บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 592 การมาเยือนของผู้ทรงอำนาจ
บทที่ 592 การมาเยือนของผู้ทรงอำนาจ
นิกายวายุม่วงเป็นเพียงนิกายชั้นสองที่ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อสองสามร้อยปีก่อน การบ่มเพาะที่สูงที่สุดในนิกายนั้นคือขอบเขตสถิตกายาซึ่งมีผู้ครอบครองเพียงหนึ่งเดียวคือประมุขนิกายอู่จือฉง
ขณะที่เหล่าผู้อาวุโสในนิกายแห่งนี้ล้วนอยู่ในขอบเขตจุติ
ส่วนเหล่าศิษย์นั้นล้วนอยู่ในขอบเขตแกนทองคำหรือต่ำกว่า ทว่าจำนวนคนนั้นมหาศาล มีมากนับหมื่นชีวิต แม้จะมีดีผสมร้ายปะปนกันไป ทว่าจำนวนที่มากเช่นนี้ก็สามารถใช้สยบผู้คนได้มากมาย
ตัวอย่างเช่น มีนิกายชั้นสองจำนวนมหาศาลในแคว้นสือ และนิกายวายุม่วงยังถือได้ว่าเป็นหนึ่งในนิกายที่มีชื่อเสียงเมื่อเปรียบเทียบกับนิกายอื่น
กุญแจสำคัญคืออู่จือฉง ประมุขแห่งนิกายวายุม่วง ผู้เป็นศิษย์คนหนึ่งจากหนึ่งในสิบนิกายเซียนที่ถูกทอดทิ้ง นิกายวิถีกระแสสวรรค์ แม้เขาจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับนิกายวิถีกระแสสวรรค์แม้แต่น้อย ทว่าภูมิหลังเช่นนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนเกรงกลัว
อย่างไรแล้วนิกายวิถีกระแสสวรรค์ก็เป็นนิกายโบราณเก่าแก่ที่มีอยู่ตั้งแต่เนิ่นนาน ซ้ำยังจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของนิกายเซียน ชื่อเสียงเรียงนามอันน่าเกรงขามของมันสะเทือนไปทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬ
แม้ว่าอู่จือฉงจะเป็นศิษย์ที่ถูกทอดทิ้ง เขาก็ยังคงบ่มเพาะในนิกายวิถีกระแสสวรรค์เป็นเวลาหลายปี จึงเป็นเรื่องชัดเจนที่เขาจะรู้จักบุคคลในนิกายวิถีกระแสสวรรค์มากมาย ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ผู้ใดจะหาญกล้าดูหมิ่นเล่า?
โดยเฉพาะอาณาเขตของนิกายวายุม่วงได้ตั้งตระหง่านอยู่ภายในเมืองรอยจันทรามาหลายร้อยปีจนถึงบัดนี้ และไม่มีบุคคลหรืออำนาจใดสามารถโค่นล้มมันได้
อาณาเขตของนิกายวายุม่วงกว้างใหญ่ไพศาลเกือบจะครอบคลุมทั้งพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง ซึ่งประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่เรียงกันเป็นทิวแถว แม้ว่าจะไม่ได้สร้างบนเส้นชีพจรวิญญาณภายในหุบเขา แต่ก็แฝงกลิ่นอายที่โอ่อ่าเหนือธรรมชาติ
เมื่อมองจากที่ไกลห่าง ทั้งนิกายวายุม่วงก็ไม่ต่างอะไรกับเมืองเล็ก ๆ ที่แยกตัวเป็นอิสระ!
ในขณะนี้ ม่านแห่งรัตติกาลได้เคลื่อนลงมา ทั่วนิกายวายุม่วงส่องสว่างไปด้วยแสงตะเกียงดูราวกับว่าเป็นเวลากลางวัน เสียงอึกทึกครึกโครมที่ดังออกมาจากภายในนิกายสร้างบรรยากาศที่ครึกครื้นยิ่ง
“ศิษย์พี่รอง กลับมาแล้วหรือ? วันนี้ท่านได้พบกับคนรักระหว่างออกไปข้างนอกหรือไม่?”
