บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 588 ปีกกำราบผกผัน
บทที่ 588 ปีกกำราบผกผัน
เยว่ฉือตกตะลึง จากนั้นจึงถามว่า “ชิงอวี่? เจ้าสวะจากเผ่าวิหคเพลิงนภาหรือ?”
“ใช่แล้วขอรับ” เสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพของศิษย์คนนั้น ดังขึ้นจากข้างนอกศาลาอีกครั้ง
“แล้วเฉินซีเล่า? เขาสามารถละเว้นจากการปรากฏตัวได้จริงหรือ?” คิ้วของเยว่ฉือค่อย ๆ ขมวดเข้าหากันแน่น
เดิมทีเขาคิดว่า เฉินซีจะไม่อาจอดกลั้นและต้องเคลื่อนไหวด้วยตนเอง จากนั้นเขาจะต้องออกไปจากนิกายเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ ด้วยวิธีนี้ ตนจึงจะสามารถติดต่อกับผู้เยี่ยมยุทธ์บางคนเพื่อจัดการกับเฉินซีในบริเวณข้างนอกนิกายได้
แต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า ตนจะไม่อาจบังคับให้เฉินซีให้ออกไป แต่กลับบังคับให้เจ้าเศษสวะนั่นออกไปแทน ซึ่งนี่เกินความคาดหมายของเขาเล็กน้อย
“ศิษย์ได้ยินมาว่า… เฉินซีกำลังอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะ”
“ปิดด่านบ่มเพาะหรือ?” แสงเยียบเย็นพาดผ่านดวงตาของเยว่ฉือ ในขณะที่เขาหัวเราะอย่างเย็นชา “ข้าเข้าใจแล้ว ไอ้เด็กนี่น่าจะกำลังเตรียมการสำหรับการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสที่กำลังจะมีขึ้นในเร็ว ๆ นี้”
“ช่างเตรียมพร้อมเสียนี่กระไร! แต่เจ้าต้องการที่จะบ่มเพาะอย่างสงบสุขหรือ? ฝันไปเถอะ!” เยว่ฉือเย้ยหยันอย่างเย็นชา ในขณะที่แสงจ้าวูบไหวในดวงตาของเขา จากนั้นก็ถามว่า “ชิงอวี่ได้รับภารกิจใด?”
“มันถูกมอบหมายให้ไปที่แคว้นสือและสังหารอสูรไก่ฟ้าทมิฬเจ็ดตัวที่เทือกเขาเทพเจ้าไก่ฟ้า!”
“แคว้นสือหรือ?”
เยว่ฉือครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งเป็นเวลานาน ก่อนจะยกมือขึ้นเพื่อเขียนบนแผ่นหยก จากนั้นเขาก็โยนมันออกไปและสั่งว่า “จงมอบแผ่นหยกนี้ให้กับปรมาจารย์ของนิกายวายุม่วง แล้วเขาจะเข้าใจว่าจะต้องทำสิ่งใด”
“ขอรับ”
“ถ้าเจ้าไม่คิดที่จะโผล่หัวออกมา ข้าจะบีบบังคับเจ้าให้ออกมาเอง ข้าล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าเจ้าจะสามารถบ่มเพาะอย่างสงบสุขได้หรือไม่ หากศิษย์พี่ของเจ้าถูกจับ…” ภายในศาลาที่ว่างเปล่า เยว่ฉือก้มศีรษะลง ในขณะที่ความอำมหิตปกคลุมไปทั่วใบหน้าของเขา
…
ณ โลกแห่งดารา
ดวงดาวเป็นเหมือนไข่มุกที่ส่องแสงเย็นยะเยือกและมืดมัว
ครึ่งเดือนผ่านไปตั้งแต่ชิงอวี่ออกจากนิกาย แต่ก็ไม่มีข่าวคราวใด ๆ ในขณะที่เฉินซีหมกมุ่นอยู่กับการทำความเข้าใจของเขาในโลกแห่งดารามากว่าหนึ่งปีแล้ว
นี่คือคุณสมบัติอันน่ามหัศจรรย์และน่าเกรงขามของโลกแห่งดารา การบ่มเพาะภายในนี้สิบปีเป็นเพียงหนึ่งปีในโลกภายนอก ในขณะที่หนึ่งเดือนในโลกภายนอกนั้นมากกว่าหนึ่งปีในโลกของดารา
เฮือก!
