บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 590 ให้ข้ายืมหัวหน่อย
บทที่ 590 ให้ข้ายืมหัวหน่อย
ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด ชายวัยกลางคนร่างกำยำหัวเราะอย่างชั่วร้ายขณะที่มองไปยังผู้บ่มเพาะจำนวนหนึ่งที่โต๊ะใกล้ ๆ “พวกเจ้าคือคนที่ว่าร้ายผู้อาวุโสก่อนหน้านี้หรือ?”
สีหน้าของผู้บ่มเพาะเหล่านั้นซีดเผือดด้วยความขวัญผวาและหวาดกลัวจนแทบจะทรุดลงบนพื้น ร่างกายของพวกเขากระทั่งสั่นสะท้านอย่างรุนแรงเมื่อได้ยินคำพูดนั้นและโบกไม้โบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ไม่ใช่ ไม่ใช่ พวกเรา…พวกเราไม่มีทางพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับผู้อาวุโสอยู่แล้ว”
ฟันของพวกเขากระทบและบดกันจนเกิดเสียงดังขณะที่พูดจาตะกุกตะกัก เห็นได้ชัดว่ากำลังหวาดกลัวอย่างหนัก
“ฮึ่ม! ในเวลาแบบนี้ยังกล้าหลอกลวงผู้อาวุโส พวกเจ้าสมควรตาย!” ชายวัยกลางคนคนนั้นตะคอกขณะที่พลังปราณพลุ่งพล่านภายในร่างกาย แล้วลำแสงสีดำสนิทก็ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา ทำให้ดูราวกับว่ากำลังเดินออกมาจากทะเลเลือดและกองศพ เพียงแค่เจตนาสังหารรุนแรงนี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับว่าตกลงไปในบ่อน้ำแข็งจนหายใจไม่ออกแล้ว
แต่ขณะที่ทุกคนคิดว่าจะเคลื่อนไหวนั้น เจ้าตัวก็กลับหลังหันมาและมองไปด้านข้างในทันใด “เจ้าเป็นใคร? ดูเหมือนจะจ้องมองข้ามานานแล้วใช่หรือไม่?”
ผู้ที่เขาหันไปมองคือชายหนุ่มในชุดคลุมปักลาย ซึ่งเชิดคางขึ้นเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินคำพูดเหล่านั้น ก่อนจะกล่าวอย่างเย่อหยิ่งว่า “เจ้าคือลำดับที่สามจากเจ็ดอสูรไก่ฟ้าทมิฬ ลวี่ช่งอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว” ชายวัยกลางคนคนเดิมหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้โชคร้ายเสียทีเดียว ข้าได้เจอกับเจ้าทันทีที่เข้ามาในเมืองรอยจันทรา ดียิ่ง ข้าจะได้สังหารเจ้าให้สำเร็จและกลับไปที่นิกายได้เลย” ชายหนุ่มในชุดคลุมปักลายกล่าว “ตอนนี้ข้าจะให้เจ้าสองทางเลือก อย่างแรกคือปาดคอตัวเองเสีย อย่างที่สองคือให้ข้าลงมือเอง เลือกมาสิว่าอยากได้แบบใด?”
ทุกคนในร้านอาหารต่างก็ตะลึงงันเมื่อได้ยินดังนั้น เป็นชายหนุ่มที่หยิ่งทะนงอะไรอย่างนี้ เขากล้าพูดว่าอยากจะสังหารลวี่ช่ง หนึ่งในเจ็ดอสูรไก่ฟ้าทมิฬอย่างนั้นหรือ? เขากำลังหาเรื่องตายชัด ๆ!
ผู้เห็นเหตุการณ์ส่วนมากเป็นผู้บ่มเพาะในเมืองรอยจันทรา และรู้ถึงพละกำลังของลวี่ช่งเป็นอย่างดี นอกจากอีกฝ่ายจะครอบครองการบ่มเพาะขอบเขตจุติระดับสี่แล้ว เขายังเป็นคนโหดเหี้ยม ชั่วร้าย และกระหายเลือดยิ่ง กระทั่งมีข่าวลือหนาหูว่าเคยสังหารคนไปมากกว่าแสนคนแล้ว!