“ฮ่า ๆ! ศิษย์พี่เจ็ดแห่งสวนทางตอนเหนือกลับมาแล้วเช่นกัน รีบเข้ามา ท่านอาจารย์ลุงกำลังรออยู่”
ก่อนถึงประตูใหญ่ของนิกายวายุม่วง มีศิษย์จำนวนหนึ่งเดินเข้ามา ขณะที่เหล่าศิษย์อีกกลุ่มหนึ่งที่เฝ้าอยู่ข้างทางรีบโค้งคำนับพลางกล่าวทักทาย
“หืม? เจ้าเป็นใคร? รีบ ๆ ออกไปซะ! ถ้าอยากเข้ามาในนิกายก็ต้องมาพรุ่งนี้เช้า!” ทันใดนั้น ทหารองครักษ์สังเกตเห็นร่างหนึ่งที่เดินออกมาจากเงามืดที่ห่างไกล เขาพลันตะโกนเมื่อเห็นร่างนั้นไม่มีเจตนาที่จะหยุดแม้แต่น้อย “หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้! หากเจ้าล่วงล้ำเข้าไปในนิกายวายุม่วงของพวกข้า อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือน!”
ทันทีที่เสียงตะโกนดังก้องออกไป ศิษย์ชุดดำจำนวนหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากหอคอยเหนือทางเข้า พวกเขาสวมชุดเกราะ ถือสมบัติวิเศษหลากสีอยู่ในมือ สายตาอาฆาตแฝงความไม่เป็นมิตร
ฟิ้ว!
ผู้ที่โผล่ออกมาจากเงามืดคือเฉินซีนั่นเอง เขาพลันพุ่งทะยานสู่สวรรค์ตรงไปยังหอคอยสูงตระหง่านเหนือทางเข้าในขณะที่คลื่นอากาศอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งออกมาจากร่างกาย ทำให้ศิษย์ชุดดำที่ยืนเรียงแถวซึ่งแต่เดิมยืนอยู่บนหอคอยเริ่มรู้สึกว่าร่างกายกำลังสั่นไหว ก่อนที่จะถูกระเบิดกระเด็นออกจากหอคอยโดยตรง
มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่ยืนอยู่บนหอคอย
บรรดาศิษย์ชุดดำร่วงหล่นลงมา มีรอยฟกช้ำทั่วร่างกาย พวกเขาส่งเสียงโอดโอยไม่หยุด ซ้ำยังมีกระดูกแตกหักนับไม่ถ้วน ทำให้ต้องล้มลงนอนกับพื้น ไม่อาจลุกขึ้นยืนได้
อันที่จริงพวกเขาล้วนมีการบ่มเพาะที่ไม่น่าจะได้รับบาดเจ็บจากการที่แค่ตกลงมาจากหอคอย ทว่าส่วนมากเป็นเพราะพวกเขาถูกอัดด้วยแรงระเบิดอากาศที่อยู่ภายในร่างของเฉินซี และนี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ไป
“ก…เกิดอันใดขึ้น?”
“เขา…เขา… หรือว่าเขาจะต้องการท้าสู้กับนิกายวายุม่วงของข้าด้วยตัวคนเดียว?”
บรรดาทหารองครักษ์หน้าประตูทางเข้ามองไปยังชายหนุ่มที่อยู่บนหอคอยด้วยสีหน้าอึ้งงันและเหลือเชื่อ เพียงแค่ชายหนุ่มคนเดียวก็สามารถเข้ามาก่อปัญหาในอาณาเขตของนิกายวายุม่วงในยามราตรีได้แล้วอย่างนั้นหรือ?
ฟิ้ว!
ในยามถัดมา เฉินซีพุ่งขึ้นสู่เวหาพร้อมกับจู่โจมโดยตรง ในขณะที่ไม่สนใจใคร เขายื่นมือออกไปซึ่งได้กลายเป็นฝ่ามือยักษ์ที่เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์พร้อมฟาดลงมา ก่อนที่มันจะส่งเสียงดังก้องเมื่อกระทบกับหอคอยขนาดมหึมาเหนือประตูทางเข้า
หอคอยแห่งนี้ได้รับการปกป้องโดยมหาค่ายกลและปกคลุมด้วยอักขระยันต์ ทว่าเมื่อถูกเฉินซีจู่โจม หอคอยก็ถูกบดขยี้ไม่เหลือชิ้นดี ถล่มลงมาราวกับเศษกระดาษ
ที่แห่งนี้เคยเป็นประตูทางเข้าของนิกายวายุม่วงซึ่งแสดงถึงศักดิ์ศรีเกียรติยศ แต่บัดนี้มันกลับพังทลายลงเพียงเพราะการตบครั้งเดียว!
เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเช่นนี้พลันดึงดูดความสนใจของผู้บ่มเพาะในพื้นที่ ทำให้พวกเขาตกใจอย่างยิ่ง ‘เขาเป็นใครกัน? เหตุใดจึงกล้าบังอาจทำลายประตูทางเข้านิกายวายุม่วง?’
