บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 585 ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหล
บทที่ 585 ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหล
กลีบดอกไม้ที่มีสัจธรรมสวรรค์บันทึกอยู่ภายในมีสีทอง และเส้นริ้วอันลึกล้ำดั่งมหาเต๋าไร้ที่สิ้นสุดถูกสลักเอาไว้ ทำให้มันปลดปล่อยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์สีทองออกมาตลอดเวลา
ทันทีที่จิตใจของเฉินซีหลอมรวมเข้ากับกลีบดอกไม้ เขาก็รู้สึกว่าเกิดเสียงหึ่งในจิตใจ ทั่วทั้งร่างเหมือนถูกโยนเข้าไปในโลกแห่งความโกลาหล ไม่มีท้องฟ้าและผืนดิน ไร้ดวงดารา ปราศจากทิวทัศน์ มีแต่เพียงสีเทาเท่านั้น
ฟึ่บ!
เส้นแสงสีทองพุ่งออกมาจากความโกลาหลนั้นด้วยความเร่าร้อน มันคือหน่ออ่อนสีเขียวขจี ดูบอบบาง และเยาว์วัยนัก
ทว่าเมื่อมันปรากฏตัวขึ้นก็ปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่าเกรงขามออกมาในพลัน สูงส่งถึงขั้นที่บรรยากาศสีเทาโดยรอบสั่นสะท้าน น่ากลัวยิ่งนัก
เมื่อเฉินซีมองให้ดีก็สังเกตเห็นว่า เส้นแสงศักดิ์สิทธิ์หลากสีกำลังแผ่ออกมาจากหน่ออ่อนสีเขียว ความลึกล้ำแห่งมหาเต๋ามากมายกำลังปรากฏขึ้นภายในแสงศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ เปล่งแสงสว่างไสวและความวุ่นวายออกมาอย่างน่ามหัศจรรย์
ครืน!
เสียงครืนจากฟ้าลั่นสะเทือนทั่วหล้าดังก้องเมื่อหน่ออ่อนนั้นเริ่มเติบโต แตกหน่อ และเติบใหญ่กลายเป็นดอกบัวที่มีใบเป็นสีเขียวดั่งหยก มีกลีบดอกเก้ากลีบซึ่งมีสีแดง สีน้ำเงิน สีดำ สีทอง สีขาว… แต่ละกลีบปลดปล่อยกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดออกมา
เป็นภาพที่ราวกับมีตะวันเจิดจ้าเก้าดวงห้อยอยู่บนกิ่งไม้ แล้วเกิดเป็นดอกบัวที่อัศจรรย์ยิ่งนัก ราวกับว่ามันมีชีวิตจริง ๆ และอยู่เหนือกว่าเซียนกับกาลเวลา ซึ่งดูสง่างามยิ่งนัก
‘หรือว่านี่จะเป็นดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นท่ามกลางความโกลาหล?’ เฉินซีตกตะลึงนัก ไม่อยากเชื่อกับภาพที่เห็น
เปรี๊ยะ!
ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สั่นไหว พร้อมกับปล่อยลำแสงศักดิ์สิทธิ์ดั่งกระบี่คมทะยานขึ้นฟ้ากรีดผ่านความโกลาหลนั้น ชั่วพริบตานั้นเอง บรรยากาศบริสุทธิ์ก็ลอยตัวขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นท้องฟ้า บรรยากาศขมุกขมัวทิ้งตัวลงต่ำ และแปรเปลี่ยนเป็นพื้นดิน
และแล้วมันก็ได้ให้กำเนิดโลกหนึ่งขึ้นมาในลักษณะเช่นนี้เอง!
