บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 601 รับภารกิจ
บทที่ 601 รับภารกิจ
แผ่นหยกที่ไป๋กังนำมาให้คือแผ่นหยกกระแสจิต ทันทีที่เปิดใช้งาน เสียงที่อ่อนโยนและชัดเจนก็ดังขึ้น ทำให้เฉินซีสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยที่ห่างหายไปนาน เพราะนั่นคือเสียงของไป๋หว่านฉิง
“เฉินซี เมื่อเจ้าได้รับแผ่นหยกนี้แล้ว ย่อมหมายความว่าเจ้าได้เข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬแล้วอย่างแน่นอน เดิมทีข้าตั้งใจจะไปพบกับเจ้า แต่น่าเสียดายเนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ดูเหมือนชะตาของเราจะลิขิตให้ไม่ได้พบกัน ดังนั้นเราคงไม่สามารถพบกันได้ในตอนนี้…”
“แต่เจ้าอย่าได้กังวล ตัวข้านั้นสุขสบายดี และจะกลับไปพบเจ้าอย่างแน่นอน ซึ่งอย่างเร็วที่สุดก็ภายในสามปีหรืออย่างช้าที่สุดก็ห้าปี ในช่วงเวลานี้ เจ้าควรบ่มเพาะได้อย่างสบายใจ ข้าสบายใจมากที่ผู้อาวุโสหลิ่วเจี้ยนเหิงได้ดูแลเจ้า”
“แต่โปรดจำเอาไว้ว่า แดนภวังค์ทมิฬนั้นแตกต่างจากราชวงศ์ซ่ง มันมีนิกายมากมายเหมือนต้นไม้ในป่าใหญ่และยังกว้างใหญ่ไพศาลอย่างไร้ขอบเขต เนื่องจากเจ้ามาที่แดนภวังค์ทมิฬเพียงลำพัง เจ้าจึงต้องระมัดระวังตัวและอย่าผลีผลามไปเสี่ยงอันตราย”
“ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลเกี่ยวกับที่อยู่ของบุพการีเจ้า แต่ทั้งหมดที่ข้าสามารถบอกเจ้าได้ตอนนี้ก็คือ บิดาของเจ้า เฉินหลิงจวินยังมีชีวิตอยู่และสุขสบายดี ในขณะที่มารดาของเจ้า จั่วชิวเสวี่ยก็สบายดีเช่นกัน…”
น้ำเสียงปรากฏความกดดันเล็กน้อยและดูเหมือนว่าจะบันทึกไว้อย่างเร่งรีบ จากนั้นเสียงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยในเวลาไม่กี่อึดใจ และแผ่นหยกนี้ก็ได้แตกสลายเป็นผุยผงทันทีเช่นกัน
เฉินซีถึงกับตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่า แท้จริงแล้ว วิปลาสหลิ่วนั้นชื่อว่าหลิ่วเจี้ยนเหิง
และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่าบิดาของเขานั้นมีชื่อว่าเฉินหลิงจวิน!
ถึงแม้คนอื่นอาจจะคิดว่ามันไร้สาระมาก แต่มันคือความจริง เพราะตั้งแต่เฉินซียังเด็ก ท่านปู่ของเขาไม่เคยเอ่ยชื่อบิดาของเขาเลย และทุกครั้งที่ถาม สีหน้าของอีกฝ่ายจะมืดมนลงทันที ก่อนที่จะลุกเป็นไฟและดุด่าเขาอย่างดุเดือด
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ชื่อบิดาของเฉินซีนั้นเป็นเหมือนกับสิ่งต้องห้ามในช่วงตลอดชีวิตที่ผ่านมา ไม่มีใครรู้และเขาไม่เคยกล้าถามเกี่ยวกับเรื่องนี้
ดังนั้นทันทีที่ได้รู้ชื่อบิดาในตอนนี้ คลื่นลูกใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้น เสียใจ และไม่คุ้นเคยก็พลันเกิดขึ้นในใจของเฉินซี
“เฉินหลิงจวิน…เฉินหลิงจวิน…” เฉินซีพึมพำและดูเหมือนกำลังรำลึกถึงความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับบิดาของเขาจากชื่อนี้ แต่แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่า ตนเองไม่มีความประทับใจใด ๆ ต่อบิดาผู้นี้เลย
“รูปลักษณ์ของบิดา นิสัยของบิดา… ข้าไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง!”
