บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 587 จิ้งจอกจีเสวี่ยเหยียน
บทที่ 587 จิ้งจอกจีเสวี่ยเหยียน
โถงภารกิจสวรรค์เป็นสถานที่ที่นิกายกระบี่เก้าเรืองรองกระจายภารกิจและประเมินการมีส่วนร่วมของเหล่าศิษย์
ภารกิจของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองถูกแบ่งออกเป็นสองประเภท
ประเภทแรกคือภารกิจทดสอบ ซึ่งเหล่าศิษย์ต้องทำให้สำเร็จลุล่วงภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อเป็นการทดสอบความแข็งแกร่งและการบ่มเพาะของเหล่าศิษย์ ก่อนที่จะใช้ผลลัพธ์ที่ได้เพื่อจัดสรรผลประโยชน์และทรัพยากร
ประเภทที่สองคือภารกิจรางวัล ซึ่งไม่ว่าใครก็สามารถรับภารกิจเหล่านี้ได้ และตราบเท่าที่ใครสามารถทำสำเร็จ ก็จะได้รับรางวัลที่เกี่ยวข้องได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตามระดับความยากที่แตกต่างกันนั้น ภารกิจรางวัลเหล่านี้จะถูกแบ่งออกเป็นระดับต่าง ๆ และจะได้รับรางวัลที่แตกต่างกันออกไป
ในขณะนี้ ซินหรูไห่ได้มาที่นี่เพื่อจัดแจงภารกิจทดสอบให้แก่ศิษย์ชั้นสูงของยอดเขาจรัสตะวันตก ซึ่งพวกเขาทุกคนจะต้องทำให้สำเร็จ
แต่สถานการณ์ก็คล้ายจะไร้สาระอย่างยิ่งเมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เพราะนับตั้งแต่หั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ เข้าร่วมนิกายมาจนถึงตอนนี้ พวกเขาแทบจะไม่เคยทำภารกิจทดสอบใด ๆ เลยสักงานเดียวในตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ และหากไม่ใช่เพราะวิปลาสหลิ่วออกหน้าให้ พวกเขาก็คงจะถูกขับไล่ออกจากนิกายไปตั้งนานแล้ว
ส่วนเหตุผลนั้นก็ง่ายดายมาก หั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ ต่างก็หลงใหลในวิถีแห่งเต๋าของพวกเขาเอง จึงไม่เคยออกจากที่พำนักของพวกเขาเลยสักครั้ง อีกทั้งยังไม่ยุ่งเกี่ยวกับความสำเร็จของทางโลก นอกจากนี้ พวกเขายังไร้ทักษะในการต่อสู้และการเข่นฆ่า ในทางกลับกัน ภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากนิกายส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับการออกจากนิกายเพื่อไปหาประสบการณ์ และส่วนใหญ่ก็ไม่เคยขาดเรื่องการต่อสู้
ภายใต้ตัวแปรเหล่านี้ การขอให้หั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ ออกไปทำภารกิจเช่นนี้ มันจึงไม่ต่างอะไรกับการส่งพวกเขาไปตาย
“เฮ้อ เหตุใดทุกสิ่งถึงเปลี่ยนไปทันทีที่อาจารย์ได้จากไป” หั่วโม่เลยถอนหายใจด้วยสีหน้าที่เป็นทุกข์ เนื่องจากเขาตระหนักได้เป็นอย่างดีว่า หากวิปลาสหลิ่วยังคงอยู่ที่นี่ ซินหรูไห่จะไม่กล้ากระทำเช่นนี้อย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไร้ประโยชน์ที่จะกล่าวถึงสิ่งนี้ ท้ายที่สุด ภารกิจทดสอบเป็นสิ่งที่ศิษย์ทุกคนของนิกายต้องทำอย่างเต็มที่ พวกเขาได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษเป็นเวลาหลายปีภายใต้การคุ้มครองของวิปลาสหลิ่ว ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญท่าทีที่แข็งกร้าวของซินหรูไห่ พวกเขาจึงไม่สามารถบ่นได้ว่ามันไม่ยุติธรรม
