บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 561 ทะเลการรู้แจ้งแห่งเต๋า
บทที่ 561 ทะเลการรู้แจ้งแห่งเต๋า
ณ ยอดเขาจรัสตะวันตก
เฉินซีกับคนอื่น ๆ มองวิปลาสหลิ่วแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ
วิปลาสหลิ่วพลันเปลี่ยนท่าทีในตอนนั้น เขาเผยแววจริงจังเคร่งขึงที่นาน ๆ ครั้งจะปรากฏ ราวกับกำลังตระเตรียมแผนการก่อนลาโลก และแม้น้ำเสียงจะสงบนิ่ง แต่เฉินซีกับคนอื่น ๆ สามารถรับรู้ได้ถึงความลังเลใจและอารมณ์อ่อนไหวที่อยู่ภายในใจของอีกฝ่ายได้
“อาจารย์ ท่านจะไปจริง ๆ หรือขอรับ?” นัยน์ตาของชิงอวี่แดงพลางเอ่ยถามเสียงเบา
ไม่ใช่เพียงแค่ชิงอวี่ คนอื่น ๆ เองก็มีสีหน้าเศร้าใจและลังเลไม่แพ้กัน ใครจะคิดว่าหลังจากไปเก้าปี เมื่อกลับมาแล้ววิปลาสหลิ่วก็จะจากไปอีกเช่นนี้?
มีเพียงเฉินซีที่เข้าใจว่าชายชราไร้ทางเลือก จำต้องจากไปในครั้งนี้ ด้วยเมื่อครั้งที่พวกเขาอยู่ในเมืองบรรพกาล ตัวตนผู้ละทิ้งสวรรค์ของวิปลาสหลิ่วได้ถูกเปิดเผยแล้ว จากที่ปิงซื่อเทียนกล่าว วิปลาสหลิ่วสามารถอยู่ในภพมนุษย์ได้มากสุดอีกสามวันเท่านั้น ก่อนที่จะถูกบีบบังคับกลับสู่ภพเซียน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชายหนุ่มก็อดรู้สึกผิดในใจไม่ได้ เขารู้ดีว่าเหตุผลที่ชายชราถูกเปิดเผยตัวตนเป็นเพราะเขาทั้งสิ้น และความเมตตานี้ก็ทำให้ชายหนุ่มสงบใจลงได้ยากยิ่ง
แม้จะไม่ได้ติดต่อกับวิปลาสหลิ่วมาเป็นเวลานาน เฉินซีก็สามารถสัมผัสถึงความรู้สึกของวิปลาสหลิ่วได้ว่าอีกฝ่ายยอมรับตัวเขาเป็นศิษย์อย่างแท้จริง
“เอาล่ะ ๆ ต่อไปพวกเจ้าบ่มเพราะพลังจนกลายเป็นเซียน ถึงตอนนั้นก็ได้พบกันอีกไม่ใช่หรือ?” วิปลาสหลิ่วมุ่นคิ้วโบกมือ สีหน้าเศร้าโศกไม่อยากให้จากไปของพวกลูกศิษย์ทำให้ชายชรารู้สึกปั่นป่วนในใจเช่นกัน เขาใช้ชีวิตอย่างไร้กฎเกณฑ์มาตลอด ทั้งยังมีใจเปิดกว้างไม่สนสิ่งใด ดังนั้นจึงไม่อาจทนความเศร้าเสียใจที่ต้องจากกันเช่นนี้ได้
“แต่… ต้องอีกนานเท่าใดเล่าขอรับ?” ศิษย์พี่ชายสูงสุดหั่วโม่เลยเอ่ยเสียงเบา
“เจ้าบื้อ มีความทะเยอทะยานสักนิดไม่ได้เลยหรือไร? ไม่คิดว่าตนเองจะได้เป็นเซียนเช่นนี้ แล้วข้าจะรับเจ้ามาเป็นศิษย์ทำสากกะเบืออะไรเล่า?” วิปลาสหลิ่วโกรธจัดขนาดที่ด่าใส่หน้าหั่วโม่เลย
“อาจารย์พูดถูก” ชายหนุ่มเกาศีรษะตนด้วยสีหน้าละอาย
“พวกเจ้าทุกคนก็เหมือนกัน” วิปลาสหลิ่วหันไปมองหลูเซิงและคนอื่น ๆ ยังคงทำท่าทางดุด่าอย่างต่อเนื่อง “พวกเจ้าเนี่ยเหมือนกับขอนไม้ ศึกษาแต่ของไร้ประโยชน์ได้ทั้งวี่ทั้งวัน ไม่ยอมฝึกบ่มเพาะให้ดี จนถึงขนาดที่เมื่อศัตรูมาถึงหน้าประตูก็ยังไม่กล้าเอ่ยปากสักคำ ล้วนเป็นพวกขี้ขลาดตาขาวทั้งนั้น! ดูซิว่าต่อไปไม่มีใครคอยดูแลแล้วพวกเจ้าจะอยู่กันอย่างไร!”
“คำสอนของอาจารย์นั้นถูกต้องแล้ว” หลูเซิงและคนอื่น ๆ ก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกละอายยิ่ง
หากเป็นเมื่อก่อน วิปลาสหลิ่วก็คงโกรธจนต้องด่ากราดหากเห็นลูกศิษย์ตนเป็นเช่นนี้ แต่ในตอนนี้เขากลับเงียบปาก แววตาทอประกายอ่อนโยน
เฉินซีสังเกตเห็นแววตานั้น และอดถอนหายใจไม่ได้ ไม่ว่าจะดุด่าพวกเขาสักแค่ไหน ในใจลึก ๆ แล้ว วิปลาสหลิ่วก็ยังรักลูกศิษย์ตนอยู่ดี ซึ่งหากไม่เป็นเพราะเขา มีหรือที่ศิษย์พี่ชายสูงสุดและคนอื่น ๆ จะใช้ชีวิตอยู่บนยอดเขาจรัสตะวันตกได้อย่างสบาย ได้ร่ำเรียนสิ่งที่ตนชอบ โดยไม่ต้องถูกโลกภายนอกรบกวนเช่นนี้?
หากพูดอย่างโหดร้ายสักหน่อยก็คือ หากไม่มีวิปลาสหลิ่ว ศิษย์พี่ใหญ่และคนอื่น ๆ ก็คงถูกไล่ออกจากนิกายไปตั้งนานแล้ว นิกายกระบี่เก้าเรืองรองมีรากฐานคือกระบี่ สิ่งที่พวกเขาบ่มเพาะไม่นับเป็นประโยชน์ในสายตาคนอื่น ย่อมถูกคนอื่นตำหนิและเลือกปฏิบัติเป็นแน่
“ต่อไปภายภาคหน้า เรื่องทุกอย่างบนยอดเขาจรัสตะวันตกจะให้ศิษย์น้องเล็กของพวกเจ้าเป็นคนจัดการ ให้ทำตามที่เขาบอกทุกอย่าง พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?” วิปลาสหลิ่วเงียบไปนานก่อนเอ่ยขึ้นช้า ๆ
หั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ พยักหน้าพร้อมกันอย่างไม่ลังเล
“เอาล่ะ กลับไปทำงานของตนเองเถอะ เฉินซี เจ้าอยู่ก่อน” วิปลาสหลิ่วโบกมือกล่าว
…
“ต่อไป ทุกอย่างบนยอดเขาจรัสตะวันตกให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจแล้ว” หลังจากหั่วโม่เลยกับคนอื่น ๆ จากไปแล้ว วิปลาสหลิ่วก็จ้องเฉินซีเขม็ง “มีเจ้าอยู่ข้าก็วางใจ”
“อืม” เฉินซีพยักหน้า “อาจารย์ไม่ต้องห่วง ข้าจะจัดการทุกอย่างเอง”
ถึงตอนนี้ แม้วิปลาสหลิ่วจะสั่งอะไรเพิ่ม เขาก็จะไม่ปฏิเสธ เพราะเขาติดหนี้อีกฝ่ายไว้มากจริง ๆ มีแต่ต้องพยายามทำสิ่งที่ชายชราขอไว้ให้ได้ ใจจึงจะไม่รู้สึกผิด
“ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปหอหมื่นคัมภีร์บนยอดเขาจรัสสสาร ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง อย่างไรก็ต้องทำความคุ้นเคยกับวิชาของนิกายไว้” วิปลาสหลิ่วยิ้มแล้วตบไหล่ชายหนุ่ม เขาไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนจะเคลื่อนตัวออกไป พาเฉินซีทะยานไปพร้อมกัน
ยอดเขาจรัสสสารตั้งอยู่เบื้องหลังยอดเขาจรัสสัตย์จริง มันมีรูปร่างเหมือนหม้อขนาดใหญ่ สูงจนบดบังฟ้า ปลดปล่อยลำแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา หมู่เมฆลอยม้วนเคล้ากับหมอก เป็นดั่งแดนเซียนก็มิปาน
ภายใต้การนำทางของวิปลาสหลิ่ว ทั้งสองก็เหินร่างลงมาบนยอดเขาจรัสสสารภายในเวลาไม่นาน
ที่นี่มีหอเพียงหลังเดียวตั้งอยู่ มันสร้างจากหินขนาดใหญ่ที่มีความสูงกว่าหกลี้ ทะลุขึ้นชั้นเมฆไปทีเดียว เหมือนกับเป็นตำหนักศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นอยู่เหนือสวรรค์ชั้นเก้า ปลดปล่อยกลิ่นอายโบราณดูโอ่อ่า อีกทั้งรอบข้างยังมีหินปูนปูเป็นแนวยาว นำไปสู่สถานที่ต่าง ๆ บนยอดเขา
ตอนนี้มีศิษย์มากหลายกำลังเดินทางไปมา เมื่อเห็นวิปลาสหลิ่วกับเฉินซีเหินร่างลงมาก็รีบโค้งตัวให้ ก่อนส่งสายตาสงสัยมาทางชายหนุ่ม
…ดูเหมือนเขาจะกลายเป็นบุคคลมีชื่อเสียงในนิกายเสียแล้ว
ทว่าชายชราไม่ได้สนใจพวกเขา นำเฉินซีเดินตรงไปยังหอโบราณ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ เฉินซีก็ยิ่งรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่และความเก่าแก่ของสถานที่แห่งนี้ ราวกับมันตั้งตระหง่านอยู่เช่นนี้ตั้งแต่โบราณกาล แผ่กลิ่นอายโบราณดูกดดัน ก่อให้เกิดความเคารพนับถือขึ้นในใจคน
ความเก่าแก่ของมันเป็นสัญลักษณ์ถึงทรัพยากรและมรดกสืบทอดของนิกาย มีแต่กองกำลังที่ไม่ธรรมดาอย่างนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเท่านั้นจึงจะสามารถรักษาสถานที่อันเป็นมรดกล้ำค่าเช่นนี้มานานนับปีได้
เฉินซีเงยหน้ามองหอเบื้องหน้า ในใจเกิดความรู้สึกสงสัย ในฐานะที่มันเป็นหนึ่งในสิบนิกายเซียนแดนภวังค์ทมิฬ มรดกที่สืบทอดมาในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองจะล้ำค่าแค่ไหนกัน?
ทว่าหลังจากนั้นสายตาของชายหนุ่มก็จับจ้องไปทางชายชราที่ยืนอยู่เบื้องหน้าหอแห่งนั้น
ชายชราสวมชุดคลุมสีเทาและดูมีอายุมาก เหลือผมอยู่เพียงไม่กี่เส้น รอยย่นบนใบหน้าราวกับรอยแตก เขากำลังเอนหลังอยู่บนเก้าอี้โยกด้านหน้าหอ ขณะหรี่ตาอาบแดดอยู่
บนตักยังมีเจ้าแมวอ้วนตัวสีดำนอนซุกอยู่ ขนของมันดูหนานุ่มเป็นสีดำสนิท นอนหรี่ตาเกียจคร้านอาบแสงอาทิตย์ท่าทางเหมือนชายชรา
ชายชราผู้นี้มีท่าทางเหมือนผู้เฒ่าทั่วไปในแดนมนุษย์ ที่กำลังใช้วันเวลาที่เหลืออยู่อย่างมีความสุข ไร้กลิ่นอายใดปลดปล่อยออกมา ส่วนเจ้าแมวสีดำก็เหมือนแมวธรรมดาเช่นกัน ไม่เหมือนกับเป็นสัตว์วิญญาณแต่อย่างใด ทว่าเมื่อความธรรมดาอย่างถึงที่สุดเช่นนี้มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าหอหมื่นคัมภีร์ มันจึงดูไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
“ไปเถอะ” วิปลาสหลิ่วเหลือบมองเฉินซี ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องโถงตำรา ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้เหลือบมองชายชราที่อยู่บนเก้าอี้โยกแต่อย่างใด
เฉินซีจึงเก็บความคิดเอาไว้แล้วรีบติดตามไป
…
หลังจากผลักประตูเปิดออก สิ่งที่เฉินซีเห็นเป็นอย่างแรกคือพื้นที่ขนาดใหญ่ ฟ้ากว้างเป็นสีน้ำเงินสดใส มีเมฆขาวประดับประปราย ขุนเขาตั้งตระหง่านและทลายลง มีตะวันลอยเด่นอยู่ตรงกลาง ปลดปล่อยแสงสว่างจ้า
อีกฟากฝั่งคือมหาสมุทรกว้างใหญ่ น้ำทะเลสีใส บนผิวน้ำคือดอกบัวนับไม่ถ้วนที่ปลดปล่อยแสงเรืองสีทองอยู่ เป็นภาพที่ดูงดงามตานัก
เฉินซีรู้สึกประหลาดใจ เพราะบนยอดเขาเหล่านั้นยังมีชั้นหนังสือตั้งเรียงรายอยู่ แต่ละชั้นสูงเสียดเมฆ เต็มไปด้วยหนังสือมากมาย พวกมันอยู่ในรูปของคัมภีร์หยก แผ่นไม้ไผ่ คัมภีร์หินทองคำ แผ่นหยก กระทั่งใบไม้แกะสลัก หนังอสูร หมู่เมฆ… เรียงรายกันเป็นชั้นและทำจากวัสดุหลากหลายชนิด
เป็นภูเขาแห่งคัมภีร์ของแท้!
นอกจากภายในมหาสมุทรกว้างใหญ่ที่มีดอกบัวทองคำลอยอยู่แล้ว ยังมีศิษย์ทั้งหลายที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น หากไม่กำลังถือคัมภีร์อยู่ ก็กำลังนั่งหลับตาเงียบสงบ หรือไม่ก็อ่านออกเสียงออกมา… กำลังศึกษาคัมภีร์หลากหลายแขนงวิชากันอยู่
การเรียนรู้คัมภีร์หลากหลายเช่นนี้ไม่มีทางลัด หรือไม่มีเรือลำใดที่จะพาข้ามทะเลแห่งความรู้ไปอย่างรวดเร็วได้ จู่ ๆ ก็เกิดประโยคนั้นขึ้นในใจเฉินซี ภาพตรงหน้าเขาคือมหาสมุทรแห่งคัมภีร์ เป็นท้องทะเลแห่งความรู้เลยไม่ใช่หรือไร?
“ภายในหอหมื่นคัมภีร์แตกแขนงออกเป็นโลกของมันเอง ภายในกองหนังสือเหล่านั้นคือคัมภีร์มากมายที่บรรพบุรุษของนิกายรวบรวมเอาไว้ ไม่ได้มีเพียงวิชาบ่มเพาะและพลังอิทธิฤทธิ์เท่านั้น ยังมีที่เกี่ยวกับดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ การแพทย์ โหราศาสตร์ และอื่น ๆ อีก นับว่ามีทุกแขนง” วิปลาสหลิ่วส่งกระแสปราณกล่าวอย่างแผ่วเบา “นอกจากนั้นทะเลแห่งนี้เรียกว่าทะเลการรู้แจ้งแห่งเต๋า เป็นสิ่งที่ผู้สร้างนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเหลือทิ้งไว้ หากบ่มเพาะบนดอกบัวเหล่านั้นก็จะได้ผลลัพธ์เป็นสองเท่า”
ภูเขาหนังสือ ทะเลการรู้แจ้งแห่งเต๋า… เฉินซีตกตะลึงอยู่ภายในใจ เทียบกับภาพตรงหน้าแล้ว คลังสมบัติราชวงศ์ซ่งดูเล็กจิ๋วไปเลย
นี่คือทรัพยากรของหนึ่งในสิบนิกายเซียนแห่งแดนภวังค์ทมิฬ ที่มีความเก่าแก่โบราณเสียจนต้องตกใจ
“ต่อไปเจ้าสามารถอ่านทุกอย่างที่นี่ได้ ไม่มีใครกล้าขัดเจ้า ประโยชน์นี้ข้าหามาให้เจ้าด้วยความยากลำบาก หากเป็นศิษย์ชั้นสูงคนอื่นละก็ หึ! แต่ละปีอยู่ที่นี่ได้เพียงเดือนหนึ่งเท่านั้น” ชายชราเอ่ยด้วยสีหน้าภาคภูมิ “มานี่สิ ข้าจะพาเจ้าไปดูมรดกสูงสุดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้า คัมภีร์เก้าเรืองรอง!”
คัมภีร์เก้าเรืองรอง… เฉินซีตกตะลึง ร่ำลือกันว่าคัมภีร์เก้าเรืองรองได้มาจากกลีบดอกบัวที่บรรพบุรุษผู้สร้างนิกายทิ้งเอาไว้ ภายในมีโลกอยู่ จากนั้นก็พัฒนาขึ้นเป็นมหาเต๋าอันหลากหลายและสูงส่งยิ่ง ซึ่งนับเป็นรากฐานของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง
เป็นเพราะมีคัมภีร์เก้าเรืองรองนี้ นิกายกระบี่เก้าเรืองรองจึงสามารถยืนหยัดอยู่ในสิบอันดับแรกนิกายเซียนแห่งแดนภวังค์ทมิฬมานานนับปี มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วโลกหล้า!
“ท่านอาจารย์หลิ่ว!” เป็นจังหวะนั้นเอง น้ำเสียงกระจ่างใสฟังดูไพเราะก็ดังขึ้นมาจากที่ห่างไกล ตามมาด้วยหญิงสาวคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
นางสวมชุดสีแดงจัด ขับรูปร่างผอมเพรียวให้เห็นเด่นชัด มีใบหน้างดงาม ลำคอยาวขาวราวหิมะ อกอวบอิ่ม เอวคอด แล้วมีขาเรียวยาวงดงามคู่หนึ่ง นับเป็นภาพที่อธิบายหญิงสาวผู้มีชีวิตชีวาและงดงามคนหนึ่งได้เป็นอย่างดี
พร้อมกับหญิงสาวที่วิ่งมาถึงตรงนี้ ก็มีหลายสายตาที่พุ่งเข้ามาจากหลายทิศทาง แสดงอารมณ์เทิดทูนและหลงใหลออกมา
“เสี่ยวเคอ?” วิปลาสหลิ่วดูตกใจ “เจ้าลิงน้อย เจ้าเกลียดการบ่มเพาะที่สุด เหตุใดจึงมาอยู่ที่หอหมื่นคัมภีร์ได้?”
“เป็นเพราะงานประลองยอดเขาจรัสในอีกสามเดือนนี้น่ะสิเจ้าคะ พี่สาวจึงบังคับให้ข้ามาที่นี่” หญิงสาวออกหมัดขาวดั่งหยกออกมา เอ่ยขึ้นด้วยความขุ่นเคืองใจ
แต่แม้จะพูดแบบนั้น นัยน์ตาดำขลับกลับลากมามองไปทางเฉินซีแทน เป็นสายตาที่ดูขี้เล่นไม่น้อย
“ศิษย์เอ๋ย นี่คือแม่นางอันเคอ เป็นอย่างไร? ทั้งหน้าตารูปร่างสวยหมดจดเลยใช่ไหมเล่า?” วิปลาสหลิ่วคลี่ยิ้ม เอ่ยแนะนำคนอย่างไม่เหมาะสมยิ่ง “พี่สาวของนาง อันเวย ยิ่งงามกว่านี้อีก หากมีโอกาสก็ไปพบหน้านางเสีย เป็นอาหารตาโดยแท้”
แม้ในใจจะรู้สึกอับอายเพียงใด เฉินซีก็อดเกิดความสงสัยขึ้นไม่ได้ อันเวยหรือ? ใช่ผู้บ่มเพาะหญิงเป็นคนเดียวในห้าศิษย์ชั้นสูงหรือไม่?
อีกทั้งนางยังมีชื่อเป็นอันดับหนึ่งในหมู่ศิษย์ชั้นสูงทั้งห้า เก่งกาจเหนือใครอีกต่างหาก!