ทันใดนั้นเฉินซีก็ตื่นขึ้นจากการทำความเข้าใจของเขา แสงศักดิ์สิทธิ์ได้ส่องออกมาจากปากและจมูกขณะที่หายใจ ส่วนพลังชีวิตก็ขดตัวอยู่รอบร่างดั่งมังกรที่แท้จริง และเขาดูลึกลับอย่างยิ่ง ในขณะที่กลิ่นอายของชายหนุ่มก็ทรงพลังอย่างมาก
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขาได้หลอมรวมจิตใจและจิตวิญญาณทั้งหมดให้เข้าสู่สภาวะว่างเปล่า ในระหว่างที่เขาสำรวจฉากอันงดงามในยุคบรรพกาลและเข้าใจความลึกล้ำที่อยู่ภายในสัจธรรมสวรรค์ทั้งหมด
ความเข้าใจที่มีต่อศาสตร์เต๋าของเขานั้น เหมือนกับแม่น้ำที่เติบโตภายใต้สายฝน และได้รับความสำเร็จในศาสตร์เต๋าที่ลึกล้ำมากโดยไม่รู้ตัว
ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณรูปปั้นเทพเจ้าฝูซี ซึ่งทำให้ความสามารถในการทำความเข้าใจและความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณของเขาบรรลุถึงระดับที่เทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาเมื่อนานมาแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงเข้าใจศาสตร์เต๋าได้อย่างเป็นธรรมชาติและราบรื่น โดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ
มิฉะนั้น หากเป็นคนอื่น ๆ จิตใจของคนผู้นั้นคงปั่นป่วนด้วยความลึกลับอันไร้ขอบเขตของสัจธรรมสวรรค์ หลังจากที่ทำความเข้าใจมันเพียงไม่กี่วัน และอาจรุนแรงถึงขั้นที่ต้องทุกข์ทรมานจากอาการลมปราณแตกซ่าน
อย่างไรก็ตาม เฉินซีกลับยืนหยัดและสามารถทำความเข้าใจมานานกว่าหนึ่งปีได้! ความสามารถในการทำความเข้าใจดังกล่าว ถือได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง และถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป มันจะทำให้ผู้คนต้องกรามค้างเป็นแน่
ถึงขนาดที่เขามีลางสังหรณ์ว่า เมื่อเขาบรรลุไปสู่ขอบเขตสถิตกายา ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณของเขาก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลง และมันจะเทียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี!
“ศาสตร์เต๋าหนอศาสตร์เต๋า…” เฉินซีพึมพำขณะที่รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏอยู่ที่มุมปาก และแม่น้ำแห่งดวงดาวก็สะท้อนอยู่ในดวงตาที่ลึกล้ำของเขา
“น่าเสียดายที่เวลาของข้ามีจำกัด และการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสก็จะมาถึงในอีกสองเดือน ข้าต้องใช้ช่วงเวลานี้เพื่อทำให้การบ่มเพาะของข้าแข็งแกร่ง หากสามารถบรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายาได้ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวใครอีก” เฉินซีส่ายศีรษะและหยุดคิดฟุ้งซ่าน
เขาไม่รอช้าอีกต่อไป เร่งก้าวออกจากโลกแห่งดาราที่ยิ่งใหญ่และพุ่งออกจากบททดสอบแห่งสรวงสรรค์
“หืม? เหตุใดข้าถึงลืมสมบัติชิ้นนี้ไปได้…” แต่เมื่อกำลังจะจากไป จู่ ๆ เฉินซีก็สังเกตเห็นว่าภูเขาสีดำมันเงายังคงตั้งตระหง่านอยู่ข้าง ๆ บททดสอบแห่งสรวงสรรค์
ภูเขาลูกนี้ตั้งตระหง่านอยู่ที่ใจกลางแม่น้ำใหญ่ และเผยให้เห็นเพียงยอดที่แหลมมากเท่านั้น มันมักจะจมอยู่ใต้น้ำเสมอ ทำให้ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นหินในแม่น้ำได้อย่างง่ายดาย เว้นแต่จะสังเกตมันอย่างระมัดระวัง
แต่เฉินซีรู้ดีว่ามันไม่ใช่หิน แต่เป็นสมบัติที่ไม่ธรรมดา ซึ่งคือ ภูเขากำราบธาตุ!