ผู้แข็งแกร่งราวกับเทพสังหารเช่นนั้นจะถูกสังหารได้อย่างไรกัน?
ในขณะเดียวกัน เฉินซีก็ยืนยันตัวตนของชายวัยกลางคนร่างยักษ์คนนี้ได้ในที่สุด และเช่นเดียวกันกับชายหนุ่มในชุดคลุมปัก เขาเองก็รู้สึกว่าบังเอิญยิ่งนักที่ได้มาพบกับลวี่ช่งโดยที่ยังไม่ได้ตามหาเสียด้วยซ้ำ
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ลวี่ช่งพลันหัวเราะเสียงดังลั่นจนแสบหูและจ้องมองมาด้วยสายตาชั่วร้าย “น่าสมเพช น่าสมเพชจริง ๆ มนุษย์ตัวจ้อยในขอบเขตจุติระดับสี่กล้าอวดดีขนาดนี้ แสดงว่าเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ! ดูจากการแต่งตัวแล้ว เจ้าคงจะเป็นศิษย์สายหลักแห่งนิกายธาราเมฆ แต่โชคไม่ดีนัก วันนี้ถึงจะมีผู้อาวุโสในนิกายมาช่วยเจ้าก็คงไม่รอดแน่!”
เขาสังหารผู้คนมาแล้วนับไม่ถ้วนราวกับบี้แมลง และเคยถูกไล่ล่าโดยศิษย์จากนิกายมากมาย แต่จนบัดนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยครบสามสิบสอง ดังนั้นคงไม่ต้องบอกว่าคนผู้นี้มีพละกำลังมหาศาลและมากประสบการณ์เพียงใด ด้วยเพียงแค่โชคคงไม่สามารถทำให้รอดไปได้ทุกครา!!
“ในเมื่อท่านไม่รับฟังเหตุผล เช่นนั้นก็อย่ามาหาว่าข้าใจดำแล้วกัน ข้าลืมบอกเจ้าไป ข้ามีนามว่าฟางสิงโจว เป็นศิษย์สายหลักแห่งนิกายธาราเมฆ การได้ตายในกำมือของข้าก็ถือว่าเป็นโชคดีสำหรับเจ้ามากแล้วล่ะ” ชายหนุ่มผู้มีนามว่าฟางสิงโจวลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีสง่างาม และกล่าวคำพูดที่หยิ่งทะนงยิ่งนักออกมา
“ฮึ่ม!” ลวี่ช่งส่งเสียงไม่พอใจด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แล้วเขาก็จ้องเขม็งไปที่ด้านหลังของอีกฝ่ายราวกับว่ามีคนที่สำคัญยิ่งกว่าอยู่ตรงนั้น
ฟางสิงโจวอึ้งงันและหันไปมองตามด้วยเช่นกัน
“เด็กน้อย เจ้าน่ะอ่อนประสบการณ์เกินไป!” ตอนนั้นเอง ลวี่ช่งก็เผยสีหน้าพึงพอใจและรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา มือขวาที่เต็มไปด้วยข้อต่อขนาดใหญ่และหนากางออกไปพร้อมกับแสงสีดำสนิทแผ่ออก ขณะที่กำปั้นก็ต่อยลงไปยังศีรษะของฟางสิงโจว!
“น่ารังเกียจจริง ๆ!” ฟางสิงโจวกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวและฟาดมือออกไปตามสัญชาตญาณ
ตู้ม!
เมื่อฝ่ามือของทั้งสองปะทะกัน พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็แพร่กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้โต๊ะและเก้าอี้ทั้งหมดในห้องโถงถูกทำลาย ในขณะที่ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ไม่สามารถหลบหลีกได้ทันและต้องสั่นสะท้านจนเลือดไหลออกมาจากรูทวารทั้งเจ็ดก่อนที่จะสิ้นใจไปอย่างน่าอนาถ
ครืน!