เฉินซียืนอยู่กลางอากาศ เสื้อผ้าและเส้นผมยาวของเขาพลิ้วไหวไปตามสายลมพลางตะโกนอย่างดุดัน “รีบส่งตัวศิษย์พี่ชิงอวี่มา มิฉะนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนิกายวายุม่วงจะถูกกำจัดออกไปจากโลกแห่งการบ่มเพาะ!”
เสียงตะโกนของเขาเหมือนกับสายฟ้าที่ดังก้องไปทั่วสารทิศ ราวกับเสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดของเทพอสูร มันดังจนทำให้ทหารองครักษ์ที่เดิมทียืนเฝ้าประตูทางเข้า รวมถึงผู้คนที่เดินผ่านล้วนต้องใช้มือปิดหู หนีกระเจิงออกไปโดยพร้อมกัน
เสียงนี้ดังมากจนกังวานไปทั่วทั้งเมืองรอยจันทรา
ผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งนิกายวายุม่วงที่เฝ้าอยู่ใกล้ประตูทางเข้ารู้สึกประหลาดใจจนตัวสั่นไปทั้งตัว อีกฝ่ายต้องการกวาดล้างนิกายวายุม่วงให้หายไปจากโลกอย่างนั้นหรือ? ต้องแข็งแกร่งเพียงใดถึงกล้าพูดเช่นนี้?
เพราะนี่คือนิกายวายุม่วงอันทรงเกียรติ ผู้กล่าวได้ว่าเป็นเจ้าปกครองแห่งเมืองรอยจันทรา!
ใครบังอาจมาสร้างปัญหาที่นี่!?
ทุกคนตกตะลึงและรู้สึกเหลือเชื่อ เขาเป็นเพียงชายหนุ่มเท่านั้น นี่จะมารนหาที่ตายหรืออย่างไรกัน?
“จ…เจ้าเป็นใคร? อยากตายงั้นรึ!?” ทหารองครักษ์ที่เฝ้าประตูตะคอกด้วยโทสะ ‘นี่มันเกินไปแล้ว! คิดว่านิกายวายุม่วงของพวกข้าเป็นสถานที่แบบไหนกัน?’
พวกเขาใช้เสียงตะคอกเพื่อระบายความตกตะลึงและความเดือดดาลภายในใจ
“ไสหัวไปเสียถ้าพวกเจ้ายังไม่อยากตาย!” เฉินซีตอบอย่างเย็นชาก่อนจะยกมือขึ้นอีกครั้ง กลิ่นอายพลังและความน่าเกรงขามแผ่ซ่านออกมาจากตัว ก่อนที่ฝ่ามือยักษ์อีกหนึ่งข้างซึ่งกำลังปกคลุมท้องนภาจะฟาดลงมา
โครม!
สิ่งก่อสร้างในรัศมีพันจั้งถูกบดขยี้จนเหลือแต่ซากปรักหักพัง หินที่มีขนาดเท่ากับหินโม่กระเด็นออกไปทุกทิศทาง ควันโขมงปกคลุมทั่วท้องนภา
บรรดาศิษย์นิกายวายุม่วงต่างรู้สึกวิงเวียนศีรษะ เขาไม่เย่อหยิ่งเกินไปหน่อยรึ? คิดว่านิกายวายุม่วงเป็นอะไรกันแน่? จะมาทำลายนิกายตามใจชอบได้อย่างไร?
“ทุกคน ออกไปสังหารคนผู้นี้พร้อมกันเถอะ!” เสียงตะโกนดังกึกก้องขึ้นมา
โครม!
ในช่วงเวลาต่อมา สมบัติวิเศษมากมายพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา กระบวนยุทธ์ระดับเต๋าส่องแสงอย่างแน่นหนา สาดส่องไปทั่วทั้งโลการาวกับเป็นยามกลางวัน
ทว่าเพียงแค่เฉินซีพลิกฝ่ามือและกดลง มันก็ทำให้การโจมตีต่าง ๆ ที่พุ่งเข้ามาทั่วทุกทิศทางอย่างดุเดือดถูกกำจัดไม่เหลือชิ้นดี ไม่อาจแตะต้องแม้แต่เส้นผมของเขา
“ช่างน่าเกรงขาม!” ทุกคนหวาดกลัว จนในที่สุดก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำให้พวกเขาหยุด ซ้ำยังพุ่งเข้ามาอีกครั้งซึ่งนับว่ากล้าหาญพอควร ด้วยพวกเขาเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าตราบเท่าที่ยื้อเวลาชายหนุ่มเอาไว้อีกสักครู่ ผู้อาวุโสในนิกายก็จะมาถึงและจัดการกับเจ้าเด็กนี่ได้อย่างแน่นอน
ตุบ!