“เหตุใดถึงไม่ให้ข้าไปจัดการกับภารกิจเหล่านี้แทนเล่า?” ในขณะเดียวกัน มู่ขุยก็สังเกตเห็นว่าหั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ มีสีหน้าลำบากใจ และเขาค่อนข้างทนไม่ได้ที่เห็นสิ่งนี้ ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกไป
“เจ้าน่ะหรือ?” ซินหรูไห่รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เขาส่ายศีรษะและกล่าวว่า “เจ้าไม่ใช่ศิษย์ชั้นสูงของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะรับภารกิจ”
มู่ขุยขมวดคิ้วและกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ถูกหั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ หยุดไว้ “มู่ขุย สิ่งที่ศิษย์พี่ซินกล่าวเป็นความจริง ภารกิจนี้มีไว้เพื่อทดสอบการบ่มเพาะและพละกำลังของเรา และเราไม่อาจให้ผู้อื่นช่วยเหลือได้”
“เป็นเรื่องดีที่พวกเจ้าเข้าใจ” ซินหรูไห่พยักหน้าและกล่าวว่า “เหล่าสหายศิษย์น้อง ข้าไม่ได้จงใจทำให้พวกเจ้าทุกคนต้องลำบาก นี่เป็นคำสั่งจากผู้อาวุโสและข้าแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น”
“พวกเราเข้าใจ” หั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ กล่าว
“งั้นพวกเจ้าทุกคนควรเตรียมตัวและหาเวลามารับภารกิจจากโถงภารกิจสวรรค์ จงจำไว้ว่าเจ้าต้องทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จภายในหนึ่งเดือน มิฉะนั้นหากเหล่าผู้อาวุโสต้องการลงโทษพวกเจ้าทั้งหมด ข้าก็อาจจะช่วยพวกเจ้าไม่ได้” ซินหรูไห่สั่งและกำลังจะจากไป แต่ดูเหมือนเขาจะนึกถึงบางสิ่งได้ จากนั้นเจ้าตัวก็คล้ายลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “อันที่จริง ถ้าภารกิจทั้งหมดนี้ถูกมอบให้กับศิษย์น้องเฉินซี ด้วยความแข็งแกร่งของเขาแล้ว เขาควรจะทำมันสำเร็จได้อย่างง่ายดาย”
“ศิษย์น้องเล็กอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะ แล้วเราจะรบกวนเขาได้อย่างไร?” หั่วโม่เลยส่ายศีรษะ
“แท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้เอง” ดวงตาของซินหรูไห่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นในขณะที่เขาพึมพำ จากนั้นเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีกก่อนที่จะหันหลังและจากไป
…
“มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ หรือ? นั่นหมายความว่าอย่างไร? หรือว่าเขารู้มานานแล้วว่านายท่านของข้ากำลังปิดด่านบ่มเพาะ” มู่ขุยอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขณะที่มองไปยังร่างของซินหรูไห่ที่หายไปบนท้องฟ้า
“ใครจะล่วงรู้ได้?” หั่วโม่เลยกับคนอื่น ๆ รู้สึกท้อแท้และหดหู่ใจเล็กน้อย เพราะพวกเขาไม่ได้สนใจที่จะทำภารกิจของนิกายให้สำเร็จเลยแม้แต่น้อย
แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขารับรู้ได้จากความคิดของซินหรูไห่แล้วว่า หากพวกตนไม่ทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จภายในหนึ่งเดือน พวกเขาอาจจะต้องรับโทษทัณฑ์และถูกลดชั้นให้เป็นศิษย์สายใน
“เจ้าโง่! เรื่องนี้ไม่มีอะไรจะง่ายไปกว่านี้แล้ว แล้วพวกเจ้าจะทุกข์ใจถึงสิ่งใดกัน?” ในขณะนี้ เสียงที่ชัดเจนและก้องกังวานดังออกมา พร้อมกันกับที่หลิงไป๋ทะยานเข้ามา
แม้ว่าจะมีความสูงเพียงแค่สี่ชุ่น แต่หลังของเขาก็เหยียดตรง ลอยอยู่กลางอากาศในชุดสีขาว พร้อมกับรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลา ทำให้ดูน่าเกรงขาม
