บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 609 สะท้านโลกาด้วยเพียงหนึ่งก้าว
บทที่ 609 สะท้านโลกาด้วยเพียงหนึ่งก้าว
ยอดเขาสัประยุทธ์ทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบงันโดยสิ้นเชิง มีเพียงเสียงหัวเราะเย็นชาของจู้ตงเท่านั้นที่ยังคงดังก้องอยู่ในอากาศและสั่นสะเทือนบริเวณโดยรอบ
ทันใดนั้น บรรยากาศก็ตกอยู่ในสภาวะแปลกประหลาด ถึงแม้อันเวย เหลิ่งชิว เซี่ยอี้ และผางโจวจะครอบครองสนามประลองแล้ว แต่กลับไม่มีใครกล้าออกมาท้าประลองพวกเขาสักคน ในขณะที่ศิษย์เกือบครึ่งต่างต่อแถวเพื่อท้าประลองกับเฉินซี ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนของยอดเขาจรัสตะวันออก และจุดประสงค์ของพวกเขาก็โจ่งแจ้งยิ่ง เพราะพวกเขาตั้งใจจะสยบและขัดขวางเฉินซีด้วยจำนวนคน
ศิษย์ทุกคนที่สามารถเข้าร่วมในการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสได้นั้น ล้วนมีฐานการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์ และความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นน่าเกรงขามอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยเหตุนี้ หากพวกเขาต่อแถวและท้าประลองกับเฉินซีทีละคนไม่หยุด แม้ว่าร่างกายของชายหนุ่มจะทำด้วยเหล็กกล้า แต่เขาก็อาจจะไม่สามารถทนได้
“ไร้ยางอาย นี่มันช่างไร้ยางอายยิ่งนัก ศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกต้องการล้างแค้นให้กับตู้เซวียน!”
“ข้าได้ยินมานานแล้วว่า การชิงความเป็นหนึ่งระหว่างศิษย์ชั้นสูงของสี่ยอดเขานั้นรุนแรงมาก แต่ข้าคิดว่ามันเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะโหดร้ายยิ่งกว่าข่าวลือเสียอีก”
“เฉินซีจบสิ้นแล้ว ยอดเขาจรัสตะวันตกนั้นอ่อนแอและยังขาดแคลนผู้เข้าร่วม ดังนั้นเขาอาจจะไม่สามารถต้านทานกลยุทธ์คลื่นมนุษย์ด้วยตัวคนเดียวได้”
ทุกคนลอบถอนหายใจเบา ๆ หลังจากมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงแวบเดียวก็ตระหนักได้เป็นอย่างดีว่า เฉินซีนั้นกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน!
ตุบ!
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงัน จู่ ๆ เฉินซีก็ก้าวเท้าไปข้างหน้า เผยท่าทีคล้ายวานรอสูรโบราณที่กำลังกระทืบพื้น ทำให้สนามประลองทั้งหมดสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ในขณะที่อักขระยันต์นับไม่ถ้วนที่สามารถสังเกตเห็นได้ ก็ยืดออกไปจากใต้เท้าของชายหนุ่ม
ทันใดนั้น กลิ่นอายที่น่าประทับใจของเฉินซีก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง การจ้องมองของเขาเหมือนสายฟ้าฟาด กลิ่นอายของชายหนุ่มเหมือนดั่งตัวตนที่ผุดมาจากเหวนรก ดวงดาว ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ต่างลอยเด่นเป็นสง่าอยู่เหนือเขา ในขณะที่เสียงคำรามลั่นของเต๋าก็ดังก้องไปทั่วร่างกาย และเขาก็เปล่งรัศมีอันองอาจของจ้าวเหนือหัวออกมา
“พวกเจ้าทุกคน…” ดวงตาของเฉินซีกวาดผ่านจู้ตง ก่อนจะหยุดลงที่ศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกทุกคนที่ยืนอยู่ที่หน้าแท่น น้ำเสียงของเขาราบเรียบและไม่แยแส อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งที่ไม่มีใครเทียบได้ “เข้ามาพร้อมกันซะ!”
“เข้ามาพร้อมกัน!”
“เข้ามาพร้อมกัน!!!”
เสียงที่ไม่แยแสของเขาดังก้องไปทั่วทั้งยอดเขาสัประยุทธ์ และมันดังก้องไปทั่วสวรรค์ทั้งเก้า มันเป็นดั่งบัญชาของกษัตริย์ผู้สูงส่ง ซึ่งทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นตกตะลึงจนอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง ดวงตาของพวกเขาต่างเผยให้เห็นถึงความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อออกมา
เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าเฉินซีจะพูดแบบนี้ในเวลานี้ มันหยิ่งผยองและจองหองมาก เพราะอีกฝ่ายต้องการที่จะต่อสู้กับศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกที่เข้าร่วมทั้งหมดด้วยตัวเขาเอง!
หลังจากพวกเขาหายตกตะลึง เหล่าศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกก็เย้ยหยันอย่างเย็นชาและแสดงสีหน้าดูถูกเหยียดหยามออกมา
“ช่างเป็นความรู้สึกที่ฟังดูสูงส่ง เจ้าไม่กลัวว่าการข่มขู่ของเจ้าจะถูกเปิดโปงหรอกหรือ!?”
เหลิ่งชิวกับผางโจวต่างเหลือบมองกันและกัน ก่อนจะส่ายศีรษะ ด้วยพวกเขารู้สึกว่าการกระทำของเฉินซีนั้นน่าขบขันเป็นอย่างยิ่ง
“เด็กคนนี้ยังอ่อนฝีมือเกินไปที่จะยืนหยัดต่อสู้กับการท้าประลองเช่นนี้” เยว่ฉือส่ายศีรษะไปมา ในขณะที่เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม เผยท่าทีมีความสุข เพราะเขารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งอยู่ในใจ ด้วยตัวเขาก็ไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากให้ศิษย์ของตนต่อสู้กับเฉินซีไปทีละคนและเหยียบย่ำอีกฝ่ายอย่างดุเดือด
“มันค่อนข้างจะบุ่มบ่ามไปหน่อย” เลี่ยเผิงกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
เขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกกดดันเฉินซี แล้วชายหนุ่มจะบุ่มบ่ามเช่นนี้ได้อย่างไร? และถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเยว่ฉือสั่งให้พวกเขาทำเช่นนั้น ศิษย์ยอดเขาจรัสตะวันออกเหล่านั้นจะกล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?
แต่เขาไม่สามารถพูดถึงเรื่องนี้ทั้งหมดได้ เพราะนี่คือการทดสอบแห่งยอดเขาจรัส และมันมีกฎที่ต้องปฏิบัติตาม ตราบใดที่ไม่ละเมิดกฎ ถ้าอย่างนั้นคงไม่เป็นการดีหากเขาก้าวก่ายมากเกินไป!
“วิเศษมาก! ในเมื่อศิษย์น้องเฉินซีมีความกล้าหาญดั่งพยัคฆ์ แล้วเราจะปฏิเสธได้อย่างไร?” จู้ตงกลอกตาไปมา ก่อนที่เขาจะกล่าวและหัวเราะเบา ๆ ด้วยรู้อย่างชัดเจนว่า แม้แต่ตู้เซวียนก็พ่ายแพ้ให้กับเฉินซีในกระบวนท่าเดียว ดังนั้นจึงไม่มีทางที่ตนจะเทียบเคียงกับอีกฝ่ายได้
แต่ถ้าทุกคนขึ้นไปบนสนามประลองพร้อมกัน ผลลัพธ์มันก็จะแตกต่างออกไป
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ในช่วงเวลาถัดมา เหล่าศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกได้พุ่งออกมาและก้าวขึ้นไปบนสนามประลอง
“แม้ว่าความแข็งแกร่งของศิษย์น้องเฉินซีจะไม่ธรรมดา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพวกเราทุกคน เจ้าคงไม่มีโอกาสได้รับชัยชนะ เหตุใดเจ้าถึงไม่หยุดและออกจากสนามประลองด้วยตัวเอง เพื่อไม่ให้เป็นที่ครหาว่าพวกข้ารังแกเจ้าด้วยจำนวนคน”
“ใช่แล้ว ศิษย์น้องเฉินซี แค่ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเชื่อฟัง ไม่มีอะไรต้องละอายใจ”
“ฮึ่ม! หรือว่าพวกเจ้าทุกคนยังไม่เข้าใจอีกหรือ? ที่ศิษย์น้องเฉินซีกล่าวเช่นนี้ เพียงเพราะเขาต้องการพ่ายแพ้อย่างมีเกียรติ ถึงอย่างไรเขาต้องต่อสู้กับพวกเราหลายคนเพียงลำพัง ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องน่าอาย แม้ว่าเขาจะแพ้ก็ตาม”
ทันทีที่เหล่าศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกขึ้นไปบนสนามประลอง พวกเขาเริ่มเยาะเย้ยและถากถางเฉินซีอย่างพร้อมเพรียงกัน และสายตาที่มองไปยังเฉินซีก็เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม ความสงสาร และการเยาะเย้ย
“ไอ้สารเลวพวกนี้ไม่มีความละอายใจเลยจริง ๆ การรังแกคนด้วยจำนวนเป็นสิ่งที่น่าละอายยิ่งนัก แต่พวกมันกลับวางท่าอยู่บนสนามประลองอย่างพึงพอใจ พวกมันช่างน่ารังเกียจอย่างแท้จริง” ในระยะไกล หลิงไป๋กัดฟันด้วยความเกลียดชังเมื่อเห็นฉากนี้ และเขาไม่ต้องการสิ่งใด นอกจากกระโจนขึ้นสนามประลองและสังหารตัวตลกเหล่านี้ให้หมดสิ้น!
ทว่าสีหน้าของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลง และยังคงปฏิบัติต่อกลุ่มคนตรงหน้าด้วยความเฉยเมย ก่อนที่สายตาของเขาจะมองไปทางเหลิ่งชิวกับผางโจวที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นชายหนุ่มก็กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “พวกเจ้าสองคนก็เข้ามาพร้อมกันซะ!”
เมื่อทุกคนได้ยินสิ่งนี้ บริเวณโดยรอบก็ระเบิดความโกลาหลทันที โดยจับจ้องไปยังผู้พูดราวกับพวกเขากำลังดูสัตว์ประหลาด เพราะพวกเขาไม่อยากเชื่อว่า เฉินซีจะกล้าสร้างสถานการณ์ต่อสู้ให้บานปลายในเวลานี้ อีกทั้งยังคิดแพร่เปลวไฟแห่งการต่อสู้ไปยังเหลิ่งชิวกับผางโจวด้วย!
เหลิ่งชิวคือใครน่ะหรือ? เขาคือหนึ่งในยอดศิษย์ชั้นสูงทั้งห้าและเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของยอดเขาจรัสตะวันออก เขามีนิสัยเย็นชาและเย่อหยิ่ง อีกทั้งยังแข็งแกร่งกว่าตู้เซวียนเล็กน้อย เขาเป็นหัวกะทิท่ามกลางศิษย์ชั้นสูงของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง
ส่วนผางโจวก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร ในบรรดายอดศิษย์ชั้นสูงทั้งห้าคน ความแข็งแกร่งของเขาเทียบได้กับเซี่ยอี้แห่งยอดเขาจรัสใต้ ซึ่งเซี่ยอี้ก็คือผู้บ่มเพาะกายาที่ขัดเกลาทักษะกายาเทพอสูร โดยสามารถบดขยี้ผู้บ่มเพาะปราณแท้ในขอบเขตเดียวกันได้ ดังนั้นในเมื่อผางโจวมีความสามารถทัดเทียมกัน แล้วความแข็งแกร่งของผางโจวจะอ่อนแอได้อย่างไร?
ถ้าสองคนนี้เข้าร่วมการต่อสู้กับเฉินซีจริง ๆ ชายหนุ่มจะแพ้ในครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย!
ทุกคนประหลาดใจและงุนงง พวกเขาล้วนรู้สึกราวกับว่าเฉินซีกำลังสิ้นหวัง ชายหนุ่มรู้ว่าตนเองไม่สามารถได้รับชัยชนะ ดังนั้นเขาจึงลากเหลิ่งชิวกับผางโจวเข้ามา ด้วยวิธีนี้เอง แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ แต่ก็ไม่เป็นเรื่องที่น่าอายเกินไปและจะฟังดูดีเสียยิ่งกว่าหากข่าวได้แพร่กระจายออกไป
“เฉินซี เจ้าควรไตร่ตรองให้รอบคอบ หากพ่ายแพ้ในครั้งนี้ เจ้าก็ทำได้เพียงแต่รอการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสครั้งต่อไป เพื่อชิงตำแหน่งเป็นศิษย์ชั้นยอด” ในเวลานี้ เลี่ยเผิงไม่อาจละเว้นจากการกล่าวได้เช่นกัน น้ำเสียงของเขามีร่องรอยความตั้งใจที่จะเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย
“ผู้อาวุโสเลี่ยโปรดอย่าได้กังวล ศิษย์ได้ไตร่ตรองถึงผลที่ตามมาทั้งหมดแล้ว” เฉินซีพูดในขณะที่ประสานมือของเขา ซึ่งตัวเขาก็แยกแยะได้ว่าเลี่ยเผิงกำลังทำเพื่อตนเองอย่างจริงใจ
“เฮ้อ ช่างมันเถิด ทำตามที่ใจเจ้าต้องการเถอะ” เลี่ยเผิงถอนหายใจและไม่พูดอะไรอีก
“เฉินซี ผู้อาวุโสเลี่ยทำหน้าที่อย่างจริงใจเพื่อเจ้า เหตุใดเจ้าถึงไม่ไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง” เยว่ฉือขมวดคิ้วขณะที่กล่าว แต่น้ำเสียงของเขากลับเผยความรู้สึกประชดประชันที่ต้องการยั่วยุอารมณ์ออกมา
เฉินซีเพิกเฉยต่อคำพูดเหล่านี้โดยตรง และหยุดสายตาของเขาไว้ที่เยว่ฉือเท่านั้น ท่าทางที่หยิ่งยโสและหยาบคายของชายหนุ่ม ทำให้ชายชราโมโหจนถึงขั้นกระทืบเท้าด้วยความโกรธ เพราะรู้สึกอึดอัดอย่างมาก และไม่ต้องการสิ่งใด นอกจากการตบอีกฝ่ายให้ตายคามือ!
เหลิ่งชิวขมวดคิ้วขณะที่กล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าแน่ใจแล้วหรือ?”
ผางโจวหัวเราะเบา ๆ “เจ้าอาจจะเสียใจไปตลอดชีวิต ถ้าข้าและศิษย์พี่เหลิ่งชิวลงมือ เพราะนี่คือการต่อสู้ และอะไรก็เกิดขึ้นได้ในระหว่างการต่อสู้ ดังนั้นจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงจากการบาดเจ็บได้ ในฐานะศิษย์พี่ ข้าขอแนะนำว่า อย่าได้หยิ่งผยองเกินไปนัก มิฉะนั้น เจ้าอาจไม่มีโอกาสแม้แต่จะยอมรับความพ่ายแพ้”
เสียงของเขาโผงผาง ซึ่งเผยให้เห็นความตั้งใจที่จะคุกคามเฉินซีอย่างลึกซึ้ง
ทว่าใบหน้าของเฉินซียังคงสงบนิ่ง ราวกับว่าทุกอย่างไม่สามารถสั่นคลอนการตัดสินใจของเขาได้ และชายหนุ่มก็พ่นคำสามคำออกมาเบา ๆ “ไม่กล้าหรือ?”
“ไม่กล้าหรือ?”
สีหน้าของเหลิ่งชิวกับผางโจวแข็งทื่อไปทันที แม้ว่าพวกเขาจะกล่าวกันเพียงไม่กี่คำ แต่มันก็เหมือนกับการประกาศสงครามและเป็นการยั่วยุที่ปราศจากคำพูด หากถ้ายังคงลังเลต่อไป พวกเขาจะกลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาวจริง ๆ!
ในเวลาถัดมา ทั้งคู่ก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน และกระโดดลงจากสนามประลองของตัวเองไปยังสนามประลองของเฉินซีตามลำดับ
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนนี้ถูกยั่วยุจนเคลื่อนไหวลงมือจริง ๆ ทุกคนก็อ้าปากค้างและแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา
ส่วนสนามประลองว่างเปล่าที่พวกเขาทิ้งไว้ กลับไม่มีใครกล้าแตะต้องกับพวกมัน หรืออาจกล่าวได้ว่า ตอนนี้ไม่มีใครมีอารมณ์ที่จะครอบครองสนามประลอง เพราะจิตใจของทุกคนถูกการกระทำของเฉินซีครอบงำ และมีเพียงสองผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์ดังกล่าว!
ผลลัพธ์แรก เฉินซีถูกบดขยี้ทันทีและถูกกำจัดออกจากการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสโดยตรง
ผลลัพธ์ที่สอง เฉินซีสามารถพลิกสถานการณ์และบดขยี้ศิษย์ยอดเขาจรัสตะวันออกทั้งหมดที่เข้าร่วมในการทดสอบแห่งยอดเขาจรัส
แต่เห็นได้ชัดว่า โอกาสของผลลัพธ์ที่สองนั้นน้อยมาก ในขณะที่ผลลัพธ์แรกนั้นเป็นเรื่องปกติ และนี่คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่ออย่างแน่วแน่
เพราะอย่างไร ก็มีศิษย์สี่สิบหรือห้าสิบคนจากยอดเขาจรัสตะวันออก นอกจากนี้ยังมียอดฝีมือที่มีชื่อเสียงเลื่องลืออย่างผางโจวและเหลิ่งชิวในหมู่พวกเขา แม้ว่าความแข็งแกร่งของเฉินซีจะน่าเกรงขาม แต่เขาก็สู้เพียงลำพัง และสองหมัดย่อมยากต่อกรกับสี่ฝ่ามือ แล้วเขาจะได้รับชัยชนะไปได้อย่างไร?
บนสนามประลอง เฉินซียืนเผชิญหน้ากับเหล่าศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกทุกคนจากระยะไกล และสนามประลองอันกว้างใหญ่นี้ ก็เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่สามารถทำให้อากาศกลายเป็นน้ำแข็งและไม่กล้าเข้าใกล้บริเวณนี้
โอม!
ค่ายกลบนสนามประลองถูกเปิดใช้งาน ทำให้ศิลาที่มีขนาดมหึมาและกรงขนาดใหญ่ปลดปล่อยความผันผวนอันเก่าแก่และกว้างใหญ่ที่ป้องกันไม่ให้คลื่นพลังทำลายพุ่งออกมาจากสนามประลอง
“ฆ่า!” จู้ตงตะโกนออกมาอย่างดุเดือด ในขณะที่ศิษย์อีกสิบคนก็โจมตีพร้อมกันนั้น ทันใดนั้น เคล็ดวิชาต่อสู้ชั้นยอดก็พวยพุ่งไปทั่วท้องฟ้า ราวกับภูเขาไฟจำนวนมากที่ปะทุอย่างกระทันหัน และมันก็แฝงไปด้วยพลังที่เกรี้ยวกราดและดุร้ายอย่างสุดขั้ว
“ฆ่า!” ในอีกด้านหนึ่ง ศิษย์อีกสิบกว่าคนก็โจมตีพร้อมกันอีกครั้ง ทำให้เสียงของเต๋าดังก้อง ในขณะที่แสงศักดิ์สิทธิ์ก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า และมันก็เหมือนกับพายุโหมกระหน่ำซึ่งโจมตีเฉินซีจากด้านข้าง
“ฆ่า!”
…
เสียงตะโกนที่ไร้ความปรานีได้ดังก้องไปทั่ว หลังจากศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกเหล่านี้ตัดสินใจที่จะเข้าสู่สนามรบ พวกเขาก็ทุ่มพลังออกไปทั้งหมดในทันที และไม่ได้แสดงความเมตตาเลยแม้แต่น้อย เพราะคู่ต่อสู้ของพวกเขามีเพียงคนเดียวเท่านั้น พวกเขาประสานความร่วมมือและโจมตีเฉินซีจากทั่วทุกมุม โดยไม่คิดเปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ได้หายใจเลยแม้แต่น้อย!
กลิ่นอายอันทรงพลังและพลังขนาดมหึมานี้ของพวกเขาที่กวาดไปทั่วทุกหนทุกแห่ง มันก็ทำให้สีหน้าของผู้ชมทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณโดยรอบนั้นซีดลง และแม้แต่การหายใจก็ติดขัด
ตู้ม!
ภายใต้การโจมตีที่ปกคลุมทั่วทั้งฟ้าดิน ร่างของเฉินซีพลันเคลื่อนไหวอย่างแข็งแกร่งดุจมังกร ในขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้า ก้าวย่างนี้ก็เหมือนกับกลองสงครามที่เทพอสูรทุบตี เฉกเช่นเดียวกับเสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราดของเทพเจ้าแห่งฟ้าร้อง ซึ่งสั่นสะเทือนไปทั้งฟ้าดินและบาดแก้วหูของทุกคนที่อยู่ที่นั่นจนเกือบหูหนวก
กระแสพลังที่ไร้รูปร่างแผ่ออกไปรอบ ๆ สนามประลองเหมือนกับเสียงคำรามของมังกรหรือพยัคฆ์ ซึ่งแฝงด้วยกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวกวาดไปทั่วฟ้าดินด้วยพลังที่ไร้เทียมทาน!
ท่ามกลางการจ้องมองที่จดจ่อและเต็มไปด้วยความตกตะลึงมากมาย การโจมตีทั้งหมดที่มาจากทุกทิศทุกทางนั้นกลับถูกบดขยี้และแตกสลายไปโดยสิ้นเชิง! ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ได้ก็เกิดจากเฉินซีก้าวเท้าเพียงก้าวเดียวเท่านั้น!