“ตราบใดที่ท่านยังมีชีวิตอยู่และสุขสบายดี เมื่อข้าได้พบกับท่าน ข้าจะถามเจ้าด้วยตัวเองว่า เหตุใดทำไมท่านถึงทิ้งข้าและเฉินฮ่าวไป ทำไมถึงไม่สนใจชะตากรรมของท่านปู่เลย? ทำไม…” ในใจของเฉินซีมีแต่คำว่า ‘ทำไม’ เต็มไปหมด แต่เขาเองก็รู้ดีว่า จะต้องเห็นหน้าบิดาด้วยสองตาของเขาเท่านั้น จึงจะสามารถหาคำตอบของเรื่องทั้งหมดนี้ได้
ในไม่ช้า เฉินซีได้ระงับความรู้สึกที่พลุกพล่านในใจ ก่อนจะหันกลับมายังที่พักของตน
แผ่นหยกที่ไป๋หว่านฉิงทิ้งไว้ ทำให้เห็นสิ่งหนึ่งได้ชัดเจนคือนางไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องออกจากตระกูลไป๋ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่อาจคัดค้านได้
ถ้าเฉินซีต้องการพบนาง เขาต้องรออีกสามถึงห้าปีนับจากนี้
แต่ตอนนี้เขาก็รู้สึกพอใจอย่างมากแล้ว เพราะอย่างน้อยเขาก็ได้รู้ว่า บุพการีของตนเองยังมีชีวิตอยู่ และมันทำให้เขามีความมั่นใจขึ้นอีกครั้ง ด้วยตราบเท่าที่เขาทุ่มเทบ่มเพาะและยังคงเดินอยู่บนเส้นทางนี้ สักวันหนึ่งเขาจะได้พบกับพวกเขาอีกครั้ง!
…
“หือ!”
หลังจากที่เขากลับมายังบ้านไม้ และก่อนจะได้พักผ่อนสักครู่ เขาก็รู้สึกว่าแก่นโลหิตในร่างกายของตนนั้นเดือดพล่าน ในขณะที่ชายหนุ่มมีความรู้สึกแผ่วเบาว่ากำลังจะทะลวงผ่านพันธนาการและบรรลุ! ทำให้เขาต้องรีบสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะนั่งขัดสมาธิและควบคุมการหายใจของตน
เฉินซีนั้นตระหนักได้อย่างดีว่า เพราะเขาได้เข้าสู่สภาวะของการรู้แจ้งเต๋าในระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ร่างกายของเขาจึงดูดซับปราณวิญญาณเข้าไปเป็นจำนวนมหาศาล ในขณะที่จิตวิญญาณ แก่นแท้ และพลังของเขาก็ได้บรรลุถึงระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำให้ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เฉินซีจะรู้สึกยินดี จู่ ๆ เขาก็สังเกตเห็นว่า หลังจากที่ควบคุมพลังชีวิตในร่างกายทั้งหมดได้แล้ว ความรู้สึกที่เกือบจะทะลวงได้ก็หายไปในทันที
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเวลาที่จะบรรลุยังมาไม่ถึง…?”