เฉินซีไม่ได้มองว่าอีกฝ่ายน่าเกรงขามแต่อย่างใด เขาบินถลาลงมาแล้วกระทืบพื้นอย่างรุนแรง!
แผ่นดินโดยรอบสั่นสะเทือนโดยพลัน เกิดรอยแตกมากมายตามสิ่งก่อสร้าง เศษอาคารจำนวนมหาศาลเริ่มตกลงมา ทุกที่ที่สายตามองเห็นจะพบว่ากว่าหนึ่งในสิบส่วนของสิ่งก่อสร้างในนิกายวายุม่วงทั้งหมดเริ่มพังทลายลงราวกับว่ากำลังประสบแผ่นดินไหวขั้นรุนแรง
ยิ่งไปกว่านั้น ควันหลงก็ยังแผ่ขยายออกไปอย่างต่อเนื่องทั่วทุกทิศทุกทาง รอยแตกขยายราวกับใยแมงมุม เปลี่ยนอาคารบ้านเรือนให้กลายเป็นซากปรักหักพัง
นิกายวายุม่วงในขณะนี้เต็มไปด้วยร่างที่วิ่งกรูออกมาขณะที่คำสบถอันเกรี้ยวกราดดังก้องจากทุกที่ เป็นฉากที่เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่านยิ่ง
“หากข้าไม่เห็นศิษย์พี่ชิงอวี่ภายในสามลมหายใจละก็ จงน้อมรับชะตากรรมซะ!” เมื่อเผชิญกับสถานการณ์น่าวิตกกังวลราวกับวันสิ้นโลกมาเยือน เฉินซีกลับไม่แยแสแต่อย่างใดพลางกล่าวตักเตือนทุกคนในนิกายวายุม่วงอีกครั้ง
ที่เขาลงมือก่อนหน้านี้ เฉินซีได้คิดไตร่ตรองเอาไว้แล้วว่า แม้ศิษย์พี่ชิงอวี่จะไม่ได้อยู่ในนิกายวายุม่วง ทว่าการหายตัวไปของเขาย่อมเกี่ยวข้องกับนิกายแห่งนี้อย่างแน่นอน
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก ลวี่ช่ง ผู้เป็นอันดับสามจากเจ็ดอสูรไก่ฟ้าทมิฬกล้าที่จะผยองในเมืองรอยจันทรา ทว่านิกายวายุม่วงกลับทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ ดังนั้นทั้งสองจึงต้องมีความสัมพันธ์อย่างลับ ๆ เป็นแน่!
แม้การปรากฏตัวของลวี่ช่งในครั้งนี้จะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ทว่าเทือกเขาเทพเจ้าไก่ฟ้าอยู่ไม่ไกลจากบริเวณรอบนอกของเมือง ดังนั้นนิกายวายุม่วงจะไม่ทราบได้อย่างไรว่ามีสัตว์ประหลาดกำลังนำหายนะมาสู่เมืองของพวกเขา?
ในเมื่อทั้งสองฝ่ายอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขมาจนถึงตอนนี้ พวกเขาย่อมต้องวางข้อตกลงกันเป็นการส่วนตัวอย่างแน่นอน หรืออาจจะสร้างพันธมิตรก็เป็นไปได้
ผนวกกับทุกอย่างที่ลวี่ช่งพูดไว้ก่อนที่จะล้มตาย มันจึงทำให้เฉินซีเชื่อมั่นว่าการหายตัวไปของชิงอวี่นั้นเกี่ยวข้องกับนิกายวายุม่วงอย่างแน่นอน!
ยิ่งกว่านั้น นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาโกรธเคืองอย่างมาก นิกายชั้นสองอันต่ำต้อยอาจกล้าที่จะกระทำต่อศิษย์แห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเยี่ยงนี้ นี่ไม่ต่างอะไรจากการถอนฟันออกจากปากเสือเลยแม้แต่น้อย!
เวลาสามลมหายใจ!