เสียงสนั่นเลื่อนลั่นดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ร้านอาหารที่คึกคักที่สุดในเมืองรอยจันทราไม่สามารถต้านทานพลังที่น่าสะพรึงกลัวจากการปะทะไหวและพังทลายลงในท้ายที่สุด ทำให้ฝุ่นควันฟุ้งกระจายไปทั่วทุกอณูอากาศ
ในขณะเดียวกัน แขกเหรื่อทั้งหลายในร้านต่างก็หนีออกไปจนหมดราวกับว่าต้องเอาชีวิตรอด
ฟางสิงโจวเองก็ออกไปด้วยเช่นกัน แต่เขากระเด็นออกมาเพราะการโจมตีจากฝ่ามือของลวี่ช่ง ร่างคนลอยออกไปยังถนนด้านนอกและใบหน้ากลับกลายเป็นซีดเผือด
เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บหนักจากการโจมตีฝ่ามือที่ไม่ทันได้ตั้งตัวนั้น
“ฝ่ามือมหาปีศาจโลหิต!” หลังจากนั้น ลวี่ช่งก็ไล่ตามมาติด ๆ โดยไม่ปล่อยให้ฟางสิงโจวได้พักหายใจแม้แต่น้อย ชายวัยกลางคนผู้นี้เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์การต่อสู้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ของชายคนนี้นั้นโหดเหี้ยมและเด็ดขาดยิ่ง!
เลือดสีแดงฉานและมือยักษ์พุ่งทะยานลงมาจากท้องฟ้าและปลดปล่อยกลิ่นชั่วร้าย หม่นหมอง และต่ำทรามออกมาขณะที่พุ่งตรงไปยังอีกฝ่ายราวกับภูเขาลูกใหญ่
ปราณแท้และเลือดในร่างกายของฟางสิงโจวเริ่มเชื่องช้าลงและเขาแทบไม่สามารถหายใจได้ขณะที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของฝ่ามือนี้
“เวรเอ๊ย! เจ้ามันวอนตายเสียแล้ว!” ในจังหวะนั้นเอง ฟางสิงโจวก็คำรามเสียงดังลั่นขณะที่กัดลิ้นของตัวเอง ทำให้กลิ่นอายของเขาพลันเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมสองเท่า หลังจากนั้นร่างของเขาก็วูบไหวไปมาขณะที่ฝ่ามืออาบไปด้วยแสงสีเขียวเปล่งประกาย
ตู้ม!
ห้วงมิติเริ่มแปรปรวนทันทีที่การโจมตีจากทั้งสองฝ่ายปะทะกัน แล้วแสงสีเขียวก็ระเบิดออกเพื่อทำลายมือยักษ์สีแดงฉาน แต่มือสีแดงขนาดใหญ่ก็แข็งแกร่งอย่างมาก ราวกับหินผา และมีพละกำลังที่น่าตกตะลึง ทันทีที่ปะทะเข้ากับมัน แสงสีเขียวก็เป็นเหมือนหิมะที่ละลายหายไปในน้ำ
ฟู่!
เลือดมากมายพุ่งอกมาจากปากของฟางสิงโจวขณะที่เขาลอยกระเด็นออกไปด้วยความไม่เชื่อสายตา
แล้วลวี่ช่งจะพลาดโอกาสดีเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? เขาไล่ตามไปติด ๆ และหัวเราะอย่างชั่วร้ายขณะที่กล่าว “แค่ข้อผิดพลาดเดียวก็ทำให้ทุกย่างก้าวผิดพลาดได้ เจ้าคิดว่าวิชาของเจ้าเก่งกาจแล้ว แต่ประสบการณ์ของเจ้าย่ำแย่นัก ข้าเคยฆ่าลูกนกตัวน้อยอย่างเจ้ามานับไม่ถ้วนแล้ว!”
“ไอ้เฮงซวย! คิดว่าข้าเป็นปลาบนเขียงของเจ้าหรือไรกัน?” ฟางสิงโจวรู้ว่าเขาประมาทเกินไป และหากไม่พลิกสถานการณ์ให้ทันท่วงที ตนก็จะต้องตายเป็นแน่!
แล้วโอสถเม็ดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือขณะที่เขาพูด ยานั้นมีสีแดงฉานราวกับเปลวเพลิงที่ใสราวกับผลึกแก้ว ส่องแสงสว่างออกมา อีกทั้งยังเกิดเสียงคำรามของพยัคฆ์และมังกรอีกด้วย แสดงให้เห็นว่าคุณภาพของมันไม่ธรรมดาเลย!