หลังจากอยู่ที่ยอดเขาจรัสตะวันตกมาเป็นเวลาครึ่งเดือน หลิงไป๋ก็คุ้นเคยกับหั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ ดังนั้นเขาจึงกล้าพูด
“โอ้ หลิงไป๋ เจ้ามีวิธีแก้ไขปัญหานี้อย่างนั้นหรือ?” จิตวิญญาณของหั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ สดชื่นขึ้นทันที พวกเขาเอ่ยถามออกไปอย่างสนใจ
“มันง่ายมาก เลือกหนึ่งคนจากทั้งหมดของพวกเจ้าเพื่อรับภารกิจซะ หลังจากนั้น ข้าจะไปกับคนนั้นเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ แล้วปัญหาทุกอย่างจะไม่ได้รับการแก้ไขหรอกหรือ?” หลิงไป๋กล่าว
“แต่… คนนอกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับภารกิจทดสอบ” หั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ เกาศีรษะขณะที่กล่าว
“เจ้าโง่!” หลิงไป๋กล่าวห้วน ๆ “ตราบใดที่ทำภารกิจนี้สำเร็จอย่างเงียบ ๆ ใครจะรู้ว่าข้าเป็นคนช่วยพวกเจ้า”
“เอาล่ะ วิธีนี้ถือได้ว่าไม่เลวจริง ๆ งั้นข้าจะไปกับหลิงไป๋เอง” ชิงอวี่กล่าวอย่างกล้าหาญ
เขาตระหนักได้แล้วว่า เฉินซี ผู้เป็นศิษย์น้องคนเล็กของเขากำลังอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะและไม่สามารถช่วยได้ ในขณะที่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำภารกิจให้สำเร็จด้วยความสามารถของตนเอง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพึ่งพาความแข็งแกร่งของหลิงไป๋เพื่อให้มีโอกาสแก้ไขปัญหาที่ยากลำบากนี้
“ดีมาก ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นศิษย์จากเผ่าวิหคเพลิงนภา ดูเหมือนว่าเจ้าสามารถรับผิดชอบได้” หลิงไป๋กล่าวชมเชยอย่างเป็นกันเอง
เมื่อชิงอวี่ได้รับคำชมพลันรู้สึกอายขึ้นมา เขารู้สึกอยู่เสมอว่า ตนเป็น ‘ส่วนเกิน’ ของเผ่าวิหคเพลิงนภา ไม่มีความกล้าหาญเฉกเช่นคนในเผ่าเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงซ่อนตัวอยู่ที่ยอดเขาจรัสตะวันตกและศึกษาสิ่งที่ชอบอยู่เสมอ ซึ่งเขามีความสุขและพอใจกับสิ่งนี้ เพราะไม่ต้องกังวลว่าจะนำความอับอายมาสู่บรรพบุรุษของเผ่า
ชิงอวี่เก็บข้าวของทันที ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังโถงภารกิจสวรรค์เพื่อรับภารกิจ จากนั้นเขาก็ออกจากยอดเขาจรัสตะวันตกไปกับหลิงไป๋
…
ไม่นานหลังจากที่ชิงอวี่กับหลิงไป๋จากไป ในศาลาสูงตระหง่านที่ชื่อว่าศาลาคลังดาราที่ตั้งอยู่บนยอดเขาจรัสตะวันออก
ผู้อาวุโสเยว่ฉือนั่งตัวตรงอยู่บนที่นั่งของประธานภายในศาลาที่งดงามและโอ่อ่า เขาสวมชุดคลุมสีดำ ผมสีดำขลับถูกหวีจนเรียบแปล้ ส่วนสายตาก็เหมือนดั่งสายฟ้าเย็นเยียบที่ปกคลุมไปด้วยประกายแสงศักดิ์สิทธิ์และเต็มไปด้วยศักดิ์ศรี
มีชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเขาเช่นกัน ชายชราผู้นี้สวมเสื้อผ้าขนนก มีใบหน้าเป็นสีดอกกุหลาบ และทุกอิริยาบถก็สร้างปราณเซียนที่พรั่งพรูออกมา นอกจากนี้ กลิ่นอายของเขาก็ไม่ได้ด้อยกว่าเยว่ฉือเลยแม้แต่น้อย
ช่างน่าตกใจนัก แท้จริงแล้ว คนผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสที่ดูแลโถงภารกิจสวรรค์ ผู้อาวุโสโม่อวี้ …ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีระดับเก้า!