บรรดาศิษย์นิกายวายุม่วงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจสั่นเมื่อได้ยินคำเตือนจากเฉินซี พวกเขารุดฝีเท้าเพื่อส่งข่าวไปยังผู้อาวุโส เพราะหลังจากที่สัมผัสถึงความน่าสะพรึงในครั้งแรก พวกเขาก็ทราบแล้วปัญญานี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก แม้ศัตรูจะเป็นเพียงแค่ชายหนุ่ม แต่อีกฝ่ายก็อาจนำปัญหาใหญ่มาสู่นิกายก็เป็นได้
…
อู่จือฉงกำลังอยู่กับแขกในโถงลับ
โถงลับเป็นที่ที่ปลอดภัยและถูกซ่อนไว้อย่างดี เป็นสถานที่ซึ่งไม่ต้องกังวลว่าจะมีข่าวรั่วไหลออกไป หรือจะมีคนแอบได้ยิน
ทว่าเขากำลังขมวดคิ้วอย่างหนัก อารมณ์ค่อนข้างหม่นหมองก่อนจะกวาดสายตามองพรรคพวกอีกห้าคนที่ปกคลุมไปด้วยปราณอสูร แล้วจึงกล่าวด้วยความไม่พอใจ “หากไม่เป็นเพราะข้าปกป้องพวกเจ้าอย่างสุดหัวใจ เทือกเขาเทพเจ้าไก่ฟ้าคงจะไม่ล่มสลายไปแล้วหรือ?”
ถูกต้อง บุคคลทั้งห้าที่อยู่ตรงข้ามเขาคือห้าในเจ็ดอสูรไก่ฟ้าทมิฬ นอกจากพี่ใหญ่เจียวเหลียงกับพี่สามลวี่ช่งแล้ว พวกเขาทั้งหมดมารวมตัวกันที่นี่
“เหอะ! ไม่ใช่ว่าเป็นแค่ศิษย์คนหนึ่งในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองหรอกหรือ? ฉะนั้นถ้าพวกเราจะเขมือบเขาเล่า คงจะไม่เป็นปัญหาใช่หรือไม่?” พี่รองอิ่นสยงกล่าวอย่างไม่แยแส
“เขมือบ!?” อู่จือฉงเดือดดาล กัดฟันพลางกล่าว “หากเป็นแค่ศิษย์คนหนึ่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรองก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าทำงานให้ใคร? นิกายวิถีกระแสสวรรค์เชียวนะ! เจ้าเด็กนี่จะเป็นประโยชน์ต่อนิกายวิถีกระแสสวรรค์อย่างมาก แต่พวกเจ้ากลับคิดจะกินเขาเนี่ยนะ! พวกเจ้ามันโง่… โง่ดักดาน!”
นิกายวิถีกระแสสวรรค์!
อสูรทั้งห้าตนหรี่ตาลงเมื่อได้ยินเข้า เขาทราบว่าอู่จือฉงเป็นศิษย์ที่นิกายวิถีกระแสสวรรค์ทอดทิ้ง และหากสิ่งที่คนคนนี้กล่าวคือความจริง มันก็คงจะเป็นปัญหาพอสมควร
ด้วยหากนิกายวิถีกระแสสวรรค์ต้องการกำจัดพวกเขา เพียงปลายนิ้วก็ทำให้พวกเขาตายอย่างไร้ความปรานีได้
ทว่าเมื่อนึกถึงเรื่องที่พี่ใหญ่เจียวเหลียงกำลังจัดการอยู่ พวกเขาจึงไม่คิดสนใจเกี่ยวกับนิกายวิถีกระแสสวรรค์อีก และยักไหล่พร้อมกล่าว “ช่วยไม่ได้ เขาถูกกินไปแล้ว จะให้คายเศษเนื้อออกมาหรือ?”
“พวกเจ้า… ไอ้พวกเวร!” อู่จือฉงเกือบจะปะทุออกมาเพราะทราบดีว่าประเด็นนี้ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับนิกายวิถีกระแสสวรรค์เท่านั้น มันยังเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองอีกด้วย หากไม่จัดการให้ดี ก็คงจะไม่มีทางหนีพ้นภัยพิบัตินี้ไปได้!
“ท่านประมุขนิกายขอรับ สถานการณ์กำลังแย่! มีคนขู่ว่าหากพวกเราไม่ส่งตัวคนที่ชื่อว่าชิงอวี่ เขาจะบดขยี้นิกายวายุม่วงของพวกเราเป็นจุณ ศิษย์ของพวกเราในตอนนี้ไม่อาจยื้อได้อีกต่อไป…” ขณะนี้มีคลื่นเสียงดังกล่าวส่งเข้ามาที่โถงลับมาถึงหูของอู่จือฉง มันก็กลายเป็นดั่งอัสนีที่ผ่ากลางท้องฟ้าทำให้เขาสะดุ้งจนวิญญาณแทบออกจากร่าง
คนจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองมาถึงแล้ว!?