เฉินซีขมวดคิ้วแน่น เขารู้สึกว่าการบรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายานี้เป็นเรื่องยากเกินไป แม้ว่าจะไม่มีทัณฑ์สวรรค์เกิดขึ้น แต่มันก็นับเป็นอุปสรรคที่ยากที่สุดในการพิชิต นับตั้งแต่ได้เริ่มบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้
ขอบเขตสถิตกายาคือการทะลวงพันธนาการของร่างกายและเปิดแดนฮุ่นตุ้นในร่าง ซึ่งเป็นขอบเขตที่เปลี่ยนกงล้อสังสารวัฏให้กลายเป็นโลกใบหนึ่ง ในเวลานั้น แก่นพลังชีวิต พลังงานในร่างกาย จิตใจ ดวงวิญญาณของผู้บ่มเพาะ… จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬาร
ทุกการเคลื่อนไหวที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาได้กระทำนั้น สามารถปรับให้สอดคล้องและหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลก ก่อนที่จะปะทุด้วยศักยภาพที่ไร้ขอบเขตและความแข็งแกร่งในการต่อสู้
ในทำนองเดียวกัน นี่เป็นอุปสรรคที่เอาชนะได้ยาก ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ในโลกถูกหยุดที่กำแพงนี้ และพวกเขาต่างเสียชีวิตไปพร้อมกับความเกลียดชังที่อยู่ในใจ เนื่องจากอายุขัยของพวกเขาหมดลง
แม้ว่าจะอยู่ในแดนภวังค์ทมิฬ แต่การมีอยู่ของผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาก็สามารถกล่าวได้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ ผู้บ่มเพาะที่บรรลุขอบเขตนี้มักจะได้รับการกล่าวขานด้วยความเคารพว่าเป็นผู้บ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่!
คำว่า ‘ยิ่งใหญ่’ แสดงให้เห็นถึงความสูงส่งและพลังอำนาจ ซึ่งเป็นตัวของขอบเขตสถิตกายา
“ช่างมันเถิด ในเมื่อมันยังไม่ถึงเวลา การยืนกรานก็มีแต่จะทำให้ข้าต้องกังวลมากขึ้นโดยเปล่าประโยชน์ ข้าจะปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามโชคชะตา..” ในเวลาไม่นาน เฉินซีก็ฟื้นคืนสติและเริ่มบ่มเพาะ
การต่อสู้กับไป๋กังทำให้เขาได้รับผลประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะความเข้าใจและการใช้ประโยชน์จากศาสตร์เต๋า ซึ่งทำให้เขาเข้าใจความแข็งแกร่งของศาสตร์เต๋าอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ศาสตร์เต๋าเป็นศาสตร์และศิลป์แห่ง ‘เต๋า’ ยิ่งบ่มเพาะมันมากเท่าไร คนผู้นั้นก็ยิ่งสามารถชื่นชมพลังและความลึกซึ้งของมันได้มากขึ้นเท่านั้น
แม้ว่าความรู้เกี่ยวกับศาสตร์เต๋าของเขาในตอนนี้ก็เป็นเพียงพื้นฐานเท่านั้น และยังไม่ได้บรรลุถึงสถานะที่สมบูรณ์แบบ แต่ชายหนุ่มก็สามารถผ่านเกณฑ์ของมันได้ในที่สุด ตราบเท่าที่ไตร่ตรองและทำความเข้าใจมันอย่างช้า ๆ เขาจะสามารถบรรลุความสมบูรณ์แบบได้ในที่สุด
…
รุ่งอรุณของวันต่อมา เฉินซีเพิ่งตื่นจากการทำสมาธิ จากนั้นเขาก็ออกจากยอดเขาจรัสตะวันตกและมุ่งหน้าไปยังโถงภารกิจสวรรค์ที่อยู่บนยอดเขาจรัสสสาร
โถงภารกิจสวรรค์เป็นสถานที่รับภารกิจ และเขาต้องการรับช่วงต่อแทนชิงอวี่ เพื่อทำภารกิจทั้งหมดที่ยอดเขาจรัสตะวันตกได้ติดค้างอยู่
ฟิ้ว!