หลังจากนั้น ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ก็ดีดตัวออกมาและหยั่งรากลึกลงไปในดิน ลำแสงสาดส่องใต้หล้าเปล่งประกายล้อมรอบ
ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มยังสังเกตว่าไม่ใช่เพียงดอกบัวศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ยังมีเงาร่างส่องแสงเรืองรองอีกมากมายที่ดีดตัวออกมาจากภายในความโกลาหล พากันเข้ามาขดตัวอยู่ในลำแสงศักดิ์สิทธิ์จนไม่อาจมองเห็นเงาร่างได้อย่างชัดเจน
บ้างสูงดั่งขุนเขา คำรามลั่นไปทั่วทิศ เพียงเหยียดแขนออกไปก็ทำลายท้องฟ้าที่ประดับด้วยดาราได้แล้ว
บ้างก็ปิดฟ้าบังตะวันได้เพียงปีกเดียว เหินร่างขึ้นสูงถึงสวรรค์ทั้งเก้า กระพือปีกเพียงนิดก็สามารถโบยบินได้อย่างอิสระ
บ้างมีขนาดเท่ากำปั้น แต่สามารถแปลงร่างเป็นลำแสง กระโจนทีเดียวก็หายวับไปกับตา
ทั้งนี้ยังไม่ขาดลำแสงศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในรูประฆัง หม้อกลั่น เตาหลอม และอื่น ๆ อีกมากมาย ทุกสิ่งอย่างราวกับมีจิตนึกคิด มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง ไม่เหินร่างขึ้นฟ้าก็เข้ารวมกลุ่ม หรือไม่ก็แปลงร่างเป็นขุนเขา ธารน้ำ และมหาสมุทร… พากันหายตัวไปจนหมดสิ้น
‘นี่คงไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นจากความโกลาหลกระมัง!?’ เฉินซีอึ้งไป มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นภาพเช่นนี้ ตกตะลึงถึงขนาดไม่อาจสงบใจตนได้เป็นเวลานาน
หลังจากนั้น ภาพตรงหน้าก็หายไปในทันที
ภูเขาเก่าแก่ขนาดมหึมาจำนวนมากทอดตัวเรียงรายอยู่บนพื้น ตั้งตัวสูงตระหง่าน ทิวทัศน์งดงามมาพร้อมกับสิ่งมีชีวิตที่เติบใหญ่อยู่ภายใน บางครั้งก็เห็นปักษายักษ์บินผ่านมาปกคลุมฟ้า ทิ้งเงาดำไว้เบื้องล่าง ทั้งยังมีอสูรดุร้ายยืนอยู่บนยอดเขา กำลังคำรามเสียงลั่น แมลงพิษมากมายบินว่อน เป็นภาพที่ดูน่ากลัวยิ่งนัก
ทั่วทั้งใต้หล้านี้ดูคล้ายกับตำนานโลกโบราณเหลือเกิน อสูรดุร้ายโบราณพเนจรอย่างเสรี อสูรบินทั้งหลายบินโฉบไปมา ทุกอย่างตกอยู่ในความโกลาหล ไร้กฎเกณฑ์ใดมายับยั้ง
“กรรร!”
ทันใดนั้น เสียงคำรามสะเทือนฟ้าสะท้านดินก็ดังก้องขึ้น ทำให้เฉินซีสะท้านไปทั่วร่าง รู้สึกเหมือนคลื่นเสียงเสียดแทงเข้าแก้วหู จิตวิญญาณเกือบพังทลาย พอลืมตามองก็เห็นเทพอสูรดุร้ายโบราณขนาดใหญ่จำนวนมากที่มีอยู่ในตำนานเท่านั้น พวกมันกำลังขยับเคลื่อนไปมาบนท้องฟ้าและผืนดิน
เมื่อพวกมันย่างก้าวไปที่ใด ขุนเขาทั้งหลายก็ถูกพังทลายลงกับพื้น ธารน้ำทั้งหลายถูกแผดเผาจนเหือดแห้ง แค่พลังสูงส่งนี้เพียงอย่างเดียวก็สามารถทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือนไม่หยุด ราวกับวันโลกาวินาศกำลังมาถึง
“ฉยงฉี เถาอู้ เฝยอี๋ จิ่วเซียว จูไฮว ย่าอวี่*[1]…” เฉินซีตกตะลึง เขาจำตัวตนเหล่าเทพอสูรดุร้ายโลกบรรพกาลเหล่านี้ได้ แท้จริงแล้วพวกมันคือเทพอสูรดุร้ายที่เลื่องชื่อเมื่อครั้งโบราณนั่นเอง!
เทพอสูรดุร้ายเหล่านี้มีชื่อมากในฐานะเก้าเทพอสูรแห่งยุคบรรพกาล แต่ละตัวมีพละกำลังมหาศาลถึงขนาดฉีกร่างเซียนได้ สามารถสั่งสายลมและหมู่เมฆ อยู่เหนือทุกผู้ทุกคน!
ตอนนี้เทพอสูรดุร้ายทั้งเก้าตัวกำลังรุดหน้าเข้ามาหาเขา ทำเอาเฉินซีกลัวจนอยากหันหลังหนีทีเดียว
ทว่าชั่วพริบตาต่อมาเขาก็พบว่าตนเองนั้นเป็นเพียงจิตเส้นหนึ่งที่อยู่บนใบของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ดอกนั้น
หรือก็คือเป้าหมายของเทพอสูรดุร้ายพวกนั้นคือดอกบัวศักดิ์สิทธิ์
ฟิ้ว!
ลำแสงศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างเรืองฟ้าเมื่อดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ชูกิ่งก้านสีเขียวที่เหมือนโซ่ตรวนออกไป มันพุ่งขึ้นฟ้าเข้าซัดเทพอสูรดุร้ายฉยงฉีที่มีปีกสีแดงจัด เหมือนทั้งโคทั้งพยัคฆ์ผสมกัน ทำให้เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วฟ้า เลือดในร่างของฉยงฉีถูกก้านบัวนั่นดูดไปจนหมด จากนั้นมันก็กลายเป็นเถ้าถ่านแล้วสลายหายไป
กรรร!
ความดุดันของเทพอสูรดุร้ายตัวอื่นเพิ่มขึ้นทันทีเมื่อเห็นดังนี้ ขนทั่วทั้งร่างปกคลุมด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ขณะใช้ศาสตร์เต๋าออกมา ก่อให้ลมและเมฆทั่วฟ้าเกิดความโกลาหล กระโจนเข้าใส่ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์พร้อมกันอีกครั้งหนึ่ง การโจมตีเช่นนี้ กระทั่งเหล่าเซียนคงหลบหนีด้วยความตกใจเลยด้วยซ้ำ
ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ไม่คิดจะหลบการโจมตี กลีบดอกบัวเก้าชั้นค่อย ๆ ผลิบาน ราวกับตะวันเดือดเก้าดวงกำลังลอยขึ้นสู่ฟ้า พวกมันปลิดปลิวออกไปเข้าปะทะกับแรงโจมตีจากเทพอสูรดุร้าย
ตู้ม!
เสียงตู้มสะเทือนไปทั่วทั้งโลกาดังก้อง เฉินซีรู้สึกเจ็บตาทั้งสองข้าง พอลืมตาขึ้นมองอีกครั้ง โลกในรัศมีแสนลี้ก็เหลือแต่ความวิบัติ ไร้สัญญาณชีวิตใดหลงเหลืออยู่ ส่วนเทพอสูรดุร้ายก็สลายหายไปสิ้น
เหลือไว้เพียงดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ที่ยังหยั่งรากลงดิน ตั้งตระหง่านอยู่เท่านั้น กิ่งก้านสาขาของมันยิ่งเป็นสีเขียวสด ดูกระจ่างใสยิ่งขึ้น ในขณะที่กลีบดอกก็มีริ้วสายอันลึกล้ำมาดหมายปรากฏขึ้น เหมือนกับกำเนิดแคว้นทั้งหลายขึ้นมา มันเต็มไปด้วยความเจิดจรัสแห่งสวรรค์และกลิ่นอายอมตะ
พร้อมกันนั้น ในใจเฉินซีจึงบังเกิดความกระจ่างแจ้งขึ้นมา!
“ณ จุดเริ่มต้นเมื่อครั้งโบราณกาล โลกยังคงตกอยู่ในความโกลาหล มีเทพอสูรดุร้ายเก้าตัวถือกำเนิดขึ้นมา มันกลืนแก่นฟ้าดินเข้าไป เสียงคำรามสะเทือนโลกา กรงเล็บแยกฟ้าได้ ข้าสังหารพวกมันทั้งหมดเพื่อเอาศาสตร์เต๋าที่อยู่ภายในร่างของมันมา จากนั้นก็ผสานมันในศาสตร์เต๋าแห่งเก้าร่างแปลง…”
น่าตกใจนัก เรื่องนี้เกี่ยวพันกับศาสตร์เต๋าซึ่งได้มาจากร่างแปลงเก้าวิญญาณ!
ครืน!
ทว่าเฉินซียังไม่ทันพิจารณาโดยละเอียด เขาก็รู้สึกว่าทั่วทั้งร่างสั่นสะเทือน เมื่อรากของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์หยั่งลึกจนแยกพื้นออกจากกัน ก่อนจะแทงเข้าไปในกำแพงมิติเพื่อเข้าไปยังโลกอันมืดมิด
ยังมีแม่น้ำใหญ่สายหนึ่งที่มีธารน้ำไหลเชี่ยว คลื่นน้ำซัดสาด ส่งเสียงคำรามดั่งมังกร น้ำมีสีแดงก่ำดั่งเลือด
แม่น้ำปรโลก!
เฉินซีสะดุ้งเมื่อคาดเดาได้คร่าว ๆ ว่าที่นี่คือยมโลก และนี่คือแม่น้ำปรโลกที่อยู่ด้านข้างของหกวิถีสังสารวัฏ!
ฟึ่บ!
แม่น้ำปรโลกคล้ายกับว่ามีชีวิต พลันเกิดคลื่นยักษ์สีแดงเลือดขนาดใหญ่ซัดสาดเมื่อเห็นว่ารากของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์กำลังแทงมิติเข้ามา ละอองน้ำกระเซ็นไปทั่ว แปรเปลี่ยนเป็นภูตผีมากมายที่ร้องโหยหวน พุ่งเข้ามาไม่หยุด ดูน่าสยดสยองยิ่ง
ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ยังคงสำรวมไม่ตกใจอะไร รากมากมายพุ่งออกมาพร้อมกับลำแสงศักดิ์สิทธิ์ ทะลวงร่างผีจากธารสีเลือดพวกนั้น ก่อนจะทำลายพวกมันสิ้น
ทันใดนั้น แม่น้ำสีเลือดก็หยุดการกระทำที่ผลีผลามทั้งหลาย ส่วนดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ก็หยุดลงมือเช่นกัน ส่งรากจำนวนนับไม่ถ้วนแทงลงพื้น
และก็เป็นเหมือนเมื่อก่อนหน้า ที่มีความกระจ่างแจ้งบังเกิดขึ้นในใจเฉินซี “ภายในยมโลกยังมีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง มันชะล้างจิตใจคน ลบล้างความผิดบาปทั้งหลาย คลื่นลูกแล้วลูกเล่าเหมือนน้ำที่ขึ้นลง ทั้งภูตผีและเหล่าเซียนไม่อาจขัดขืนได้…”
มันคือศาสตร์เต๋า มรดกแห่งฝ่ามือหมื่นคลื่นใต้พิภพ
ชั่วพริบตานั้นเอง เฉินซีก็เข้าใจความลึกล้ำของสัจธรรมสวรรค์ ในที่สุดก็ได้รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสัจธรรมสวรรค์และศาสตร์เต๋าทั้งสี่สิบเก้าชนิดอย่างกระจ่างแจ้ง
สัจธรรมสวรรค์นี้คือแหล่งพลังของศาสตร์เต๋า เป็นกรอบหลักแห่งพลัง ในขณะที่ศาสตร์เต๋าทั้งหลายในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองตอนนี้ล้วนได้มาจากการเข้าใจความลึกล้ำภายในตัวมันทั้งสิ้น!
หรือก็คือ เพียงแค่เขาทำความเข้าใจความลึกล้ำแห่งสัจธรรมสวรรค์ให้ดี เขาก็สามารถทำความเข้าใจศาสตร์เต๋าอันน่าเกรงขามทั้งหลายได้แล้ว
‘มิน่าเล่า ผู้อาวุโสเต๋าบงกชจึงกล่าวไว้ว่า หลังจากทำความเข้าใจสัจธรรมสวรรค์แล้ว ต่อไปจะเป็นประโยชน์มากเมื่อข้าต้องสร้างศาสตร์เต๋าของตนเอง มันมีหลักการเช่นนี้เอง…’
เฉินซีลอบถอนหายใจ เขารู้ดีว่าสัจธรรมสวรรค์ไม่ใช่ศาสตร์เต๋า แต่ก็เป็นแก่นของศาสตร์เต๋า เป็นสิ่งที่เก่าแก่ เป็นพื้นฐาน และเรียบง่ายที่สุด เป็นแหล่งพลังของศาสตร์เต๋าทั้งหลายในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง!
เมื่อรู้กระจ่างเช่นนี้แล้ว สภาวะจิตใจของเฉินซีจึงเปลี่ยนแปลงไป เขามองไปที่ความสามารถอันหลากหลายของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งหนึ่ง
ตัวเขายืนอยู่ท่ามกลางปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดทว่างดงามที่ฉายออกมาทีละภาพ และครุ่นคิดถึงความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อยู่ภายในใจเงียบ ๆ ก่อนจะคาดเดา เลียนแบบ และหาบทสรุปไปเรื่อยไม่หยุด…
จิตใจเขาปลอดโปร่ง ห้วงจิตสำนึกว่างเปล่า ไร้ซึ่งความปรารถนาใด ทว่าตกอยู่ในความเข้าใจอันลึกล้ำของตน
ผ่านไปนาน ชายหนุ่มจึงสะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อเกิดเสียงหึ่งเบา ๆ ขึ้นในใจ
เขาเงยหน้าขึ้นมอง และได้เห็นภาพที่ไม่อาจลืมไปได้ชั่วชีวิต!
ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ที่หยั่งรากลงพื้นดินและตั้งตระหง่านอยู่เช่นนั้น อยู่ ๆ ก็พลันปลดปล่อยลำแสงศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากออกมา มันกลายเป็นฝนแสงที่โปรยลงมาทั่วทั้งใต้หล้า แต้มแสงเหล่านี้ไปทั่วทุกทิศ จนทั่วทั้งโลกสว่างไสว
จังหวะนั้นเองที่สวรรค์และโลกส่งเสียงคำราม เสียงแห่งเต๋าดังก้องไม่หยุด ราวกับกำลังมีโลกใบหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมา นอกจากนั้นแล้ว เส้นปราณโกลาหลก็หลั่งไหลออกมาจากดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ ลอยขึ้นจากผืนดินขึ้นสู่ห้วงอากาศ เหยียบลงบนกฎแห่งมหาเต๋า ปลดปล่อยแสงอันไร้ขอบเขต
ธารดารามากมายร่วงหล่นลงมา ดั่งดวงดาวนับไม่ถ้วนที่โคจรรอบดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ ในระหว่างที่โคจรนั้นก็ปล่อยเสียงสะเทือนไปทั่วทั้งจักรวาล
ภาพเช่นนี้น่าตกใจเกินไป เหมือนตัวตนสูงส่งกำลังยืนเด่นเป็นสง่าท่ามกลางห้วงอวกาศ โดยมีฟ้าดิน จักรวาล โลกทั้งสามพัน และโลกรองนับไม่ถ้วนกำลังโคจรล้อมรอบ ถือกำเนิดขึ้นจากตัวตนผู้นี้
ทว่าตอนนี้ ดวงตาคู่หนึ่งพลันลืมขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิดแห่งห้วงอวกาศ มันกวาดตามอง ก่อนจะจ้องตรงมายังดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ทันที
อึดใจต่อมา ธารดาราก็พังทลาย ดวงดาวทั้งหลายระเบิดออก ฟ้าดินสะท้านสะเทือน ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส กิ่งก้านใบทั้งหลายหลุดร่วง สีไม่สดใสส่องประกายดังเดิม กลีบทั้งเก้าก็ปลิดปลิว ก่อนจะสลายหายไปด้วยพลังลึกลับ
ในที่สุด กลีบดอกสุดท้ายของมันก็แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงเส้นหนึ่งที่พุ่งผ่านมิติไปในชั่วพริบตา หนีออกจากห้วงอวกาศ ลงสู่ภพมนุษย์ ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เฉินซีสัมผัสได้ถึงความเจ็บอันลึกล้ำจากห้วงจิตสำนึก ตัวคนพลันตื่นขึ้นจากภาพฉากทั้งหลายที่สะท้านใจ เหงื่อเย็นออกทั่วร่าง ราวกับเพิ่งขึ้นจากสระน้ำก็มิปาน
“เหตุใดจึงมีนัยน์ตาคู่หนึ่งลืมตาขึ้นมากลางห่วงอวกาศได้…?” เฉินซีพึมพำ นัยน์ตาเขายังปรากฏแววหวาดกลัวที่ไม่อาจคลายลงได้
[1] ฉยงฉี เถาอู้ เฝยอี๋ จิ่วเซียว จูไฮว ย่าอวี่ คือรายนามของสัตว์ในตำนาน โดยรายละเอียดของแต่ละตัวจะมีดังนี้
ฉยงฉี: หนึ่งในสี่สัตว์ร้ายบรรพกาล บ้างว่ามีร่างกายคล้ายพยัคฆ์มีปีก บ้างว่ามีร่างกายคล้ายวัว มีขนเหมือนเม่น ชอบกินมนุษย์ และชอบสนับสนุนคนพาลขัดขวางคนดี
เถาอู้: สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างเหมือนเสือและมีขนคล้ายสุนัข มีใบหน้าแบบมนุษย์ เท้าพยัคฆ์ ปากและเขี้ยวเหมือนหมูป่า
เฝยอี๋: มีรูปลักษณ์เป็นงู มีหกขาและปีกสี่ข้าง ยามปรากฎตัวจะทำให้เกิดภัยแล้ง
จิ่วเซียว: มีลักษณะเหมือนนกเค้าแมว มีนิสัยดุร้าย
จูไฮว: สัตว์ในตำนาน ตัวเหมือนวัว มีสี่เขา ตาเหมือนมนุษย์ และหูหมู เสียงร้องเหมือนห่านและกินคนได้
ย่าอวี่: ตามตำนาน ว่ากันว่ามีหน้าเป็นคน ร่างเป็นมังกร ชอบกินมนุษย์ หรือบ้างก็ว่าหน้าเป็นมนุษย์ ร่างเป็นวัวเท้าม้า ไม่บ้างก็ว่าหัวเป็นมังกร ร่างเป็นพยัคฆ์