ตามที่จี้อวี๋เคยกล่าว ยอดเขานี้มี ‘แสงศักดิ์สิทธิ์แห่งการกำราบธาตุ’ อันลึกล้ำ และเพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ของมันก็หนักมากกว่านับพันนับหมื่นจิน มันกำเนิดขึ้นมาเพื่อยับยั้งแก่นแท้ของเบญจธาตุ และแม้ว่าจะอยู่ในยุคบรรพกาล ภูเขากำราบธาตุนี้ก็ถือเป็นวัตถุดิบสำหรับขัดเกลาอุปกรณ์ที่หาได้ยากมาก
ยิ่งไปกว่านั้น แสงศักดิ์สิทธิ์แห่งการกำราบธาตุที่อยู่ภายในนั้นก็สามารถบ่มเพาะให้เป็นพลังอิทธิฤทธิ์ที่เรียกว่า ‘ปีกกำราบผกผัน’ ปีกคู่นี้ไม่เพียงสามารถฉีกมิติออกจากกันเพื่อเคลื่อนย้ายไปได้ไกลถึงหมื่นลี้ในพริบตา ด้วยเพียงการกระพือปีกเบา ๆ ในระหว่างต่อสู้ มันก็สามารถทำให้สมบัติวิเศษของธาตุทั้งห้าสูญเสียความสามารถและกลายเป็นกองเศษเหล็กไปได้!
ในแง่ของพลัง มันไม่ได้ด้อยไปกว่าแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีที่ติดหนึ่งในสิบอันดับแรกของยุคบรรพกาลเลยแม้แต่น้อย!
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เพียงเพื่อชิงภูเขากำราบธาตุนี้ จี้อวี๋ได้ใช้พลังของเขามากเกินไปและต้องจำศีลอยู่ภายในเคหา ทำให้เขาสูญเสียความสามารถที่จะปรากฏตัว
เห็นได้ชัดจากข้อเท็จจริงนี้ว่า ภูเขากำราบธาตุเป็นสมบัติที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
‘แม้ว่าข้าจะยังไม่รู้วิธีบ่มเพาะปีกกำราบผกผัน แต่ข้าก็ครอบครองปีกนภาดารกะแล้ว หากข้าดูดซับแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุนี้ ข้าจะสามารถนำความสามารถพิเศษออกมาได้หรือไม่?’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพุ่งออกไป และมาถึง ณ ใจกลางแม่น้ำใหญ่ จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปเพื่อคว้าภูเขากำราบธาตุ
“จงขึ้น!” เฉินซีตะโกน และปราณจ้าววิญญาณในร่างกายของเขาก็พลุ่งพล่าน จากนั้นกล้ามเนื้อของชายหนุ่มก็ระเบิดพลังขึ้นทีละส่วน เขาได้ใช้พลังทั้งหมดที่มีอยู่และแม้แต่ก้อนหินที่หนักนับแสนจิน ก็ยังต้องสลายกลายเป็นผุยผงภายใต้พลังนี้
อย่างไรก็ตาม ภูเขากำราบธาตุลูกนี้เพียงแค่แกว่งไปมาเล็กน้อย และปล่อยคลื่นผันผวนที่เหมือนกับกระแสน้ำที่มืดมน หนักอึ้ง ลึกลับ… ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีพลังที่สามารถบดขยี้ทุกชีวิตได้ อีกทั้งยังทำให้คนอื่นไม่อาจละเว้นจากความรู้สึกสยองขวัญและตกตะลึงได้
แต่สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดก็คือ คลื่นผันผวนนี้ดูเหมือนกับปีศาจร้ายที่หมายยึดครองจิตวิญญาณ และมันได้กระตุ้นปราณแท้ภายในร่างกายของเฉินซีจนกระสับกระส่าย ในขณะที่เลือดลมในร่างกายก็พุ่งทวนทิศและปั่นป่วนวุ่นวาย
สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ทำให้เฉินซีเข้าใจถึงความน่ากลัวของภูเขากำราบธาตุ และในที่สุด เขาก็รู้ซึ้งได้ถึงความยากลำบากของจี้อวี๋ในการสยบภูเขากำราบธาตุเมื่อหลายปีก่อน
ตัวอย่างเช่น การขัดเกลากายาของเขาในปัจจุบันได้บรรลุถึงขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์แล้ว ทว่าด้วยการคว้าจับของเขายังคงทำได้เพียงเขย่าภูเขากำราบธาตุเพียงเล็กน้อย แต่กลับไม่สามารถยกขึ้นได้ ซึ่งแค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนอื่นรู้สึกสิ้นหวัง
“จงขึ้น!” แต่ชายหนุ่มจะไม่ยอมแพ้เช่นนี้ ในช่วงเวลาถัดมา เขาได้ใช้ร่างแปลงสวรรค์และอวตารเทพ ซึ่งทำให้ตัวเขากลายร่างเป็นยักษ์ที่สูงถึงร้อยยี่สิบจั้งและมีสามเศียรหกกร จากนั้นปราณจ้าววิญญาณในร่างกายของเขาก็ม้วนตัวราวกับมหาสมุทร เมื่อแขนทั้งหกที่หนาเหมือนเสาหินได้โอบแน่นที่ภูเขากำราบธาตุ
ครืนนนนนนน!
คลื่นเสียงดังก้องกังวานไปทั่ว ในขณะที่ภูเขาก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และค่อย ๆ ถูกยกออกจากแม่น้ำทีละนิด
ฟุ่บ!
ในช่วงเวลาต่อมา เฉินซีก็ยกภูเขาขึ้นพร้อมกับใช้พลังทั้งหมดของเขาเพื่อใช้ปีกนภาดารกะและพุ่งออกจากเคหาบ่มเพาะไป
ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกอื่น เพราะภูเขากำราบธาตุนั้นหนักเกินไป มันมีความสูงถึงสิบห้าลี้ และเมื่อกอดมันไว้เช่นนี้ น้ำหนักของมันก็เกือบทำให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายของเขาแตกออก ในขณะที่สีหน้าของชายหนุ่มก็บิดเบี้ยวและเส้นเลือดของเขาก็ปูดขึ้นจนแทบระเบิด ตกอยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก
เฉินซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดในการย้ายภูเขาลูกนี้ออกไป แล้วค่อยจัดการบางอย่างกับมันในภายหลัง
…
พรึ่บ!
ขณะนั้นหั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ กำลังพูดคุยกันถึงอะไรบางอย่าง แต่ในทันใดนั้น พวกเขาก็รู้สึกว่ามีเงาทอดมาทางพวกตน ดังนั้นจึงพากันเงยหน้าขึ้นมอง และพวกเขาก็ต้องตกตะลึงจนแทบอ้าปากค้าง
ภูเขาสูงถึงสิบห้าลี้กำลังลอยอยู่กลางอากาศ!
“ดูนั่นสิ! นั่นคือศิษย์น้องเล็ก!”
“โอ้ นั่นศิษย์น้องเล็ก! ข้าก็หลงกังวลเกินไป เพราะนึกว่าจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น”
“หืม ดูเหมือนศิษย์น้องเล็กกำลังยกภูเขาและเล่นกับมันอยู่ หรือว่าเขาก็เป็นเหมือนเรา และเขาก็เป็นสัตว์ประหลาดที่คลั่งไคล้ในการยกภูเขา?”
