าตกตะลึงอย่างแท้จริงและพวกเขาต้องใช้เวลาในการไตร่ตรองพอสมควร
“ยังอีกนานกว่ากลียุคของทั้งสามภพจะมาถึง ดังนั้นพวกเจ้าอย่าได้กังวลกับเรื่องนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ” เวินหัวถิงกวาดสายตามองทุกคน จากนั้นเขาก็โพล่งขึ้นว่า “เป็นไปตามคำกล่าวที่ว่า วีรบุรุษมักจะปรากฏตัวในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ทุกครั้งที่เกิดกลียุค จะมีโชคลาภมากมายนับไม่ถ้วนถาโถมเข้ามาเช่นเดียวกัน และสำหรับนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้าก็ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่สวรรค์ได้ประทานให้เช่นกัน”
ขณะที่กล่าวจบ ดวงตาของเวินหัวถิงก็เต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ลึกซึ้ง และเขาก็เผยท่าทางที่หยิ่งผยองราวกับครอบครองอาญาสิทธิ์ที่สามารถปกครองโลกได้ออกมา
ทุกคนหายจากอาการตกใจ และพวกเขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะเห็นด้วยกับมุมมองของเวินหัวถิง
การมาถึงของกลียุคเป็นหายนะครั้งใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสอันดีที่จะเปลี่ยนแปลง! ในเวลานั้น ภพทั้งสามจะปรากฏเหล่าราชาที่ผงาดขึ้นมาเพื่อยึดอำนาจ ส่วนเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ก็จะต่อสู้เพื่อชิงอำนาจอันสูงสุด และระเบียบเก่าจะต้องถูกทำลายเพื่อสร้างโลกใหม่อย่างแน่นอน!
ดังนั้นผู้ที่สามารถอยู่เหนือความวุ่นวายครั้งนี้และสามารถหัวเราะได้ถึงตอนท้าย ก็จะเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เลือดอันร้อนระอุและความทะเยอทะยานที่นิ่งเงียบมาเนิ่นนาน จู่ ๆ ก็พลุ่งพล่านไปทั่วหัวใจของพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง ทำให้พวกเขารู้สึกถึงความภาคภูมิใจอันสูงส่งและความทะเยอทะยานอย่างเต็มเปี่ยม
นิกายกระบี่เก้าเรืองรองนั้นเก็บตัวเงียบมานานเกินไป ทำให้อันดับในสิบนิกายชั้นนำของพวกเขาตกต่ำลงมานานแล้ว อีกทั้งยังสูญเสียความรุ่งโรจน์ในอดีตไป
อย่างไรก็ตาม กลียุคของทั้งสามภพก็ทำให้พวกเขาได้เห็นถึงหายนะครั้งใหญ่ ซึ่งในขณะเดียวกัน ยังทำให้เห็นโอกาสอันดีสำหรับพวกเขาและนิกายกระบี่เก้าเรืองรองที่จะพลิกสถานการณ์และเกิดใหม่อีกครั้ง!
“มีเพียงต้องเตรียมการไว้ก่อนที่จะเกิดกลียุค จึงจะทำให้พวกเราได้รับประโยชน์สูงสุด ท่านประมุขคิดว่านิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเราควรจะใช้มาตรการใดในตอนนี้?”
“ใช่แล้ว กลียุคอยู่ใกล้แค่เอื้อม เราควรเตรียมการไว้ล่วงหน้า”
“ท่านประมุขนิกาย เหตุใดเราไม่…”
เหล่าผู้อาวุโสต่างเริ่มเสนอความคิดอย่างพร้อมเพรียงกัน ทุกคนต่างถูฝ่ามือเข้าด้วยกัน และไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากจะทุ่มทุกสิ่งที่มีจนหมดหน้าตัก
เมื่อเห็นภาพนี้ วิปลาสหลิ่วก็ถอนหายใจแทน และนึกถึงผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทั้งสี่คนที่เขาพบในสมรภูมิบรรพกาล จากนั้นจึงกล่าวในใจว่า ‘การทำลายล้างที่เกิดจากกลียุคของทั้งสามภพจะเรียบง่ายเช่นนั้นได้อย่างไร? พวกเจ้าทุกคนยังหวังที่จะได้รับโชคลาภจากมัน? ช่างเพ้อฝันอย่างแท้จริง…’
เมื่อเผชิญกับการสนทนาของทุกคน เวินหัวถิงจึงจ้องมองมาที่ชายชราและเอ่ยถามออกไปว่า “ศิษย์พี่ใหญ่หลิ่ว ท่านพอมีคำแนะนำอื่น ๆ หรือไม่”
“ข้าหรือ?” วิปลาสหลิ่วตกตะลึงและกำลังจะส่ายหัว แต่เขาดูจะคิดอะไรบางอย่างได้ จึงกล่าวออกไปว่า “ข้าไม่มีสิ่งใดให้เสียใจอีกแล้ว ข้าแค่เป็นห่วงลูกศิษย์ของข้าคนนั้นเท่านั้น ศิษย์น้องเวิน เจ้าพอจะยอมรับคำขอของข้าได้หรือไม่”
“กล่าวสิ่งที่อยู่ในใจของท่านออกมาเถอะ” เวินหัวถิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ตกลง” วิปลาสหลิ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะกล่าวว่า “ศิษย์น้องเวิน หลังจากที่ข้าจากไป เจ้าช่วยรักษาตำแหน่งปรมาจารย์สูงสุดของยอดเขาจรัสตะวันตกไว้ชั่วคราว และหลังจากที่เฉินซีเติบโตขึ้น ค่อยให้เขาได้รับตำแหน่งแทนข้า ได้หรือไม่?”
“อันใดนะ? ตำแหน่งปรมาจารย์สูงสุดนั่นล้วนมาจากผู้อาวุโสของนิกาย เฉินซีเป็นเพียงผู้เยาว์ แล้วเขาจะคู่ควรได้อย่างไร? แล้วถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป เราคงกลายเป็นตัวตลกในสายตาของนิกายอื่นแน่!” ก่อนที่เวินหัวถิงจะทันได้กล่าว เยว่ฉือก็ขมวดคิ้วและกล่าวคัดค้าน “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ข้าหวังว่าศิษย์พี่ใหญ่หลิ่วจะคิดทบทวนเรื่องนี้ก่อนที่จะตัดสินใจ”
“ใช่แล้ว ศิษย์พี่ใหญ่หลิ่ว เรื่องนี้สำคัญยิ่ง อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีและอำนาจของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเรา หากศิษย์ที่เพิ่งเข้าร่วมนิกายได้รับตำแหน่งปรมาจารย์สูงสุด การทำให้ทุกคนยอมรับคงเป็นไปได้ยากนะขอรับ”
“ศิษย์พี่ใหญ่หลิ่ว ข้าขอกล่าวตามตรง ท่านกำลังกวนน้ำให้ขุ่น ผู้คนจะคิดอย่างไรกับนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเรา? ทั้งที่นิกายกระบี่เก้าเรืองรองเป็นหนึ่งในสิบนิกายเซียนของแดนภวังค์ทมิฬและมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลก ตำแหน่งปรมาจารย์สูงสุดในนิกายของเราสามารถเทียบได้กับตำแหน่งของประมุขนิกายชั้นเลิศ เห็นได้ชัดว่าท่านกำลังกวนน้ำให้ขุ่น โดยปล่อยให้เด็กน้อยที่ด้อยประสบการณ์มารับตำแหน่งดังกล่าวแทน!”
“ปรมาจารย์สูงสุดขอบเขตจุติ? นิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเราก่อตั้งขึ้นมาหลายหมื่นปีแล้ว ไหนเลยจะเคยมีปรมาจารย์สูงสุดที่อ่อนแอเช่นนี้มาก่อน? ศิษย์พี่ใหญ่หลิ่ว การกระทำเช่นนี้ไม่ได้ส่งเสริม แต่กลับทำร้ายเขา!”
ผู้อาวุโสทุกคนต่างตกอยู่ในความโกลาหลและแสดงความไม่พอใจออกมาติดต่อกัน พวกเขาทั้งหมดต่างรู้สึกว่าชายชรานั้นหุนหันพลันแล่น และมองว่าตำแหน่งปรมาจารย์สูงสุดเป็นเรื่องเล็กน้อย
“พวกเจ้าตื่นตระหนกอันใดกัน!?” หลังจากที่ได้เห็นทุกคนกล่าวออกมาแล้ว ใบหน้าของวิปลาสหลิ่วก็แสดงออกถึงความโกรธ จากนั้นเขาก็ตวาดว่า “ยอดเขาจรัสตะวันตกของข้ามีศิษย์เพียงไม่กี่คน แล้วเขาจะไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลยหรือ? นอกจากนี้ ข้าไม่ได้บอกว่าเฉินซีควรได้รับตำแหน่งปรมาจารย์สูงสุดในตอนนี้ แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงตีตนไปก่อนไข้เช่นนั้นกันเล่า? หรือว่าพวกเจ้าหมายปองยอดเขาจรัสตะวันตกของข้ามานานแล้ว และตั้งใจที่จะฉวยโอกาสหลังจากที่ข้าจากไปเพื่อยึดมันเอาไว้ในมือ?!”