ในเวลาไม่นาน เฉินซีก็มาถึงยอดเขาจรัสสสาร และเขาอาศัยตราคำสั่ง ‘ศิษย์ชั้นสูง’ เพื่อผ่านข้อจำกัดนับไม่ถ้วนของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง และมาถึงภายในโถงภารกิจสวรรค์
ภายในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองมีข้อจำกัดมากมายที่ซ่อนอยู่ในอากาศ ซึ่งหากเป็นคนที่ไม่ได้มาจากนิกาย แม้แต่เซียนสวรรค์ก็ยังมิอาจก้าวเข้าสู่นิกายแม้แต่ก้าวเดียว และถ้าคนผู้นั้นไม่ได้มาจากนิกาย อีกทั้งยังถูกข้อจำกัดตรวจพบ คนผู้นั้นก็จะถูกจำกัดโดยตรง
นี่คือความลับของการเป็นหนึ่งในสิบนิกายอันยิ่งใหญ่ของแดนภวังค์ทมิฬ ยกตัวอย่างเช่น ไม่มีทางที่คนนอกจะแอบเข้ามาในกองกำลังที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ได้ หรือต่อให้กลุ่มของเซียนสวรรค์จะโจมตี แต่มันก็จะไร้ประโยชน์
ในขณะนี้ มีศิษย์มากกว่าร้อยคนมารวมตัวกันภายในโถงภารกิจสวรรค์ซึ่งมีกลิ่นอายอันโอ่อ่า ยิ่งกว่านั้นยังมีศิษย์ที่วิ่งเข้ามาเป็นระยะ ๆ ทำให้มันดูคึกคักเป็นอย่างมาก
เมื่อก้าวเข้าไปในห้องโถง เขาก็เห็นว่าห้องโถงนั้นกว้างใหญ่มาก และมีศิษย์เพียงหนึ่งร้อยคนที่ยืนอยู่ภายในนั้น ซึ่งไม่ได้โดดเด่นเลยแม้แต่น้อย
เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะมุ่งตรงไปยังภายในห้องโถง
มีศิษย์คนหนึ่งของโถงภารกิจสวรรค์อยู่ที่นั่น และพวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบในการมอบภารกิจทั้งหมด
ที่ด้านหน้าโต๊ะใหญ่จะมีศิษย์ในชุดขาวสองสามคนนั่งอยู่ที่นั่น และพวกเขากำลังจัดกองตราภารกิจบนโต๊ะ ศิษย์คนหนึ่งได้ยินเสียงฝีเท้า จึงถามโดยไม่เงยหน้าขึ้น “เจ้าต้องการรับส่งภารกิจประเภทใด”
“ภารกิจทดสอบ” เฉินซีตอบ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าภารกิจของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองนั้นแบ่งออกเป็นสองประเภท หนึ่งคือภารกิจทดสอบที่ศิษย์ต้องทำให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด
อีกประเภทหนึ่งคือภารกิจรางวัล ใครก็ตามที่รับมันและสามารถทำสำเร็จ ก็จะสามารถรับรางวัลที่สมน้ำสมเนื้อกัน
หากเป็นสถานการณ์ปกติ ภารกิจทดสอบจะถูกแจกจ่ายจากโถงภารกิจสวรรค์ให้แก่เหล่าศิษย์จากยอดเขาต่าง ๆ โดยตรง และน้อยครั้งที่เหล่าศิษย์จะมาที่โถงภารกิจสวรรค์และเพื่อรับภารกิจทดสอบ
เนื่องจากความยากของภารกิจทดสอบนั้นไม่สูงนัก นอกจากผลประโยชน์พื้นฐานและทรัพยากรของนิกายแล้ว ก็ไม่มีรางวัลอื่นอีก
แต่ภารกิจรางวัลนั้นกลับแตกต่างกัน พวกเขาแบ่งรายละเอียดออกเป็นเก้าระดับตามความยากง่ายที่แตกต่างกันไป ระดับหนึ่งคือต่ำที่สุดและระดับเก้าคือสูงที่สุด ด้วยวิธีนี้ รางวัลจะแบ่งออกเป็นเก้าระดับ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นภารกิจรางวัลระดับที่หนึ่ง แต่รางวัลที่ได้รับก็เหนือกว่าภารกิจทดสอบถึงสิบเท่า ดังนั้นคนส่วนใหญ่ที่มารับภารกิจที่โถงภารกิจสวรรค์ จึงเลือกภารกิจรางวัล
แม้ว่าคนที่เลือกภารกิจทดสอบเช่นเฉินซี จะไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในล้าน แต่ก็ยังหายาก
“ภารกิจทดสอบหรือ?” แน่นอนว่าศิษย์ที่อยู่หลังโต๊ะอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงหลังจากที่ได้ยินสิ่งนี้ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าคนตรงหน้าคือเฉินซี เขาก็เข้าใจทุกสิ่งและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าคือศิษย์น้องเฉินซีจากยอดเขาจรัสตะวันตกใช่หรือไม่? ภารกิจของศิษย์น้องชิงอวี่เมื่อวันก่อนเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ?”
“เรียบร้อยแล้วขอรับ” ขณะที่กล่าว เฉินซีก็พลิกฝ่ามือ ทำให้แผ่นหยกเงาปรากฏขึ้นก่อนที่เขาจะมอบมันออกไป ภายในแผ่นหยกเงาเป็นฉากที่ชายหนุ่มสังหารอสูรไก่ฟ้าทมิฬทั้งเจ็ด และไม่มีทางที่จะปลอมแปลงมันได้
“อืม ใช่แล้ว อสูรไก่ฟ้าทมิฬทั้งเจ็ดถูกทำลายล้างแล้ว” ศิษย์คนนั้นมองผ่านแผ่นหยกและยืนยันว่าถูกต้องก่อนที่เจ้าตัวจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แล้วคราวนี้เจ้าต้องการรับภารกิจแบบใด ศิษย์น้องเฉินซี”
ขณะที่กล่าว เขาก็ขยับนิ้วอย่างสบาย ๆ ทำให้ตราภารกิจเกือบร้อยแผ่นปรากฏขึ้นบนโต๊ะทันที ซึ่งทั้งหมดนี้คือภารกิจทดสอบที่ยอดเขาจรัสตะวันตกที่ยังค้างคาอยู่ในช่วงหลายที่ผ่านมา และพวกมันกองรวมกันเป็นเนินเขาเล็ก ๆ อยู่บนโต๊ะ
“เอาทั้งหมดนี้มาให้ข้า” เฉินซีจ้องมองตราภารกิจทดสอบก่อนจะกล่าวอย่างใจเย็น
“เจ้าว่าอย่างไรนะ? ทั้งหมดนี่เลยหรือ!?” ศิษย์ทุกคนที่อยู่หลังโต๊ะเงยหน้าขึ้นและดูจะไม่เชื่อหูของตัวเอง แม้ว่าความยากของภารกิจทดสอบจะไม่สูงนัก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้าได้ หากทำภารกิจนับร้อยในคราวเดียว
เพราะภารกิจทดสอบเหล่านี้ไม่เพียงแต่ครอบคลุมถึงการกวาดล้างผู้บ่มเพาะที่ชั่วร้ายเท่านั้น แต่ยังมีงานมอบหมายให้ค้นหาสมบัติ คุ้มกันสินค้า รวบรวมวัตถุและอื่น ๆ อีกมากมาย พวกมันได้รวมสิ่งแปลก ๆ ทุกประเภทไว้ด้วยกัน และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำเสร็จด้วยตัวคนเดียว
นอกจากนี้ เหล่าศิษย์ของโถงภารกิจสวรรค์ต่างก็รู้ว่า กำหนดส่งมอบภารกิจทดสอบทั้งหมดที่ยอดเขาจรัสตะวันตกยังค้างคาอยู่นั้นคือหนึ่งเดือนเท่านั้น หรือว่าเฉินซีจะทำภารกิจนับร้อยให้สำเร็จภายในเวลาสั้น ๆ ได้?