“ครั้งนี้ข้าสร้างปัญหาให้พี่โม่อย่างแท้จริง แต่พี่โม่อย่าได้กังวล ข้าจะจดจำความกรุณาครั้งนี้อย่างแน่นอน และข้าจะตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อในภายหน้า” เยว่ฉือยิ้มขณะที่เขากล่าว
“พี่เยว่ เจ้าปฏิบัติต่อข้าเหมือนคนนอกเกินไปแล้ว อย่างไรนี่ก็เป็นหน้าที่ของโถงภารกิจสวรรค์” โม่อวี้ยิ้มขณะที่เขาโบกมือ จากนั้นเจ้าตัวก็ขมวดคิ้วและกล่าวอย่างลังเล “แต่เด็กคนนั้นเป็นที่รู้จักไปทั่วนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเราในตอนนี้ ซึ่งแม้แต่ท่านประมุขและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็ชื่นชอบเขามากจนถือว่าเขาเป็นสมบัติล้ำค่า พี่เยว่ การกระทำของเจ้าดูจะ…”
แม้โม่อวี้จะกล่าวไม่จบ แต่ความหมายในคำกล่าวของเขา ก็เป็นสิ่งที่ใครก็ตามที่ไม่โง่เขลาย่อมสามารถเข้าใจได้
“พี่โม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว” เยว่ฉือดูไม่มีความสุขเล็กน้อย เขาส่ายศีรษะและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าจะไปวุ่นวายกับเจ้าเด็กนั่นในเวลานี้ได้อย่างไร?”
เยว่ฉือหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อว่า “อย่าได้กล่าวว่าข้าทำเช่นนี้เพราะข้าไม่สามารถทนรับมันได้ ภารกิจของนิกายเราก็เป็นสิ่งที่ศิษย์ทุกคนต้องทำ ดังนั้นยอดเขาจรัสตะวันตกจะได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษบนมาตรฐานใด? …หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป คงจะสร้างความไม่พอใจให้แก่เหล่าศิษย์จากยอดเขาอื่น ๆ และคงทำให้ความไม่พอใจแพร่กระจายไปทั่ว ซึ่งนั่นจะไม่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและความสามัคคีของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเราแน่”
‘จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์!’ โม่อวี้ก่นด่าอยู่ในใจ ทั้งที่เจ้าลากข้าไปเอี่ยวด้วย ยังกล้าเสแสร้งแสดงละครอยู่อีก? เจ้านี่มันบัดซบจริง ๆ!
ทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกันนานนัก ก่อนที่โม่อวี้จะกล่าวคำอำลาและจากไป
“ฮึ่ม! มารดามันเถอะ! นี่เจ้าคิดจะสอนบทเรียนให้กับข้าจริง ๆ หรือ!” ไม่นานหลังจากที่โม่อวี้จากไป สีหน้าของเยว่ฉือก็มืดมนลงทันทีและเย้ยหยันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ผู้อาวุโสเยว่ฉือ เหตุใดถึงโกรธเขาเล่า?” ในขณะนี้ ร่างที่สง่างามก็ปรากฏขึ้นจากเงามืดของห้องโถง นางมีผมสีดำสนิทที่สวยงาม จมูกโด่งเป็นสัน ฟันขาวดั่งหยก ริมฝีปากสีแดงอันเย้ายวน และลำคอที่ขาวดั่งหงส์ ประกอบกับรูปร่างที่เพรียวบางของนางซึ่งสามารถทำให้เลือดลมสูบฉีด กล่าวได้ว่านางมีเสน่ห์ที่สามารถคว่ำโลกได้ทั้งใบ
หญิงสาวคนนี้เดินด้วยย่างก้าวที่สง่างาม และทุกอิริยาบถที่นางทำนั้น มันก็ให้ความรู้สึกที่มีเสน่ห์และมากรักอย่างเป็นธรรมชาติ นางเป็นเหมือนหายนะที่สามารถมอมเมาและพลิกคว่ำทั้งเมืองได้ และดวงตาที่ชุ่มชื้นของนางก็ดูเหมือนจะสามารถพรากวิญญาณด้วยการมองเพียงครั้งเดียว
กระแสความเร่าร้อนได้ก่อตัวขึ้นอยู่ในหัวใจของเยว่ฉืออย่างช่วยไม่ได้ ในขณะที่ปากของเขาก็แห้งผากหลังจากได้เห็นหญิงสาวคนนี้ แต่เมื่อนึกถึงจิตใจที่โหดเหี้ยมและวิธีการฆ่าที่โหดร้ายของนาง เขาก็ได้สติและไม่กล้าที่จะมีความคิดอื่นใด
“แม่นางเสวี่ยเหยียนโปรดกลับไปบอกผู้อาวุโสปิงทีว่า ข้าจะขับไล่เจ้าเด็กเฉินซีออกจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองอย่างแน่นอน และจะส่งมันให้เจ้าจัดการ” เยว่ฉือกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้ม เมื่อเผชิญหน้ากับหญิงสาวสวยที่มีเสน่ห์ไร้ขอบเขต น้ำเสียงของเขาฟังดูความเคารพเล็กน้อย
“แล้วข้าต้องรออีกนานเพียงใดกัน? ผู้อาวุโสเยว่ฉือ เจ้าก็รู้เช่นกันว่าข้าเป็นเพียงผู้ส่งสาร ดังนั้นโปรดอย่าทำให้ข้าต้องลำบากเลย” แสงสว่างส่องประกายในดวงตาของเสวี่ยเหยียนขณะที่นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม ดวงตาที่มีเสน่ห์ ริมฝีปากสีแดงสดอันเย้ายวน และฟันขาวราวกับหยกของนาง เมื่อรวมทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว มันก็ช่างน่าเร้าใจอย่างยิ่ง
‘นังแพศยา!’ เยว่ฉือสาปแช่งอยู่ในใจ เขารีบสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับความร้อนรุ่มในใจ จากนั้นจึงกล่าวว่า “แม่นางเสวี่ยเหยียน เจ้าก็เห็นเช่นกันว่า ตราบใดที่เฉินซียังอยู่ในนิกาย ข้าไม่สามารถลงมือกับมันได้ทันที ดังนั้นเรื่องนี้จึงต้องดำเนินแผนการอย่างช้า ๆ และไม่สามารถทำอย่างเร่งด่วนได้”
“โอ้? ถ้าเช่นนั้น โปรดอย่าทำให้ข้าผิดหวัง มิฉะนั้น ข้าคงเสียใจมาก” เสวี่ยเหยียนกะพริบตาของนาง และกัดริมฝีปากสีแดงที่เย้ายวน ขณะที่ปากก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยั่วยวนออกมา
“แน่นอน แน่นอน” เยว่ฉือหายใจเร็วถี่อีกครั้ง และเขาอดไม่ได้ที่จะบ่นในใจ ‘ปิงซื่อเทียนต้องส่งนังปีศาจตัวนี้มาจากเผ่าจิ้งจอกเก้าหางเป็นแน่ เคล็ดวิชาการหว่านเสน่ห์ของนางสามารถกระทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ และนางสามารถทำให้คนหลงเสน่ห์จนตายได้’
“เช่นนั้นข้าจะรอฟังข่าวดีนะ ท่านผู้อาวุโสเยว่ฉือ” เสวี่ยเหยียนยิ้มขณะที่นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบาและแหบพร่า แต่ให้ความรู้สึกเหมือนมีกรงเล็บมากมายกำลังข่วนเกาหัวใจเมื่อได้ยิน และทำให้เลือดลมสูบฉีดอย่างรุนแรง
ก่อนที่เสียงของนางจะจางหายไปจากอากาศ นางก็ได้ลอยหายไปพร้อมกับกลิ่นศาลามเย้ายวน
“นังแพศยา! หากเจ้าไม่ใช่คนสนิทของปิงซื่อเทียน ข้าจะจัดการกับเจ้าเสีย!” หลังจากนั้นไม่นาน ผู้อาวุโสเยว่ฉือก็กัดฟันแน่น ในขณะที่เขาสาปแช่งอย่างดุเดือดในใจ และเปลวไฟแห่งความปรารถนาที่อยู่ภายในดวงตาของเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ท่านอาจารย์ ชิงอวี่แห่งยอดเขาจรัสตะวันตกได้รับมอบภารกิจและออกจากนิกายไปแล้ว” ในขณะนี้ มีศิษย์คนหนึ่งได้มาถึงที่ด้านนอกของศาลาด้วยความเร่งรีบ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพ