บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 597 แดนฮุ่นตุ้น
บทที่ 597 แดนฮุ่นตุ้น
ฟ่อ!
ประกายกระบี่ที่พุ่งเข้ามาจากทางด้านหลังของเสวียนเจิงอย่างกะทันหันนั้น เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่อ้างว้างและเงียบงันเหมือนหุบเหว กลิ่นอายที่ไม่ใช่การสร้างหรือการทำลาย ทั้งไม่มีชีวิตหรือตาย และมันทำให้ผู้เป็นเป้าหมายรู้สึกสิ้นหวัง ทำอะไรไม่ถูก ท้อแท้ หรือแม้แต่ไม่สบายใจ
มันน่าสะพรึงกลัวมาก!
การโจมตีด้วยกระบี่นี้ดูจะสามารถทำลายล้างทุกสิ่งได้ และทำให้พื้นที่ทั้งหมดของที่นี่กลายเป็นน้ำแข็งในทันทีราวกับว่ามันตกอยู่ในภาวะแห่งการทำลายล้างไปชั่วนิรันดร์
“หืม?” เสวียนเจิงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขาอย่างกะทันหัน และรู้สึกราวกับว่ามีภูเขาขนาดมหึมากำลังกดทับหัวใจของตนอยู่ ทำให้แม้แต่การหายใจก็ยังยากลำบาก
ฟิ้ว!
ท่ามกลางสถานการณ์เฉียดตาย เสวียนเจิงแทบจะหลบไปด้านข้างโดยสัญชาตญาณ แต่ก่อนที่เจ้าตัวจะทันได้หายใจ การจู่โจมจากมือยักษ์ก็สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาแล้ว!
มือขนาดมหึมาเป็นดั่งแม่น้ำจากโลกใต้พิภพที่ไหลเชี่ยว และพลังฝ่ามือที่ฟาดออกมานี้ก็พุ่งออกไประลอกแล้วระลอกเล่า และทุก ๆ ฝ่ามือที่ฟาดออกมาจะทรงพลังยิ่งกว่าครั้งก่อน อีกทั้งยังสว่างไสวและกดดันจิตวิญญาณของทุกคน
พลังฝ่ามือทับซ้อนกันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อีกทั้งยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมอย่างไม่มีหยุดยั้ง และชั้นฝ่ามือที่ทับซ้อนกันอยู่ก็ดูเหมือนจะก่อตัวเป็นทะเลฝ่ามือที่ถาโถมลงมาด้วยความตั้งใจที่จะกลืนกินทุกสิ่ง!
ช่างน่าทึ่ง นี่คือศาสตร์เต๋า… ฝ่ามือหมื่นคลื่นใต้พิภพ!
นี่คือการโจมตีของเฉินซี ในขณะที่เขาต้องการเปิดฉากการโจมตีอย่างฉับพลันพร้อมกับประกายแสงกระบี่ที่พุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ด้วยความตั้งใจที่จะฆ่าเสวียนเจิงในคราวเดียว!
อย่างไรก็ตาม เสวียนเจิงเป็นลูกหลานของสัตว์อสูรไก่ฟ้าทมิฬซึ่งไม่มีใครเทียบได้ นอกจากนี้เขายังมีสายเลือดบริสุทธิ์และบรรลุขอบเขตสถิตกายาแล้ว หากพวกเขาต้องสู้กัน มันจะเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงอย่างแน่นอน และเฉินซีก็กังวลว่าการต่อสู้ในครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อชิงอวี่ ดังนั้นเขาจึงพยายามกำจัดอสูรตนนี้ด้วยกำลังทั้งหมดที่มีให้เร็วที่สุด!
และประกายกระบี่นั้นก็เกิดขึ้นจากฝีมือของหลิงไป๋ ซึ่งเขาได้รับการบอกกล่าวผ่านกระแสปราณจากอีกฝ่ายทันทีที่เขาได้ก้าวเท้าเข้ามาในพื้นที่ใต้พื้นดินอันกว้างใหญ่ โดยหลิงไป๋นั้นได้ใช้เคล็ดวิชาซ่อนเร้นและซ่อนตัวอยู่ข้าง ๆ ชิงอวี่อยู่ตลอดเวลาด้วยตั้งใจรอโอกาสที่จะโจมตี
ซึ่งการมาถึงของเฉินซี ทำให้หลิงไป๋หยุดลังเลในทันที และหลังจากปรึกษาหารือกันสั้น ๆ พวกเขาพลันตัดสินใจที่จะดำเนินการร่วมกันเพื่อทำฆ่าเสวียนเจิง!
นี่จึงเป็นที่มาของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้
“สารเลว! ข้าจะกินพวกเจ้าทั้งคู่!” เมื่อมันเห็นว่าตนเองถูกบังคับให้อยู่ในสภาวะที่คับขันอย่างฉับพลัน สิ่งนี้ได้กระตุ้นสัญชาตญาณดุร้ายที่อยู่ภายในตัวของเสวียนเจิง จากนั้นเจ้าตัวก็ตะโกนออกมาด้วยเสียงที่น่ากลัว ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านและเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา ซึ่งมันได้พัฒนากลายเป็นโลกใบหนึ่ง
โลกนี้ช่างสดใสและร้อนระอุ มีภูเขา แม่น้ำ ดวงดาว พระอาทิตย์และพระจันทร์ ซึ่งทั้งหมดนั้นก็เต็มไปด้วยร่องรอยมากมายของมหาเต๋า ในขณะนี้ พวกมันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และพลังงานที่ลึกล้ำอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่ซ่านออกมาจากพวกมัน
ช่างน่าทึ่ง นี่คือพลังที่มีเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาเท่านั้นที่สามารถใช้ได้… แดนฮุ่นตุ้น!
สิ่งที่เรียกว่าฮุ่นตุ้นนั้น คือการสร้างเส้นทางภายในท้องทะเลแห่งลมปราณ และเป็นเหมือนสะพานที่นำไปสู่อีกโลกหนึ่ง
ดินแดนภายในฮุ่นตุ้นนั้นก่อตัวขึ้นจากการผสมผสานของปราณแท้กับมหาเต๋าอันลึกล้ำที่อยู่ภายในร่างกาย ซึ่งทุกสิ่งในโลกล้วนมีพลังงานอันลึกล้ำของโลก และยิ่งผู้บ่มเพาะเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเต๋ารู้แจ้งมากเท่าไร ขอบเขตของเต๋ารู้แจ้งเหล่านี้ก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ซึ่งแดนฮุ่นตุ้นก็จะยิ่งแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่มากขึ้นเช่นกัน
ว่ากันว่า เมื่อบ่มเพาะถึงขีดจำกัด การเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา มิติหรือสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ อาจก่อตัวขึ้นภายในแดนฮุ่นตุ้น ซึ่งเทียบได้กับโลกที่แท้จริงแล้ว!
เมื่อผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาใช้ศาสตร์เต๋า พลังต่อสู้ของพวกเขาก็จะทวีคูณอย่างมหาศาล และที่เป็นเช่นนี้ได้ก็เป็นเพราะแดนฮุ่นตุ้นของพวกเขา! ยิ่งแดนฮุ่นตุ้นแข็งแกร่งมากเท่าใด พลังต่อสู้ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น!!!!
สิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวในยุคบรรพกาลบางตนสามารถโจมตีด้วยพลังแข็งแกร่งกว่าเดิมหลายสิบเท่า หลังจากที่พวกมันได้บรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายาและมันก็น่ากลัวอย่างยิ่ง
เสวียนเจิงเป็นสัตว์อสูรไก่ฟ้าทมิฬสายเลือดบริสุทธิ์และได้บรรลุถึงขอบเขตสถิตกายา ดังนั้นทันทีที่ปลดปล่อยแดนฮุ่นตุ้นออกมา ร่างกายของเจ้าตัวก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งอำนาจขั้นสูง
ตู้ม!
เสวียนเจิงต้านทานการโจมตีด้วยฝ่ามือของเฉินซีโดยตรง ในขณะที่แดนฮุ่นตุ้นของเขาก็กวาดออกไปและปล่อยพลังหมุนที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งกลืนกินปราณกระบี่ที่หลิงไป๋แทงออกมา
เพียงแค่กระบวนท่าเดียว มันก็สามารถทำลายการโจมตีผสานของเฉินซีกับหลิงไป๋ได้!
“เป็นไปได้อย่างไรกัน? แม้แต่ศาสตร์เต๋าก็ไม่สามารถทำร้ายคนผู้นี้ได้แม้แต่น้อย?” ดวงตาของชายหนุ่มหรี่ลง เขาได้ตระหนักถึงความห่างชั้นระหว่างขอบขอบเขตจุติกับขอบเขตสถิตกายาอย่างลึกซึ้งแล้วในครานี้
โดยเฉพาะพลังที่สร้างขึ้นจากแดนฮุ่นตุ้นนั้นจะแข็งแกร่งเป็นพิเศษ และทำให้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังต่อสู้กับโลกทั้งใบอยู่เพียงลำพัง
“ฮึ่ม! เจ้าสามารถพิชิตข้ามขอบเขตเพื่อเอาชนะศัตรูได้จริง ๆ หรือ? แต่ต่อให้เจ้าเชี่ยวชาญในศาสตร์เต๋า มันก็ไร้ประโยชน์สำหรับข้า เพราะข้าได้เชี่ยวชาญมหาเต๋าแห่งวารีจนถ่องแท้แล้ว อีกทั้งข้ายังเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหยินน้ำแข็งทมิฬ ซึ่งเป็นศาสตร์เต๋าโดยกำเนิดของเผ่าไก่ฟ้าทมิฬ และข้าสามารถดึงพลังต่อสู้ออกมาได้ถึงสองเท่า ดังนั้นเจ้าจะต่อกรกับข้าได้อย่างไร?” เสวียนเจิงระเบิดเสียงหัวเราะซึ่งแฝงไปด้วยความรู้สึกพึงพอใจระคนหยิ่งยโสออกมา
“เฉินซี แม้ว่ามันจะมีการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตสถิตกายา แต่สัตว์อสูรตัวนี้ก็นับเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับแนวหน้า และผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาทั่วไปไม่สามารถเทียบได้เลย แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น การฆ่ามันยังง่ายดายเหมือนการปัดฝุ่นสำหรับข้าอยู่ดี!” ร่างที่สูงเพียงสี่ชุ่นของหลิงไป๋ปรากฏขึ้นในอากาศพร้อมกับเสียงดังฟิ้ว เขายืนอยู่ตรงหน้าของเฉินซีและกล่าวอย่างเร่งรีบว่า ”เจ้าคอยเฝ้าระวังบริเวณโดยรอบเอาไว้ โดยเฉพาะสระเปลวเพลิงนั้น ที่เหลือปล่อยให้ข้าจัดการเอง!”
“เจ้า… แน่ใจแล้วหรือ?” ชายหนุ่มลังเล
“เฉินซี ข้าเกลียดที่สุดเมื่อคนอื่นสงสัยในความสามารถของข้า โดยเฉพาะเมื่อเป็นเจ้า!” ใบหน้าของหลิงไป๋มืดมนลงและจ้องมองอีกฝ่ายอย่างแข็งกร้าว
“หืม? เจ้าตัวเล็กนี้คือสิ่งใดกัน? หรือว่าเจ้าเป็นคนของเผ่าภูตแคระ? เผ่านั้นเกือบจะสูญพันธุ์แล้วมิใช่หรือ?” ในขณะเดียวกัน เสวียนเจิงก็ดูเหมือนจะสังเกตเห็นหลิงไป๋เช่นกัน และอีกฝ่ายก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความประหลาดใจ หลังจากที่เห็นหลิงไป๋ที่สูงเพียงสี่ชุ่น
“มารดามันเถอะ เจ้ากล่าววาจาผายลมถึงสิ่งใดกัน? ไปตายซะ!” หลิงไป๋ปล่อยจิตสังหารออกมา จากนั้นเขาก็ร่ายมนตร์ที่คลุมเครือและลึกล้ำออกมา “ความไม่เที่ยงของสวรรค์คือภัยพิบัติ ความไม่เที่ยงของโลกาคือหายนะ ปราศจากความหวาดกลัวคือนิพพาน และด้วยความหวาดกลัวก็จะไร้ชีวิต…”
พร้อมกับเสียงของหลิงไป๋ จู่ ๆ พลังงานที่น่าสะพรึงกลัวก็เพิ่มขึ้นจากทุกทิศทุกทางและรวมเข้ากับร่างของเขา จากนั้นร่างกายของเขาก็เริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่กลิ่นอายบนร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
ภายในชั่วพริบตา หลิงไป๋ก็กลายร่างเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาที่ไม่มีใครเทียบได้ มีลักษณะเย็นชาและท่าทางดุร้ายอย่างไร้ที่เปรียบ ดวงตาคู่นั้นดูลึกล้ำและอ้างว้างราวกับเหวลึก ซึ่งร่างกายของเขาก็เปล่งรัศมีแห่งนิพพานที่ไร้ความปรานีออกมา
“หืม? หรือว่านี่มันเต๋ารู้แจ้งแห่งการนิพพาน…” ในขณะที่เสวียนเจิงจ้องมองไปยังดวงตาที่อ้างว้างเหมือนเหวลึกของหลิงไป๋ และสัมผัสได้ถึงรัศมีแห่งการนิพพานที่พลุ่งพล่านอยู่บนร่างของอีกฝ่าย ม่านตาของเสวียนเจิงก็หดลงทันที ในขณะที่ความหวาดกลัวได้ฉายผ่านดวงตาของเขา
จากนั้นเสวียนเจิงก็โจมตีด้วยพลังทั้งหมดโดยไม่ลังเล และเพียงชั่วอึดลมหายใจ แดนฮุ่นตุ้นที่อยู่รอบตัวก็ได้ขยายออก ก่อนที่จะปล่อยพลังงานอันลึกล้ำและน่าสะพรึงกลัว… ถาโถมเข้าใส่หลิงไป๋โดยตรง!
“ปราศจากหายนะ ก็ไม่มีภัยพิบัติ ไม่มีทั้งชีวิตและความตาย!” ในขณะนี้ หลิงไป๋ตะโกนดังสนั่นดุจเสียงฟ้าร้อง ในขณะที่ฝ่ามือของเขาก็ประกบเข้าหากัน ทำให้ทุกสิ่งในพื้นที่กว้างใหญ่แห่งนี้ดูจะถูกดูดออกไปและมิติก็พังทลายลงทีละนิด จากนั้นกระบี่ยักษ์สีเทาโปร่งแสงที่ดูน่าสะพรึงกลัวก็ควบแน่นอยู่ที่กลางอากาศ
กระบี่เล่มนี้พลุ่งพล่านด้วยปราณกระบี่นิพพานและส่องประกายวาววับที่ไม่ใช่สีดำหรือสีขาว จากนั้นมันก็ฟันลงมาอย่างดุเดือด!
ครืนนน!
ปราณกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวนี้ได้ฟาดฟันลงมา ทำให้มิติทั้งหมดระเบิดออกพร้อมกับเสียงอื้ออึงที่เสียดแก้วหู และระลอกคลื่นที่แห้งแล้งก็แผ่ขยายออกไปโดยรอบ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ชายหนุ่มก็นึกถึงสิ่งที่หลิงไป๋บอกเขาก่อนหน้านี้ทันที จากนั้นเขาพลันทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าทันทีเพื่อคว้าตัวชิงอวี่ ก่อนจะมาถึงด้านบนของสระเปลวเพลิง จากนั้นก็กวาดมืออยู่ที่กลางอากาศ ทำให้ม่านแสงดอกบัวสีม่วงปรากฏขึ้น และมันปกคลุมสระเปลวเพลิงไปพร้อมกับตัวเขา
ม่านพลังนี้ดูคล้ายกับศาสตร์เต๋า และมันถูกเรียกว่าม่านพลังเงาทองดอกบัวม่วง มันเป็นศาสตร์เต๋าที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเทียบได้กับพลังอิทธิฤทธิ์ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันของเผ่าเต่าดำ เมื่อบ่มเพาะสู่ขั้นสูงสุด แม้แต่การพังทลายของดวงดาว พระอาทิตย์ หรือการพังทลายของโลก ก็ไม่อาจสั่นคลอนการป้องกันของม่านพลังนี้ได้แม้แต่น้อย
ตู้ม!
เมื่อเฉินซีเพิ่งใช้กระบวนท่าเสร็จสิ้น ปราณกระบี่ยักษ์และน่าสะพรึงกลัวที่อยู่ไกลออกไป พลันพุ่งเข้าใส่แดนฮุ่นตุ้นของเสวียนเจิง ทำให้มันพังทลายลงทีละนิดเช่นเดียวกับภูมิทัศน์ภายในนั้นที่กำลังพังทลายและแผ่กระจายอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่มันจะกลายเป็นกระแสพลังชีวิตซึ่งกระจัดกระจายไป
ในทางกลับกัน เสวียนเจิงถูกโจมตีจนกระอักเลือดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขากำลังจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาที่เบิกโพลง ซึ่งเผยให้เห็นความไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
“สิ่งนี้เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
“ข้าเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาที่เชี่ยวชาญมหาเต๋าแห่งวารีจนถ่องแท้ และข้ายังเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาหยินน้ำแข็งทมิฬ ทำให้ข้าสามารถใช้พลังต่อสู้ได้มากกว่าเดิมถึงสองเท่า! แต่ข้ากลับไม่สามารถต้านทานการโจมตีด้วยกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามได้แม้แต่ครั้งเดียว?”
“เป็นไปไม่ได้!” เสวียนเจิงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ดวงตาของเจ้าตัวแทบจะถลนออกมา จากนั้นเขาก็เร่งใช้พลังทั้งหมดภายในร่างกายเพื่อฟื้นฟูแดนฮุ่นตุ้นที่ได้รับความเสียหายให้กลับคืนสู่ความสมบูรณ์อย่างไม่หยุดยั้ง
แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร ภายใต้ปราณกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวสายนี้ แดนฮุ่นตุ้นที่กำลังฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องของเสวียนเจิง ก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก มันพังทลายลงทีละนิด และใกล้จะสลายสิ้น
“หึ เจ้าไม่ตายตอนนี้แล้วจะตายตอนไหน!?” หลิงไป๋ตะโกนเสียงดัง
ตู้ม!
เสียงระเบิดที่เขย่าสวรรค์ดังก้องออกมา ส่งปราณกระบี่อันพลุ่งพล่านด้วยพลังงานอย่างรุนแรงให้ผ่าแดนฮุ่นตุ้นออกจากกันโดยตรง จากนั้นมันก็ไม่สูญเสียแรงเคลื่อนตัว และได้บดขยี้ใส่เสวียนเจิงในที่สุด!!!
พื้นที่โดยรอบในขณะนั้นก็เต็มไปด้วยปราณกระบี่อันบ้าคลั่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันเปล่งแสงเจิดจ้าระยิบระยับ ทำให้ผนังถ้ำในบริเวณโดยรอบสั่นสะเทือนและพังทลาย ขณะที่พื้นดินก็แตกออกจากกันเหมือนใยแมงมุมและเกิดเสียงโครมครามครั้งใหญ่ …กลายเป็นความโกลาหลอย่างสมบูรณ์!
หากมีใครมองที่นี่ลงมาจากฟากฟ้า ก็จะเห็นได้ว่าเทือกเขาเทพเจ้าไก่ฟ้าทั้งหมดดูเหมือนจะถูกโจมตีอย่างรุนแรงจนพังทลายลง ซึ่งพื้นดินในระยะพันลี้ก็แตกออกโดยตรงพร้อมกับเกิดรอยแยกมากมาย จนมันดูเหมือนกับเหวลึกที่ถูกอุกกาบาตกระแทกใส่จนเปิดออก และทำให้สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่โดยรอบตื่นกลัวจนตัวสั่นสะท้าน
ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ทุกสิ่งได้หวนคืนสู่ความสงบ ควันและฝุ่นผงล้วนสลายหายไป
สถานที่ที่เคยเป็นเทือกเขาเทพเจ้าไก่ฟ้าได้เปลี่ยนเป็นซากปรักหักพังที่ปกคลุมไปด้วยความรกร้าง ในขณะที่สระเปลวเพลิงที่อยู่ในถ้ำใต้ดินนั้นกลับไม่ได้รับอันตรายใด ๆ ส่วนสถานที่อื่น ๆ กลับได้รับความเสียหายอย่างหนัก
“อีกฝ่ายตายแล้วหรือ?” เฉินซีถอนศาสตร์เต๋าของเขาออกและกวาดสายตามองโดยรอบด้วยความตกตะลึง
“แน่นอน!” หลิงไป๋ได้หวนคืนสู่ร่างที่สูงเพียงสี่ชุ่นของเขาแล้ว และร่อนลงมาบนไหล่ของเฉินซี พร้อมกับหอบหายใจอย่างหนักหน่วง ใบหน้าเล็กที่หล่อเหลาของเขาซีดลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าการโจมตีก่อนหน้านี้ ทำให้เจ้าตัวสูญเสียพลังไปมากมายมหาศาล
“เสวียนเจิงตายแล้ว แล้วสมบัติที่เขากำลังหลอมเล่า…?” เฉินซีพูดด้วยความเสียใจเล็กน้อย
“มันอยู่ในสระเปลวเพลิงวารีทมิฬ” หลิงไป๋ขัดจังหวะชายหนุ่มโดยตรง และยกมือขึ้นชี้ไปที่สระเปลวเพลิงข้างใต้พวกเขา “เหตุผลที่ไอ้สารเลวนี่จับตัวชิงอวี่ ก็เพราะมันต้องการใช้เลือดในร่างกายเขา เพื่อขัดเกลาปีกของวิหคเพลิงนภาที่มันได้มาจากที่ไหนสักแห่ง”
“ปีกของวิหคเพลิงนภาหรือ?” เฉินซีตกตะลึง และจู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่า ปีกของวิหคเพลิงนภานั้นเป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักของพัดเทพอัคคีที่เขาต้องการขัดเกลา!
“หรือว่ามันคงไม่ได้ตั้งใจที่จะขัดเกลาพัดเทพอัคคีใช่หรือไม่?” ชายหนุ่มพึมพำและรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย จากนั้นสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่สระเปลวเพลิงที่อยู่ใต้เท้าอย่างแน่วแน่
หินหลอมเหลวพุ่งขึ้นมาจากภายในสระเปลวเพลิง และมันกำลังเดือดพร้อมกับเปล่งกลิ่นอายที่เย็นไปถึงกระดูกออกมาแทน ยิ่งกว่านั้นยังมีร่องรอยของเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าที่ไหลวนอยู่ภายในสระ ทำให้มันดูลึกลับเป็นอย่างยิ่ง