ฟางสิงโจวกลืนยาเม็ดนั้นเข้าไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย หลังจากนั้น แสงสว่างก็สาดส่องออกมาจากทั่วทั้งร่างกายของเขา และรัศมีของเขาก็เริ่มพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในชั่วพริบตาเดียวก็ดูเหมือนว่าเขาจะได้พัฒนาจากขอบเขตจุติระดับสี่เข้าสู่ขอบเขตจุติระดับห้า!
เห็นได้ชัดว่ายาเม็ดนั้นสามารถพัฒนาระดับพลังของผู้บ่มเพาะได้ในทันทีทันใด!
“ยาปราณแท้สามกลั่นของนิกายธาราเมฆ!?” ลวี่ช่งประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“ใช่แล้ว ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะรอบรู้ขนาดนี้ หลังจากกินยานี้เข้าไป พละกำลังของข้าจะทะยานสูงขึ้นไปเป็นขอบเขตจุติระดับห้าเป็นเวลาหนึ่งเค่อ และอาการบาดเจ็บทั้งหมดก็จะถูกกดเอาไว้ด้วยเช่นกัน ทีนี้เจ้าลองมาสู้กับข้าดูสิ!” ฟางสิงโจวหัวเราะอย่างเยือกเย็นขณะที่ตะโกนเสียงดังลั่น แล้วเขาก็เป็นฝ่ายพุ่งเข้าไปหาลวี่ช่งบ้าง
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
สายลมส่งเสียงหวีดหวิวขณะที่ลำแสงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า คนทั้งสองต่างต่อสู้กันในขณะที่ตึกอาคารโดยรอบสั่นสะเทือนและพังทลายลงมา หลุมและรอยแยกขนาดใหญ่มากมายปรากฏขึ้นบนพื้นดินระหว่างที่การต่อสู้ของทั้งสองคนดุเดือดถึงขีดสุด
มีผู้คนมากมายที่อยู่โดยรอบมาชมเหตุการณ์ รวมไปถึงศิษย์จากนิกายอื่น ๆ ที่มายังเมืองรอยจันทราเพื่อทำภารกิจของตัวเองด้วยเช่นกัน สีหน้าของพวกเขาล้วนดูหนักอึ้งยิ่งขึ้นเมื่อเห็นภาพนี้
ร่างของเฉินซีเองก็ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้นด้วยเช่นกัน
เขาไม่เคยจินตนาการมาก่อนเลยว่า นอกจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองที่มองว่าเจ็ดอสูรไก่ฟ้าทมิฬเป็นเป้าหมายของภารกิจแล้ว นิกายอื่น ๆ ก็ทำแบบนั้นด้วยเช่นกัน… ชายหนุ่มดูราวกับว่าตกลงไปในห้วงความคิด
“เจ้ากินยาปราณแท้สามกลั่นไปแล้วอย่างไรเล่า? ตายซะ!” ลวี่ช่งแผดเสียงดังลั่นขณะที่แสงสีแดงฉานเปล่งออกมาจากร่างกายราวกับแม่น้ำโลหิตที่ไหลลงมาจากสวรรค์เพื่อจมร่างของฟางสิงโจวจนมิด
“ฮึ่ม! เจ้าไม่มีทางสังหารข้าได้หรอก!” ฟางสิงโจวมั่นใจเป็นอย่างมากหลังจากที่พละกำลังเพิ่มขึ้นมหาศาล ร่างกายของเขาทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับลูกศรแหลมคม ก่อนที่เขาจะปล่อยหมัดที่เปล่งประกายแสงสีเขียวออกมา
ตู้ม!
แสงสว่างจากการปะทะพุ่งออกไปทั่วทุกทิศทางในขณะที่แรงปะทะกระจายออกไปรอบ ๆ แม้กระทั่งห้วงอากาศก็ฉีกขาดและส่งเสียงคร่ำครวญออกมา
“อ๊าก!” แต่หลังจากนั้น เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดก็ดังกึกก้อง ทั้งร่างกายของฟางสิงโจวกระแทกลงกับพื้นดินอย่างรุนแรง ทำให้กระดูกทั่วทั้งร่างกายของเขาแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ตัวคนกระอักเลือดออกมาต่อเนื่องและใกล้จะสิ้นใจเต็มที
“เจ้าเล่ห์นัก! เจ้าปกปิดพละกำลังที่แท้จริงเอาไว้!”
“ฮ่า ๆ! ผู้อาวุโสคงลืมบอกเจ้าว่าข้าเองก็เข้าสู่ขอบเขตจุติระดับห้าแล้วตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน!” ลวี่ช่งเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและหัวเราะเสียงดังลั่น สายตาของเขาจับจ้องไปยังฟางสิงโจวราวกับแมวที่กำลังหยอกล้อหนูตัวจ้อยอย่างดูถูกและโหดร้าย
“ในชีวิตหน้าข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่…” ฟางสิงโจวจ้องมองด้วยสายตาเบิกกว้างที่โกรธเกรี้ยว และขาดใจไปในที่สุด ทว่าก่อนที่จะหมดลมหายใจสุดท้าย เขาก็อดรู้สึกเสียใจไม่ได้
เขาเสียใจที่ไม่ได้หนีไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เสียใจที่รับภารกิจนี้มา และเสียใจที่ต้องเผชิญหน้ากับปีศาจชั่วร้ายอย่างลวี่ช่ง หากได้เกิดมาอีกครั้ง เขาจะไม่มีทางแลกชีวิตของตัวเองกับชื่อเสียงและเงินทองแน่…
กร๊อบ!
ลวี่ช่งยังไม่มั่นใจว่าฟางสิงโจวตายแล้วจริงหรือไม่ เขาจึงยกมือขึ้นเพื่อโจมตีไปยังศีรษะของอีกฝ่ายอีกครั้ง หลังจากนั้น เขาก็เดินเข้าไปปล้นทรัพย์สินบนร่างกายของฟางสิงโจว
เขารู้ว่าในฐานะศิษย์สายหลักแห่งนิกายธาราเมฆ ฟางสิงโจวย่อมมีสมบัติติดตัวอยู่มากมาย แล้วถ้าเขาไม่เป็นผู้เก็บไปเอง จะให้คนอื่นเป็นผู้ได้ประโยชน์ไปแทนหรืออย่างไร?
“โหดเหี้ยม ชั่วร้าย เจ้าเล่ห์ และไร้ยางอาย… หลิงไป๋กับชิงอวี่ก็คงจะโดนศัตรูแบบนี้หลอกเข้าด้วยเหมือนกัน…” เสียงพึมพำแผ่วเบาพลันแว่วขึ้นมาจากฝูงชน
“ผู้ใดกัน!?” ลวี่ช่งหูดียิ่ง เขาหยุดเคลื่อนไหวและหันไปมองตามเสียงนั้นด้วยสีหน้าดุร้ายทันที แล้วสายตาของเขาก็จับจ้องเป้าหมายเอาไว้ได้สำเร็จ
อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาและโดดเด่นผู้หนึ่ง
เขาหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็นทันทีที่เห็นดังนั้น “ดูเหมือนว่าจะมีเด็กน้อยหลายคนอยากจะฆ่าข้า ข้าเพิ่งจะจัดการศิษย์แห่งนิกายธาราเมฆไปก็มีอีกคนปรากฏตัวขึ้นแล้ว อะไรกัน? เจ้าอยากตายคาถนนเส้นนี้เหมือนเขาหรือ?”
แม้ว่าจะพูดเช่นนั้น เขาก็อดรู้สึกประหลาดใจอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้ไม่สามารถสัมผัสถึงชายหนุ่มคนนี้ได้เลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้อีกฝ่ายดูน่าสงสัยไม่น้อย
“พูด! เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่? ไม่อย่างนั้นก็อย่าหาว่าข้าใจจืดใจดำล่ะ!” ลวี่ช่งกล่าวอย่างดุร้ายก่อนที่เฉินซีจะได้ทันเปิดปากพูดเสียอีก เพราะเขาตั้งใจจะยั่วยุชายหนุ่ม
ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจมากมายโดยรอบ เฉินซีเดินไม่ช้าไม่เร็วออกมาจากฝูงชน สีหน้าของเขานิ่งเฉยและเยือกเย็นขณะที่กล่าว “ข้าแค่อยากจะยืมหัวเจ้าสักหน่อยก็เท่านั้น!”