“ศิษย์น้องเฉินซี เจ้าจำเป็นต้องรู้ว่า เมื่อรับภารกิจทั้งหมดนี้แล้ว หากไม่สามารถดำเนินการให้เสร็จเรียบร้อยภายในระยะเวลาที่กำหนด เจ้าจะต้องทุกข์ทรมานกับการลงโทษของนิกาย และอาจถึงขั้นถูกจำคุก” ใครบางคนอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง” เฉินซียิ้มและสะบัดแขนเสื้อ เขาหยิบตราภารกิจทดสอบทั้งหมดบนโต๊ะ ก่อนจะหมุนตัวออกจากโถงภารกิจสวรรค์ไป
“หรือว่าชายคนนี้ไม่รู้ว่าการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสกำลังจะเริ่มในอีกไม่ถึงสองเดือน? เขาไม่ได้บ่มเพาะอย่างเข้มข้น แต่กลับต้องการที่จะทำภารกิจทดสอบให้เสร็จ? เขาไม่ละทิ้งอนาคตของตนเองไปหน่อยหรือ?”
“แล้วอยากให้เขาทำอะไรล่ะ? ผู้อาวุโสโม่อวี้ได้ออกคำสั่งแล้วว่าศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันตกจะถูกลงโทษ หากพวกเขาไม่สามารถทำภารกิจทดสอบทั้งหมดที่ได้รับมอบหมาย และเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า นอกจากเฉินซีที่เพิ่งเข้ามาในนิกายแล้ว ศิษย์คนอื่น ๆ จากยอดเขาจรัสตะวันตกก็ไม่ควรกล่าวถึง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ให้สำเร็จได้”
“ต่อให้เจ้ากล่าวเช่นนี้ แต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเฉินซี”
“ลืมมันไปเถอะ อย่ากล่าวถึงเรื่องนี้ในตอนนี้ ข้ากังวลแทนว่า การที่เฉินซีต้องการทำภารกิจทดสอบเหล่านี้ให้เสร็จภายในหนึ่งเดือนนั้น ความหวังของมันนั้นน้อยมาก…”
“เฮ้อ ก็ตามนั้นแล หากเขาไม่สามารถทำมันให้สำเร็จได้ เขาอาจจะไม่สามารถเข้าร่วมในการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสที่กำลังจะมาถึง เพราะหากเจ้าตัวถูกลงโทษแล้ว เขาอาจถูกตัดสิทธิ์ในการเข้าร่วมการทดสอบแห่งยอดเขาจรัส”
เมื่อเห็นเฉินซีจากไป เหล่าศิษย์ของโถงภารกิจสวรรค์ก็อดไม่ได้ที่จะพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา และการโต้เถียงของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ชอบใจต่อการกระทำของอีกฝ่าย
“เฉินซีมันมาจริง ๆ ข้าต้องรายงานเรื่องนี้ต่อท่านอาจารย์” ที่มุมหนึ่งของโถงภารกิจสวรรค์ ซินหรูไห่ได้เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และก็อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ
แต่หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าตัวก็หันหลังกลับและมุ่งหน้าไปยังภายในห้องโถง สถานที่ที่เขามุ่งหน้าไปคือสถานที่บ่มเพาะของผู้อาวุโสโม่อวี้ ผู้ดูแลโถงภารกิจสวรรค์
…
ยอดเขาจรัสตะวันออก ภายในศาลาคลังดารา
เยว่ฉือนั่งตัวตรงอยู่บนที่นั่งตรงกลาง และคิ้วของเขาก็ขมวดแน่น ในขณะที่สีหน้าก็มืดมนเป็นอย่างมาก
การที่เฉินซีกลับมาจากเมืองรอยจันทราได้อย่างปลอดภัย ทำให้เขาเข้าใจได้ทันทีว่า แผนการของจิ้งจอกจีเสวี่ยเหยียนและนิกายวายุม่วงอาจประสบกับความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
แต่เยว่ฉือไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเขากังวลว่าตัวตนของตัวเองจะถูกเปิดเผยระหว่างปฏิบัติการในครั้งนี้หรือไม่ และเฉินซีจะรู้เรื่องนี้หรือไม่
และเป็นเขาเองที่ส่งข่าว ซึ่งทำให้แผนการของนิกายวายุม่วงและจิ้งจอกจีเสวี่ยเหยียนสามารถดำเนินได้อย่างราบรื่น และเป็นเขาเองที่ขอให้ผู้อาวุโสโม่อวี้ของโถงภารกิจสวรรค์ ทำให้ยอดเขาจรัสตะวันตกต้องรับภารกิจทดสอบ ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เขาจะสามารถบังคับให้เฉินซีมุ่งหน้าไปยังเมืองรอยจันทรา
“พวกมันช่างเป็นเศษสวะที่ไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง!” เยว่ฉือรู้สึกปั่นป่วนอย่างยิ่ง และเขาไม่อาจละเว้นจากการสาปแช่งอย่างรุนแรงในใจได้อีกต่อไป เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า ด้วยความแข็งแกร่งของนาง เสวี่ยเหยียนจะล้มเหลวได้อย่างไร?