“เจ้าสิประหลาด กล้ากล่าววาจาเลอะเทอะเช่นนั้นได้อย่างไร!”
พวกเขาต่างคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา และหลังจากที่เห็นว่าคนที่ยกภูเขาอยู่คือศิษย์น้องคนเล็ก คนทั้งหมดก็ผ่อนคลายและเริ่มคุยกันอย่างสนุกสนาน
“ช้าก่อน นั่นมันภูเขากำราบธาตุนี่! สวรรค์! สมบัติชิ้นนี้มีอยู่จริงในโลกหล้าด้วยหรือ!” ร่างกายของหั่วโม่เลยสั่นสะท้าน เขารู้สึกตื่นเต้นจนร้องออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งก็เป็นเพราะเขามีความชำนาญในการปรับแต่งอุปกรณ์มากที่สุด ดังนั้นเขาจึงสังเกตเห็นความพิเศษของภูเขาได้ในพริบตาเดียว
ในชั่วพริบตาต่อมา เขาได้ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับปกคลุมด้วยเปลวเพลิง ผมสีแดงเข้มเหมือนเปลวไฟสะบัดพลิ้ว ดังนั้นทันทีที่เขายืนอยู่กลางอากาศ เขาก็เป็นเหมือนเทพแห่งไฟที่จุติลงมายังโลกและทรงพลังเป็นอย่างมาก
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าอย่าได้ทิ้งมันลงมา ภูเขากำราบธาตุนั้นหนักเกินไป และมันจะทุบยอดเขาจรัสตะวันตกจนกลายเป็นรูใหญ่! เร็วเข้า! มานี่เร็วเข้า! ให้ข้าจัดการกับมันเอง!” แขนของหั่วโม่เลยสั่นสะเทือน ในขณะที่เขาตะโกนออกมา จากนั้นเจ้าตัวก็ประทับผนึกประหลาดที่คลุมเครือและแปลกประหลาดนับไม่ถ้วน ซึ่งมันได้กลายเป็นตาข่ายไฟที่ปกคลุมท้องฟ้า ก่อนที่จะครอบลงมาใส่ภูเขากำราบธาตุ
“จงหดตัว!” ด้วยเสียงกึกก้อง ภูเขากำราบธาตุที่ทำให้เฉินซีต้องหมดหนทาง เริ่มหดตัวลงภายใต้เคล็ดวิชาของหั่วโม่เลยด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ในชั่วพริบตาเดียว ภูเขากำราบธาตุสีดำสนิทได้หดตัวจนเหลือความสูงเพียงสิบสองจั้ง ซึ่งมันก็ได้ปล่อยกลิ่นอายที่กดดันและน่าสะพรึงกลัวอย่างมากออกมา ทำให้มันดูลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกัน หั่วโม่เลยก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับหยิบถุงผ้าสีเทาออกมา ก่อนจะวางภูเขากำราบธาตุลงไปในนั้นทันที และถือมันไว้ในมืออย่างง่ายดาย
ทางด้านเฉินซีก็กำลังหอบหายใจด้วยความอ่อนแรง บนหน้าผากของชายหนุ่มเต็มไปด้วยเหงื่อ แต่เมื่อเห็นหั่วโม่เลยจัดการกับภูเขากำราบธาตุได้อย่างง่ายดาย เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจและไม่อยากจะเชื่อ
“ศิษย์พี่ใหญ่… ท่าน…แข็งแกร่งมาก!” เฉินซีตกตะลึงและลอบถอนหายใจ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าจำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญในศาสตร์นั้น ๆ จึงจะใช้เคล็ดวิชาบางอย่างได้ แต่ใครจะคาดคิดได้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ที่เป็นเหมือนกับขยะในสายตาผู้อื่น จะสามารถทำได้ถึงเพียงนี้?
เพราะจี้อวี๋ในเวลานั้นก็ได้ใช้พละกำลังมหาศาล กว่าจะสามารถนำภูเขากำราบธาตุไปไว้ในที่เคหาบ่มเพาะได้!
“ฮ่า ๆ ศิษย์น้องเล็ก เจ้าอย่าลืมว่าข้าเป็นผู้สืบทอดของตระกูลอัคคีหลอม และข้ามีศาสตร์เต๋าที่สามารถปรับแต่งอุปกรณ์น่าเกรงขามได้โดยกำเนิด ดังนั้นการควบคุมภูเขากำราบธาตุจึงไม่ใช่เรื่องยาก” หั่วโม่เลยหัวเราะเสียงดัง
‘ศาสตร์เต๋าในการปรับแต่งอุปกรณ์?’ เฉินซีคิดในใจก่อนที่จะถามว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านช่วยแยกแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุที่อยู่ภายในได้หรือไม่”
“แน่นอน แต่ข้าต้องใช้เวลา…” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ หั่วโม่เลยก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาทันที และเขาก็กล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าคงไม่ได้คิดที่จะบ่มเพาะปีกกำราบผกผันใช่หรือไม่?!”
“ใช่แล้วขอรับ” เฉินซีค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น “หรือว่าศิษย์พี่ใหญ่รู้วิธีบ่มเพาะพลังอิทธิฤทธิ์นี้”
“ถึงข้าจะไม่รู้ แต่ศิษย์น้องชิงอวี่ย่อมรู้ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์วิหคเพลิงนภาได้อาศัยอยู่บนภูเขากำราบธาตุในยุคบรรพกาล และพลังอิทธิฤทธิ์นี้ก็เป็นเคล็ดวิชาขั้นสูงสุดของเผ่า”
“แต่โชคไม่ดีที่ภูเขากำราบธาตุถูกทำลายและหายสาบสูญไปอย่างเนิ่นนาน และเป็นเรื่องยากมากที่จะค้นพบสักแห่งในแดนภวังค์ทมิฬทั้งหมด ดังนั้นพลังอิทธิฤทธิ์นี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะบ่มเพาะโดยธรรมชาติ หากไม่ใช่เพราะสิ่งนี้ เผ่าวิหคเพลิงนภาก็คงไม่ตกต่ำจนแม้แต่ตระกูลอีกาวิญญาณยังกล้าดูถูก” หั่วโม่เลยถอนหายใจและกล่าวด้วยความเสียดาย
‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง’ เฉินซีคิดในใจ ‘ไม่น่าแปลกใจที่ตู้เซวียนรังแกศิษย์น้องชิงอวี่อย่างโจ่งแจ้ง เป็นเพราะเผ่าวิหคเพลิงนภาไม่แข็งแกร่งเหมือนเช่นแต่ก่อน…’
“จริงสิ ว่าแต่ศิษย์พี่ชิงอวี่อยู่ที่ใดหรือ?” เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เฉินซีก็กวาดสายตามองหาชิงอวี่ แต่กลับไม่พบ ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความงุนงง
“เขาไปทำภารกิจที่นิกายมอบหมายให้กับหลิงไป๋” หั่วโม่เลยขมวดคิ้วและบอกเล่าเกี่ยวกับการมาถึงของซินหรูไห่เมื่อครึ่งเดือนก่อนให้แก่เฉินซี
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ จู่ ๆ เฉินซีก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ และเขารู้สึกได้ราง ๆ ว่าดูจะมีแผนการแฝงอยู่เบื้องหลัง
“แย่แล้ว! ศิษย์น้องเฉินซีอยู่ที่นี่หรือไม่? ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่าศิษย์พี่ชิงอวี่ของเจ้าถูกขังอยู่ในเทือกเขาเทพเจ้าไก่ฟ้าของแคว้นสือ!” ในขณะนี้ เสียงที่ชัดเจนและก้องกังวาน ซึ่งเผยให้เห็นถึงความวิตกกังวลได้ดังก้องขึ้นมาจากขอบฟ้า