ก่อนที่ผู้อาวุโสเหล่านั้นจะกล่าวหักล้าง วิปลาสหลิ่วก็กล่าวต่อไปว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าบางคนได้รับศิษย์ชั้นสูงไปแล้วกว่าพันคน หรืออย่างน้อยก็หลายร้อยคน และมักจะบ่นอยู่เสมอว่ามีพื้นที่ไม่เพียงพอ แต่ถ้าคิดหมายปองยอดเขาจรัสตะวันตกของข้า พวกเจ้าก็ล้ำเส้นเกินไป!”
“พวกเจ้ายังจำกฎของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองได้หรือไม่? ตำแหน่งปรมาจารย์สูงสุดนั้นจะถูกกำหนดโดยปรมาจารย์สูงสุดคนก่อนและประมุขนิกาย ซึ่งคนอื่นจะไม่มีสิทธิ์คัดค้าน!”
ทุกคนต่างเงียบกริบเป็นป่าช้า เพราะสิ่งที่เขากล่าวนั้นคือความจริงที่ไม่อาจหักล้างได้
“ฮึ่ม! ท่านกำลังโต้เถียงอย่างไร้เหตุผล แต่เนื่องจากศิษย์พี่ใหญ่หลิ่วกล่าวเช่นนี้ งั้นพวกเรามารับฟังความเห็นของท่านประมุขกันดีกว่า” เยว่ฉือคำรามอย่างเย็นชาก่อนจะจ้องมองไปทางเวินหัวถิง
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ เองก็จ้องมองไปที่เวินหัวถิงเช่นกัน ในบรรดาผู้คนที่อยู่ในตอนนี้ มีเพียงเวินหัวถิงเท่านั้นที่มีอำนาจในการตัดสินใจ และสามารถปฏิเสธความคิดที่แสนโง่เขลาวิปลาสหลิ่วได้
เวินหัวถิงดูจะค่อนข้างสงบเมื่อถูกคนจำนวนมากมองมา เขาครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าและกล่าวว่า “ศิษย์พี่ใหญ่หลิ่ว ข้าเห็นด้วยกับการที่จะให้ตำแหน่งปรมาจารย์สูงสุดของยอดเขาจรัสตะวันตกนั้นว่างเป็นการชั่วคราว”
“แต่มันต้องมีกำหนดเวลา เราจะให้เวลาเขาหนึ่งร้อยปี หากความแข็งแกร่งของเขาไม่สามารถทำให้เขาได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสได้ภายในหนึ่งร้อยปี ตำแหน่งปรมาจารย์สูงสุดก็จะกลายเป็นของคนอื่น”
“ตกลง!” วิปลาสหลิ่วไม่แม้แต่จะครุ่นคิดและรีบพยักหน้าเห็นด้วย
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็ลอบถอนหายใจ และแม้ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจ แต่เมื่อประมุขนิกายตัดสินใจแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้น
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจก็คือ ตำแหน่งปรมาจารย์สูงสุดของยอดเขาจรัสตะวันตกจะถูกปล่อยว่างเป็นเวลาหนึ่งร้อยปีเท่านั้น และมันก็ไม่ได้นานสักเท่าใดนัก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่เชื่อว่าเฉินซีจะสามารถเลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลย!
เพราะถ้าใครต้องการเลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ก็ต้องผ่านการคัดเลือกจากศิษย์สายนอก ศิษย์สายใน ศิษย์ชั้นสูง และศิษย์ชั้นยอด นอกจากนี้ การบ่มเพาะของคนผู้นั้นก็จะต้องบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีแล้วเท่านั้น
ทว่าตอนนี้เฉินซีเป็นเพียงศิษย์ชั้นสูงและอยู่ที่ขอบเขตจุติเท่านั้น แล้วเขาจะสามารถบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีในหนึ่งร้อยปีได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น เขาจะสามารถผ่านการคัดเลือกอันเข้มงวดไปได้หรือไม่?
มันย่อมเป็นไปไม่ได้!
ผู้อาวุโสทุกคนมั่นใจอย่างยิ่ง เพราะเรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในบรรดากองกำลังที่ยิ่งใหญ่ของแดนภวังค์ทมิฬ แล้วนับประสาอะไรกับนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง
เช่น ชิงซิ่วอี้ผู้มีพรสวรรค์อันน่าตื่นตะลึง เมื่อครั้งนั้นนางยังต้องบ่มเพาะกว่าร้อยหกสิบปี จึงจะบรรลุจากขอบเขตจุติไปยังขอบเขตเซียนปฐพี
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าพรสวรรค์ของเฉินซีจะยอดเยี่ยมเพียงใด แล้วมันจะเหนือกว่าของชิงซิ่วอี้ได้หรือไม่?