“พี่เยว่ เจ้ากำลังกังวลอะไรอยู่หรือ?” เสียงทุ้มหนักดังขึ้นจากด้านนอกศาลาคลังดาราในขณะนี้
“ที่แท้ก็พี่โม่ โปรดเข้ามาเร็วเข้า” เยว่ฉือตกตะลึง เขารีบระงับความรู้สึกก่อนจะยืนขึ้นและกล่าว
คนที่มาถึงคือผู้อาวุโสโม่อวี้ผู้ดูแลโถงภารกิจสวรรค์ เขายิ้มในขณะที่จ้องมองเยว่ฉือ แล้วก็กล่าวว่า “ข้ามีข่าวดีอย่างหนึ่ง ข้าสงสัยว่าพี่เยว่อยากได้ยินหรือไม่?”
“โอ้? ข่าวดีอะไรหรือ?” เยว่ฉือยิ้มขณะที่ถาม
“เฉินซีรับภารกิจทดสอบทั้งหมดแล้ว และเขากำลังจะออกจากนิกายเพื่อจะทำภารกิจเหล่านี้ นี่เป็นข่าวดีสำหรับท่านพี่เยว่ไม่ใช่หรือ?” โม่อวี้กล่าว
“เจ้ากำลังจะบอกว่า… เขารับภารกิจและออกจากนิกายไปแล้ว?” เยว่ฉือตกตะลึงและถามอย่างเร่งรีบ ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เฉินซีไม่ได้ทำตัวผิดปกติเลยแม้แต่น้อย นี่ไม่ได้หมายความว่าเขายังไม่รู้ว่าเป็นข้าที่บรรลุข้อตกลงกับนิกายวิถีกระแสสวรรค์เพื่อแก้แค้นเขา?”
“ถูกต้องแล้ว” โม่อวี้สังเกตเห็นท่าทีที่ดูจะผิดปกติของเยว่ฉือ แต่เขาคิดว่า มันอาจเป็นเพราะอีกฝ่ายนั้นมีความสุขหลังจากที่ได้ยินข่าวตนกล่าวถึง จึงไม่ได้เก็บอะไรมาคิด
“วิเศษ…วิเศษจริง ๆ!” หลังจากที่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน ความกังวลในใจของเยว่ฉือก็ได้รับการชำระล้าง การกระทำของเขายังไม่ถูกเปิดเผย ในขณะที่เฉินซีถูกบังคับให้ออกจากนิกายและต้องทำภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งอีกฝ่ายไม่สามารถทุ่มเทบ่มเพาะได้
“หากมันไม่สามารถทำภารกิจให้สำเร็จได้ ข้าก็จะใช้มันเป็นข้ออ้างในการตัดสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสของมัน และได้บรรลุวัตถุประสงค์ของข้าในการปราบปรามมันทีละขั้น หลังจากนั้น… ข้าจะขับไล่มันออกจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองไป!