บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 628 ชิ้นส่วนมหาเต๋า
บทที่ 628 ชิ้นส่วนมหาเต๋า
ภายในที่พำนัก เฉินซีนั่งขัดสมาธิสัมผัสกับแดนฮุ่นตุ้นของตนเอง และรู้สึกถึงปราณวิญญาณจำนวนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้าสู่แดนฮุ่นตุ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
ที่พำนักของเฉินซีตั้งอยู่เหนือเส้นชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดสีชาด ซึ่งอุดมไปด้วยปราณวิญญาณและปราณเซียนอันแสนบริสุทธิ์ ทันทีที่ปราณเหล่านี้ไหลเข้าสู่แดนฮุ่นตุ้น การเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ก็พลันเกิดขึ้นทันที
ปราณเซียนปกคลุมแดนฮุ่นตุ้น เต๋ารู้แจ้งรูปทรงใยแมงมุมจำนวนมหาศาลก่อตัวขึ้นก่อนที่จะรวมตัว ควบแน่น และหลอมรวมเข้าด้วยกัน จากนั้นก็กระจายไปทุกซอกทุกมุม ทำให้ทั้งโลกกว้างใหญ่และมั่นคงยิ่งขึ้น
การครอบครองที่พำนักบนเส้นชีพจรปราณวิญญาณระดับสูง ๆ ในยอดเขาจรัสเทวะนั้นถือเป็นตัวช่วยชั้นดีในการบ่มเพาะ มันแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะหาปราณเซียนอันแสนบริสุทธิ์เยี่ยงนี้ในโลกภายนอก จึงกล่าวได้ว่าเฉินซีนั้นได้รับผลประโยชน์จากที่พำนักอย่างเต็มเปี่ยม
ด้วยการหล่อเลี้ยงจากปราณเซียน เส้นสายพลังปราณอันล้ำลึกมากมายก็ปรากฏขึ้นให้เห็นในใบหญ้าทุกใบ และต้นไม้ทุกต้นในแดนฮุ่นตุ้นของเขา ลายเส้นอักขระยันต์ที่อัดแน่นปรากฏบนก้อนหินดินทราย อีกทั้งยังปรากฏบนท้องนภา ดวงดาราเริ่มโคจร แผ่นดินเริ่มแสดงเส้นภูมิศาสตร์…
สามารถสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนตัวและการไหลเวียนของทุกสิ่งในโลกา โลกทั้งใบสดใส เต็มไปด้วยสีสันและมีชีวิตชีวา
ความรู้สึกแบบนี้วิเศษยิ่ง ราวกับเป็นผู้สร้างโลก พืชพรรณ หินผา มนุษยชาติ กฎธรรมชาติ และทุกสิ่งบนโลกต้องถูกสร้างจนเสร็จสมบูรณ์ภายใต้การควบคุมของเขา ซ้ำยังเป็นการพัฒนาการบ่มเพาะของชายหนุ่ม เพราะเมื่อโลกนี้ถูกสร้างขึ้นจนอยู่ในสภาพสมบูรณ์ การทะลุขีดจำกัดไปสู่ขอบเขตการบ่มเพาะขั้นต่อไปย่อมไม่ไกลเกินเอื้อม
เฉินซีดื่มด่ำกับการบ่มเพาะ เขากำลังควบคุมแดนฮุ่นตุ้นและฟื้นฟูปราณแท้ พร้อมกับสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าความแข็งแกร่งของแดนฮุ่นตุ้นกำลังเพิ่มขึ้นทีละขั้น เต๋ารู้แจ้งมหาศาลไหลเวียนและหล่อเลี้ยงทั้งโลกา ทำให้โลกทั้งใบกว้างใหญ่และงดงามตระการตายิ่งขึ้นไปอีก
แต่ไม่ทันไร ชายหนุ่มก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหยุด
เพราะเขาสัมผัสได้ว่าแดนฮุ่นตุ้นของตนอยู่ในสถานะที่เหมาะสมแล้วในตอนนี้ หากต้องการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น จะต้องพัฒนาเต๋ารู้แจ้งเสียก่อน!
มีเพียงการพัฒนาเต๋ารู้แจ้งเท่านั้นจึงจะสามารถขยายแดนฮุ่นตุ้นและบรรจุปราณแท้ได้มากขึ้น
“ตอนนี้ข้าได้สั่งสมเต๋ารู้แจ้งมามากกว่าสิบแบบแล้ว ทั้งหมดล้วนอยู่ในขอบเขตขั้นสูงทั้งสิ้น ในบรรดาเต๋ารู้แจ้งเหล่านี้มีเพียงมหาเต๋าอัสนีเท่านั้นที่เข้าใกล้ระดับสิบสองขอบเขตสมบูรณ์…” เฉินซีอนุมานระดับของเต๋ารู้แจ้งอยู่ในใจ และสังเกตเห็นว่าเบญจธาตุ หยิน หยาง ดารา วายุ ปารมิตา การลืมเลือน รวมถึงเต๋ารู้แจ้งอื่น ๆ นั้นอยู่ระหว่างระดับเก้าขอบเขตขั้นสูงจนถึงระดับสิบสองขอบเขตสมบูรณ์
มีเพียงมหาเต๋าอัสนีเท่านั้นที่บรรลุถึงระดับสิบเอ็ด อีกเพียงนิดเดียวก็จะบรรลุระดับสิบสองขอบเขตสมบูรณ์แล้ว
หากเขาต้องการพัฒนาแดนฮุ่นตุ้นไปอีกขั้น เฉินซีจะต้องได้มาซึ่งขอบเขตสมบูรณ์ของเต๋ารู้แจ้งทั้งหมดนี้ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะดึงพลังต่อสู้ทวีคูณออกมาได้
หากเฉินซีชำนาญในมหาเต๋าอัสนีขอบเขตสมบูรณ์ ไม่เพียงแต่จะสามารถขยายแดนฮุ่นตุ้นของเขาได้เท่านั้น แต่ยังสามารถเปิดใช้เคล็ดวิชาเต๋าเพื่อเพิ่มพลังต่อสู้ได้ถึงสองเท่า
และเมื่อเฉินซีชำนาญในมหาเต๋ารู้แจ้งขอบเขตสมบูรณ์มากเท่าไหร่ แดนฮุ่นตุ้นก็จะยิ่งแข็งแกร่ง เสถียร และขยายใหญ่มากขึ้นเท่านั้น เฉกเช่นกับพลังต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดไปตาม ๆ กัน
“ดูเหมือนข้าจะต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาขอบเขตความเข้าใจในเต๋าของข้าเสียแล้ว…” เฉินซีพึมพำ เขาทราบดีว่าเมื่อผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาต่อสู้กัน มันจะวัดกันที่ว่าใครมีพลังทวีคูณมากกว่ากัน
ยกตัวอย่างเช่น หวังจ้งฮ่วนที่ครอบครองมหาเต๋ารู้แจ้งขอบเขตสมบูรณ์ทั้งห้า เขาสามารถเพิ่มพลังต่อสู้ได้ถึงห้าเท่า หากวัดกันในเรื่องดังกล่าว และโอกาสที่เฉินซีจะปราบอีกฝ่ายได้นั้นก็น้อยมาก
“ศิษย์น้องเฉินซีอยู่ที่นี่หรือไม่?” เสียงที่สุขุมเยือกเย็นดังขึ้นจากด้านนอกที่พำนัก
“ศิษย์พี่อันเวย? รีบเข้ามาสิ” เฉินซีลุกขึ้นพลางสร้างตวัดมือเปิดประตูที่พำนัก ก่อนจะกล่าวทักทายศิษย์พี่หญิงผู้งดงาม
อันเวยนับเป็นอันดับหนึ่งในบรรดายอดศิษย์ชั้นสูงก่อนที่จะกลายเป็นศิษย์ชั้นยอดเสียอีก นางเป็นสตรีที่งดงาม มาพร้อมกับกลิ่นอายแห่งความบริสุทธิ์ดุจน้ำค้าง เป็นดั่งสาวบริสุทธิ์วัยแรกแย้มจากตำหนักจันทรา
‘อัจฉริยะที่ได้รับความรักและการสนับสนุนจากอัจฉริยะรุ่นเยาว์จำนวนนับไม่ถ้วน… พวกเขาได้เข้ามาเยี่ยมข้าจริง ๆ’
ซึ่งเท็จจริงนี้ทำให้เฉินซีประหลาดใจเล็กน้อย
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าศิษย์น้องเฉินซีจะทำให้หวังจ้งฮ่วนบาดเจ็บได้ ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก” อันเวยเดินเข้ามาด้วยก้าวที่สง่างาม สายตาเปล่งประกายของนางจับจ้องไปยังที่พำนักของเฉินซี ก่อนที่จะหันลงมามองชายหนุ่มพลางฉีกยิ้ม
“ข้าเพียงแค่โชคดีเท่านั้น” เฉินซียิ้มตอบ ไม่อาจทราบได้ว่าเหตุใดอันเวยจึงมา
“ศิษย์น้องเฉินซีไม่ต้องถ่อมตัวไป ข้าเห็นการต่อสู้ระหว่างเจ้ากับหวังจ้งฮ่วนตั้งแต่ต้นจนจบ และแม้แต่ข้าเองก็ไม่อาจเทียบกับเจ้าได้” อันเวยสางเส้นผมสลวยสีดำสนิทของนางพลางกล่าวด้วยเสียงอันแผ่วเบา ไม่ได้ปกปิดความชื่นชมที่มีต่อเฉินซีแม้แต่น้อย
‘ไม่อาจเทียบกับข้าได้?’ เฉินซีคิดในใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้
ขณะนี้ อันเวยกำลังพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายและสุภาพ เห็นได้ชัดว่านางคงมีไพ่ตายบางอย่างที่ทำให้หญิงสาวยังรู้สึกว่าสามารถต่อกรกับเฉินซีได้ และนั่นคือเหตุผลที่นางรู้สึกสบายใจ มิฉะนั้นหากเป็นบุคคลอื่น น้ำเสียงของคนคนนั้นคงเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาเป็นแน่
ทว่าเฉินซีก็มีไพ่ตายลับอย่างหม้อต้มใบจิ๋วซึ่งน่าเกรงขามจนไม่มีใครเทียบได้นั่นอยู่!
“ศิษย์น้องเฉินซี วันนี้ข้ามาหาเจ้าเพราะมีเรื่องจะปรึกษาด้วย…” ขณะที่เฉินซีกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ อันเวยก็พูดอย่างช้า ๆ แสดงเหตุผลของการมาเยือน
“เกี่ยวกับทุ่งน้ำแข็ง ณ ปลายสุดทิศตะวันตก เหวเงาทมิฬอย่างนั้นหรือ?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเมื่อได้ยินเหตุผลของการมาของอันเวย จากนั้นก็นึกถึงบันทึกในคู่มือแดนภวังค์ทมิฬ ตามข่าวลือ เหวเงาทมิฬนั้นเป็นพื้นที่หวงห้ามซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายและเต็มไปด้วยเจตจำนงสังหารในทุกย่างก้าว แม้แต่ผู้บ่มเพาะที่เก่งกาจจากทั้งสำนักเซียนและอสูรก็ยังไม่อาจกล้าเข้าไปโดยพลการ
นอกจากนี้ยังมีข่าวลือที่ว่าเหวเงาทมิฬถูกสร้างขึ้นจากต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬที่สูงตระหง่านในยุคบรรพกาล ต้นไม้ต้นนี้เป็นศูนย์รวมของมหาเต๋าในโลก ทุกกิ่งก้านและใบนั้นมีอักขระเต๋าแห่งสวรรค์อยู่ ต้นไม้นี้สูงมากจนไปถึงภพเซียน และเป็นสะพานอันน่าอัศจรรย์ที่เชื่อมต่อระหว่างภพมิติเซียนและภพมนุษย์
แต่หลังจากประสบหายนะที่ส่งผลกระทบต่อทั้งสามภพ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬนี้ก็ถูกทำลาย ในขณะที่รากซึ่งขดอยู่บนหุบเขาเก้าหอคอยที่สุดทางตะวันตก และชิ้นส่วนต้นไม้ที่เหลือได้ก่อตัวเป็นเหวเงาทมิฬในปัจจุบัน
ตลอดช่วงเวลาที่บันทึกในคู่มือ มีบุคคลสำคัญมากมายที่เข้าไปสำรวจและได้รับโชคลาภมหาศาลซึ่งทำให้พวกเขาสามารถทะยานขึ้นสู่สวรรค์ได้ ทว่าเทียบกันแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ที่เข้าไปสำรวจนั้นต่างก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในช่วงยุคบรรพกาล แม้แต่นักปราชญ์ที่มีพลังสะท้านสะเทือนก็เข้าไปทำการสำรวจ แต่ก็ไม่กลับมาอีกเลย เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้โลกต้องสั่นคลอน จึงกำเนิดชื่อเหวเงาทมิฬขึ้นมา กลายเป็นสถานที่ต้องห้ามที่แค่พูดถึงก็ทำให้สีหน้าของทุกคนซีดเซียวแล้ว
“ถูกต้อง เหวเงาทมิฬ แม้จะเป็นเขตหวงห้าม แต่เต๋าแห่งสวรรค์ก็เผื่อโอกาสให้มีชีวิตรอดอยู่เสมอ และโอกาสนี้ก็ได้กลับมาอีกครั้ง ตราบใดที่เราคว้ามันไว้แน่น เราอาจจะได้รับผลประโยชน์ที่เหนือความคาดหมายก็เป็นได้” อันเวยค่อย ๆ อธิบายด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ข่าวนี้ได้กระจายไปทั่วดินแดนแล้ว มีผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์มากมายจากนิกายเซียน นิกายอสูร และตระกูลในยุคบรรพกาลตั้งใจที่จะไปที่นั่นและตั้งใจที่จะคว้าโอกาสซึ่งสวรรค์ประทานมาให้นี้ …ดังนั้นสรุปก็คือ ข้ามาหาเพราะอยากจะไปที่นั่นกับเจ้า”
“เหตุใดถึงเป็นข้า?” เฉินซีรู้สึกตื้นตันเล็กน้อยกับข้อเสนอนี้เพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าอัจฉริยะอย่างอันเวยจะเลือกตนเองเป็นเพื่อนร่วมทาง
อันเวยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พูดตามตรงก็เป็นเพราะพลังอิทธิฤทธิ์ ‘เนตรเทวะแห่งความจริง’ ของเจ้าที่สามารถมองทะลุความล้ำลึกในเหวเงาทมิฬได้ ในขณะที่ข้ามีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้จากศิษย์พี่หลัว หากเราร่วมมือกัน ก็จะได้มาซึ่งโชคลาภนี้”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง” เฉินซีเข้าใจในทันที อันเวยเลือกร่วมทางกับเขาเนื่องด้วยพลังอิทธิฤทธิ์ที่เขามีนี่เอง!
“ศิษย์น้องเฉินซี อย่าเข้าใจผิดไป ต่อให้เจ้าไม่มีเนตรเทวะแห่งความจริง ข้าก็ยังจะเชิญเจ้าไปที่นั่นอยู่ดี สุดท้ายแล้ว ข้าและน้องสาวก็ยังเป็นหนี้บุญคุณท่านอาจารย์ลุงหลิ่วอยู่ และเขาสั่งให้พวกเราดูแลเจ้าก่อนที่เขาจะจากไป ดังนั้นข้าจะไม่มีวันนับเจ้าเป็นคนนอกไม่ว่ากรณีใด ๆ” จิตใจอันบริสุทธิ์อันเวยสามารถมองทะลุความคิดของเฉินซีได้ในทันที นางจึงอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา
“ข้าเห็นว่าเจ้าได้ก้าวสู่ขอบเขตสถิตกายา และต้องการพัฒนาการบ่มเพาะของเจ้าโดยเริ่มจากการพัฒนาความเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งก่อน ซึ่งเท่าที่ข้าทราบ มันมีด่านแห่งความลึกล้ำที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งอยู่ภายในเหวเงาทมิฬ ภายในด่านนั้นมีชิ้นส่วนมหาเต๋าจำนวนมหาศาล เพียงได้มาแค่สองสามชิ้น มหาเต๋ารู้แจ้งของเจ้าก็จะสามารถก้าวสู่ขอบเขตสมบูรณ์ได้ในระยะเวลาอันสั้น”
“ด่านแห่งความลึกล้ำ! ชิ้นส่วนมหาเต๋า!?” เฉินซีรู้สึกตกตะลึง ดวงตาเปล่งประกายด้วยแสงเย็นวาบ เพียงได้ยินชื่อก็ทำให้เขารู้แล้วว่าสมบัติชิ้นนี้ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
“ได้ ข้ายินดีไปพร้อมกับศิษย์พี่อันเวย” เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบตกลง
และก็เป็นดั่งที่อันเวยกล่าว ตอนนี้เขาต้องเสริมพละกำลังด้วยการพัฒนาความเข้าใจในเต๋ารู้แจ้ง และเหวเงาทมิฬก็มีสมบัติอันศักดิ์สิทธิ์เช่นชิ้นส่วนมหาเต๋าอยู่พอดี ดังนั้นจะปล่อยโอกาสนี้ไปได้อย่างไร?
“เอาล่ะ งั้นเราออกเดินทางกันเถิด” อันเวยกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “อย่ามัวเสียเวลากันเลย ข้าได้ยินจากศิษย์พี่หลัวว่าศิษย์บางสำนักเริ่มเร่งกันออกเดินทางสู่เหวเงาทมิฬแล้ว เกรงว่าสมบัติล้ำค่าที่สุดอาจถูกคนอื่นแย่งชิงไปหากพวกเราไปช้า”
ว่าแล้วคนทั้งคู่ก็พากันออกจากยอดเขาจรัสเทวะทันทีพลางพุ่งไปที่ทางเข้าของนิกาย
เหวเงาทมิฬตั้งอยู่ในทุ่งน้ำแข็งสุดทางตะวันตกของแดนภวังค์ทมิฬ ด้านข้างของหุบเขาเก้าหอคอย และอยู่ไกลจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองอยู่มาก พวกเขาเลือกที่จะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายของนิกายเพื่อเดินทางมายังเมืองโบราณในเขตทุ่งน้ำแข็งสุดทางตะวันตกที่เรียกว่าเมืองเหมันต์บรรพกาล ก่อนที่รุดฝีเท้าไปยังหุบเขาเก้าหอคอย
อย่างไรก็ตาม เมื่อทั้งคู่มาถึงค่ายกลเคลื่อนย้ายของนิกาย พวกเขาก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่และหล่อเหลาในชุดคลุมสีเหลืองสดยืนอยู่เบื้องหน้าค่ายกล ซึ่งดวงตาของคนผู้นี้ก็อดไม่ได้ที่จะเปล่งประกายเมื่อเห็นอันเวยปรากฏตัวพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาว่า “พวกเจ้าทั้งสองกำลังมุ่งหน้าไปยังเหวเงาทมิฬเหมือนกันหรือ?”
ชายหนุ่มคนนี้เอามือไพล่หลัง ท่าทางสง่างาม แม้ว่าเขาจะพูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ก็แฝงความทะนงตัวในดวงตาซึ่งทำให้ตัวคนพูดดูพิเศษยิ่งขึ้นไปอีก
“ศิษย์พี่หลง?” อันเวยตกตะลึงเล็กน้อย นางไม่เคยคิดว่าจะเจอชายหนุ่มคนนี้จริง ๆ ใบหน้าที่งดงามของหญิงสาวจึงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