บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 629 ดินแดนแห่งน้ำแข็ง
บทที่ 629 ดินแดนแห่งน้ำแข็ง
‘ศิษย์พี่หลง?’
เฉินซีคิดในใจ คนผู้นี้น่าจะเป็นหลงเจิ้นเป่ยคนนั้น ล่ำลือกันว่าเขามาจากเผ่าอสรพิษมังกร มีพละกำลังที่น่าเกรงขามยิ่ง เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่ในหมู่ศิษย์ชั้นยอด
เมื่อเฉินซีคิดมาถึงจุดนี้ ท่าทีของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปโดยธรรมชาติ ทำให้ยามมองชายในชุดคลุมสีเหลืองสดอีกครา เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันน่าเกรงขาม ด้วยคนผู้นี้สามารถประมือกับหวังจ้งฮ่วนได้อย่างสูสี!
และท้ายที่สุดแล้ว หวังจ้งฮ่วนก็มีความสามารถในการทวีคูณพลังต่อสู้ของเขาได้ถึงห้าเท่า และครอบครองสมบัติอมตะ แต่ถึงกระนั้นอีกฝ่ายก็ยังไม่สามารถทำอะไรกับหลงเจิ้นเป่ยได้ ดังนั้นความแข็งแกร่งของหลงเจิ้นเป่ยจึงเป็นที่ประจักษ์โดยแท้!
นอกจากนี้ หลงเจิ้นเป่ยได้บ่มเพาะศาสตร์เต๋าโดยกำเนิดของเผ่ามังกรอสรพิษ ‘เนตรวิญญาณมังกรอสรพิษ’ และมันก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าเนตรทองคำขาวของจักรพรรดิพิสุทธ์ที่อวิ๋นเยี่ยครอบครอง
“ฮ่า ฮ่า ศิษย์น้องอันยังคงจำข้าได้จริง ๆ ข้ารู้สึกอิ่มเอมกับความโปรดปรานที่คาดไม่ถึงนี้จริง ๆ” หลงเจิ้นเป่ยหัวเราะลั่นและท่าทางของเขาค่อนข้างกล้าหาญ
เขามีรูปร่างสูง หล่อเหลา และเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ จึงนับว่าเป็นชายผู้โดดเด่นที่สามารถดึงดูดใจหญิงสาวจำนวนนับไม่ถ้วนและมีเสน่ห์ในแบบที่ไม่เหมือนใคร
“ศิษย์พี่หลงก็ยกยอเกินไป” อันเวยฟื้นความสงบของนางในขณะนี้ และสีหน้าของหญิงสาวก็สงบเหมือนน้ำขณะที่นางกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า “หรือว่าศิษย์พี่หลงก็กำลังมุ่งหน้าไปยังเหวเงาทมิฬเช่นกัน?”
“ใช่แล้ว” หลงเจิ้นเป่ยพยักหน้าในขณะที่จ้องมองอันเวยด้วยสายตาที่ร้อนแรง และเขาไม่ได้ปกปิดความชื่นชมในตัวนางแม้แต่น้อย “เหวเงาทมิฬได้เปิดขึ้นอีกครั้งหลังจากผ่านไปนับหมื่นปี เรื่องนี้ได้สั่นสะเทือนโลกมาเนิ่นนานแล้ว ตอนนี้ข้าบ่มเพาะจนถึงคอขวด ดังนั้นข้าจึงตั้งใจที่จะไปฝึกฝนในโลกภายนอก ด้วยบางทีมันอาจช่วยข้าทะลวงผ่านในการทำความเข้าใจเต๋ารู้แจ้งและทำให้ข้าสามารถใช้พลังต่อได้สู้ถึงหกเท่า!”
“พลังต่อสู้หกเท่า?” ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นมันก็ฟื้นคืนสู่สภาพเดิม
“ด้วยพรสวรรค์โดยธรรมชาติของศิษย์พี่หลง การเดินทางครั้งนี้ ย่อมประสบความสำเร็จและสามารถบรรลุไปอีกระดับได้อย่างแน่นอน” อันเวยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่า ฮ่า ขอบคุณสำหรับคำอวยพรของเจ้า” หลงเจิ้นเป่ยหัวเราะดังลั่น จากนั้นเขาก็พูดว่า “ไปกันเถอะ ในเมื่อศิษย์น้องอันตั้งใจที่จะมุ่งหน้าไปยังเหวเงาทมิฬเพื่อฝึกฝนเช่นกัน ดังนั้นพวกเราจึงบังเอิญไปในทิศทางเดียวกัน และข้าก็เต็มใจที่จะสวมบทองครักษ์พิทักษ์สาวงาม จะคอยเปิดทางและปกป้องศิษย์น้องอันเอง”
ไม่รู้ว่าเป็นการจงใจหรือไม่ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ หลิงเจินเปยไม่เคยละสายตาไปทางเฉินซี และดูเหมือนว่านอกจากอันเวยแล้ว มันก็ไม่มีใครที่สามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้
แน่นอนว่าการปฏิบัติที่ ‘เย็นชา’ เช่นนี้ ย่อมไม่ทำให้เฉินซีขุ่นเคืองในใจ เพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับหลงเจิ้นเป่ย และเนื่องจากหลงเจิ้นเป่ยจงใจวางท่าอวดดีเช่นนี้ ชายหนุ่มก็จึงเลือกที่จะมองข้ามมันเช่นกัน
“ศิษย์พี่หลง นี่คือเฉินซี เขาเป็นศิษย์ชั้นยอดผู้มาใหม่ที่มีพลังไม่ธรรมดาพอสมควร และเขากำลังมุ่งหน้าไปยังเหวเงาทมิฬเพื่อฝึกฝนไปพร้อมกับข้า” อันเวยเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน ว่าการสนทนาระหว่างนางกับหลงเจิ้นเป่ยนั้นละเลยเฉินซีไปเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงแนะนำชายหนุ่มทันที “เฉินซี นี่คือศิษย์พี่หลงเจิ้นเป่ย เขาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อันดับต้น ๆ ในหมู่พวกเราศิษย์ชั้นยอดเลยทีเดียว”
“โอ้?” หลงเจิ้นเป่ยขมวดคิ้ว เมื่ออันเวยหันเหหัวข้อสนทนาไปที่เฉินซี จากนั้นคิ้วของเขาก็เลิกขึ้น และตอนนี้เจ้าตัวก็กำลังจ้องมองไปยังเฉินซี ทำการประเมิณคนตรงหน้า ก่อนจะละสายตา จากนั้นเขาก็พยักหน้าให้อันเวยด้วยรอยยิ้ม “เนื่องจากเขาเป็นสหายของศิษย์น้องอันเวย ดังนั้นเขาจึงนับเป็นหนึ่งในพวกเรา เอาละ… นี่มันก็สายแล้ว ดังนั้นพวกเราออกเดินทางกันเถอะ”
แม้น้ำเสียงของเขาจะฟังดูสบาย ๆ แต่กลับแฝงไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ใส่ใจซึ่งซ่อนเร้นเอาไว้ และดูเหมือนว่าถ้าไม่ใช่เพราะอันเวยแนะนำเฉินซี เขาก็ไม่ได้คิดที่จะให้ความสนใจกับชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย
อันเวยเป็นคนเฉลียวฉลาด ดังนั้นเหตุใดนางจึงจะไม่สามารถแยกแยะความจริงเบื้องหลังคำพูดเหล่านี้ได้? ทว่าหญิงสาวก็ได้แต่หัวเราะเฝื่อน ก่อนที่นางจะกล่าวผ่านกระแสปราณว่า “ศิษย์พี่หลงมีนิสัยทะนงตัว ไม่ยอมใคร และมันเป็นเรื่องยากสำหรับคนธรรมดาที่จะเข้าตาเขา ศิษย์น้องเฉินซีทนสักหน่อยเถอะ เพราะมันน่าจะปลอดภัยกว่ามาก หากเรามุ่งหน้าไปยังเหวเงาทมิฬโดยมีเขาร่วมเดินทางไปด้วย”
เฉินซียิ้มตอบ และแสดงท่าทีว่าเขาไม่ได้ใส่ใจ หากแต่ในใจชายหนุ่มกลับคิดอีกอย่าง ว่านี่หรือคือสิ่งที่เรียกว่านิสัยทะนงตัวไม่ยอมใคร? เห็นได้ชัด ว่าคนผู้นี้คิดว่าตัวเองแข็งแกร่ง และมันก็นับว่าเป็นการหยิ่งผยองและถือดีก็เท่านั้น!
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เฉินซีเคยพบคนเช่นนี้มามากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจึงไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้
โอม!
พวกเขาทั้งสามเพิ่งเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติเมื่อแสงศักดิ์สิทธิ์ส่องประกาย และคนทั้งหมดก็หายไปทันที!
…
“รายงานท่านอาจารย์ เฉินซีได้จากไปแล้วขอรับ”
“โอ้? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขากำลังมุ่งหน้าไปที่ใด?”
“มันควรจะเป็นเหวเงาทมิฬ นอกจากนี้ หลงเจิ้นเป่ยและอันเวยก็ร่วมทางไปกับเขาด้วยขอรับ”
“หลงเจิ้นเป่ยและอันเวย? นั่นเป็นปัญหาเล็กน้อย หนึ่งในนั้นคือสัตว์ประหลาดที่ไร้เทียมทานจากเผ่ามังกรอสรพิษ ในขณะที่อีกคนเป็นอัจฉริยะที่ได้รับความโปรดปรานจากผู้อาวุโสอย่างสุดซึ้ง เจ้าเด็กเฉินซีคนนี้มีความสามารถอันใดกัน เหตุใดจึงสามารถเข้าร่วมกับพวกเขาได้?”
“ท่านอาจารย์ แล้วเราจะทำอย่างไรดีขอรับ?”
“ลืมมันซะ เราจะดำเนินตามแผนที่วางไว้และส่งข่าวนี้ไปยังนิกายอสูรวสันต์ยมโลก ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะต้องสนใจความลึกล้ำของมหาเต๋าแห่งปารามิตาและมหาเต๋าแห่งการลืมเลือนเป็นอย่างมากแน่!”
“ถ้าเช่นนั้น… นิกายวิถีกระแสสวรรค์ ควรจะได้รับแจ้งด้วยหรือไม่ขอรับ?”
“เจ้าไปเถอะ ข้าจะจัดการกับนิกายวิถีกระแสสวรรค์เป็นการส่วนตัวเอง”
“ขอรับ!”
ณ ยอดเขาจรัสตะวันออก ภายในศาลาคลังดาราอันยิ่งใหญ่ ปรมาจารย์สูงสุดแห่งยอดเขาจรัสตะวันออกเยว่ฉือ ได้ส่งศิษย์ที่ภักดีของเขาออกไป จากนั้นจึงกลับไปนั่งและหลับตาลง ก่อนที่จะเข้าสู่การไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง
“ปารามิตา การลืมเลือน… ข้าสงสัยว่าเจ้าเด็กคนนี้ได้หยั่งถึงมหาเต๋าแห่งจุดจบหรือไม่ แต่เนื่องจากเขาสามารถเข้าใจมหาเต๋าแห่งปารามิตาและมหาเต๋าแห่งการลืมเลือนได้ ดังนั้นจึงน่าเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิยมโลกที่ท่องไปทั่วสามภพอย่างอิสระอยู่ในยุคบรรพกาลผู้นั้น…” หลังจากผ่านไปนาน เยว่ฉือก็ลืมตาขึ้นและกล่าวพึมพำ “ช่างมันเถอะ ข้าจะปล่อยเรื่องนี้ให้นิกายอสูรวสันต์ยมโลกจัดการ หลังจากที่ข้ายืมมีดเพื่อฆ่าเฉินซีแล้ว หากพวกเขาได้รับเบาะแสในการได้รับมหาเต๋าแห่งจุดจบจากเจ้าเด็กคนนั้นจริง ๆ มันก็ยังไม่สายที่ข้าจะลงมือ…”
“ฮ่า ฮ่า เฉินซี โอ้ เฉินซี เจ้าอาจนึกไม่ถึงเลย ว่าจะต้องเผชิญกับอันตรายอะไรบ้างเมื่อออกจากนิกายในครั้งนี้ แต่เรื่องนี้มิอาจโทษข้าได้ ใครใช้ให้เจ้าทำให้ผู้คนมากมายขุ่นเคืองอย่างสุดซึ้งเล่า? เจ้าคงได้แต่โทษตัวเองว่าโง่เขลาเกินไปเท่านั้น!” เสียงพึมพึมที่แผ่วเบาและอึมครึมของเยว่ฉือ ล่องลอยอยู่ในศาลาที่ว่างเปล่า ในขณะที่เยว่ฉือก็นั่งตัวตรงอยู่ในเงามืด ซึ่งขับเน้นให้เขาน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิม เขาดูไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรในวิถีแห่งเซียน แต่กลับดูเหมือนผู้อาวุโสของนิกายอสูรมากกว่า!
…
เมืองเหมันต์บรรพกาล เมืองโบราณที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็น ณ บริเวณปลายสุดของทิศตะวันตก มันคือเมืองที่เก่าแก่และดำรงอยู่มาเนิ่นนานจนถึงปัจจุบัน ให้ความรู้สึกที่เก่าแก่และหนักอึ้ง
เมืองนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่และถูกปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งโดยสมบูรณ์ ถึงขนาดที่ว่าถนนและบ้านช่องต่างถูกสร้างด้วยน้ำแข็ง ทำให้มันแวววาวดั่งผลึกแก้วและมีความเย็นเล็ดลอดออกมา
หิมะสีขาวบริสุทธิ์ปกคลุมพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลด้วยน้ำแข็ง และเมืองนี้ก็เป็นเมืองแห่งน้ำแข็งอย่างแท้จริง
“เหวเงาทมิฬควรจะปรากฏออกมาสู่โลกหล้าแล้วมิใช่หรือ? เหตุใดเราถึงไม่พบตำแหน่งของภูเขาเก้าหอคอย? เป็นไปได้หรือไม่ ว่าเหวเงาทมิฬเป็นเพียงเรื่องเล่าขานในตำนาน มิฉะนั้น เหตุใดถึงไม่มีใครค้นพบเส้นทางที่จะเข้าไปได้?” บนท้องถนนที่สร้างจากน้ำแข็ง ผู้เยี่ยมยุทธ์หนุ่มสาวที่กล้าหาญและฮึกเหิมบางคนต่างเต็มไปด้วยความสงสัย พวกเขามาจากพื้นที่ต่าง ๆ ของแดนภวังค์ทมิฬ และได้อยู่ในเมืองน้ำแข็งโบราณแห่งนี้มาระยะหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถหาเส้นทางที่จะเข้าสู่ภูเขาเก้าหอคอยได้
“เจ้าไม่ควรกล่าวเช่นนั้น ภูเขาเก้าหอคอยเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในยุคบรรพกาลและเต็มไปด้วยความลี้ลับ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่เทพเจ้าพำนักและบ่มเพาะ เว้นแต่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวจะปรากฏขึ้นมาเอง มิฉะนั้น เราคงจะไม่สามารถค้นพบมันได้อย่างแน่นอน”
“ถูกต้อง มีเพียงต้องรอให้ภูเขาเก้าหอคอยปรากฏขึ้นเท่านั้น เราจึงจะสามารถค้นหาเส้นทางเข้าสู่เหวเงาทมิฬได้ ดังนั้นจงพักผ่อนและเฝ้ารอก็พอ เนื่องจากข่าวได้แพร่กระจายออกไปแล้ว บางทีภูเขาเก้าหอคอยอาจปรากฏขึ้นในอีกไม่นาน”
บางคนเชื่ออย่างสุดซึ้งว่าภูเขาเก้าหอคอยจะต้องปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน และเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น …ตราบใดที่ภูเขาเก้าหอคอยปรากฏขึ้น พวกเขาจะสามารถค้นหาเส้นทางเข้าสู่เหวเงาทมิฬได้
ผู้คนมากมายต่างเดินขวักไขว่ไปตามท้องถนนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมืองน้ำแข็งที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่แห่งนี้ เป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีประชากรมากมายอยู่นับไม่ถ้วน ทำให้มันจอแจ อึกทึกครึกโครม และเต็มไปด้วยผู้คน
และด้วยข่าวที่สะท้านโลกอย่างเรื่องที่เหวเงาทมิฬกำลังจะปรากฎในไม่ช้า เมืองแห่งนี้จึงยิ่งคึกคักมากขึ้น และทุกวันนี้ก็มีผู้เยี่ยมยุทธ์หลั่งไหลเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ
ศิษย์จากนิกายเซียน นิกายอสูร และตระกูลหรือเผ่าต่าง ๆ …พวกเขาทั้งหมดพากันถาโถมเข้ามาดั่งฝูงผึ้ง ซึ่งมันก็มากไปด้วยความหลากหลาย บ้างก็ดูเหมือนปีศาจแต่ก็ไม่ใช่ปีศาจ บ้างก็ดูเหมือนภูติผีแต่ก็ไม่ใช่ผี และวิญญาณที่เกิดตามธรรมชาติที่หาได้ยากก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองโบราณแห่งนี้เช่นกัน
เมื่อเฉินซี อันเวย และหลงเจิ้นเป่ยมาถึงเมืองเหมันต์บรรพกาล พวกเขาได้เห็นเผ่าพันธุ์มากมายที่มีลักษณะแปลกประหลาดซึ่งไม่เคยพบเห็นมาก่อน และด้วยพวกเขาทั้งหมดล้วนมีกลิ่นอายที่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง มันจึงดึงดูดความสนใจต่อผู้คนโดยรอบแทบจะในทันที
“มีผู้เยี่ยมยุทธ์อยู่มากมายนัก” เฉินซีกล่าวด้วยความประหลาดใจ
เขากวาดสายตาไปโดยรอบ สังเกตเห็นว่าในฝูงชนนั้นเต็มไปด้วยผู้แข็งแกร่ง และแม้แต่กลิ่นอายของผู้เยี่ยมยุทธ์บางคนก็เทียบได้กับหวังจ้งฮ่วน!
แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์เช่นนี้มีน้อยมาก ในบรรดาผู้คนนับร้อยคนที่อยู่ในบริเวณแห่งนี่ มีเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้นที่เป็นเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ มันก็น่าทึ่งพอสมควรแล้ว เพราะท้ายที่สุด แม้แต่ในขุมกำลังวิถีเซียนที่ไม่ธรรมดาอย่างนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง มันก็มีไม่กี่คนที่ร้ายกาจอย่างหวังจ้งฮ่วน!
แต่ ณ ปัจจุบัน คนเช่นนั้นกลับสามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนนของเมืองเหมันต์บรรพกาล ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่ามีผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายจากทั่วแดนภวังค์ทมิฬทั้งหมด ที่ถูกดึงดูดความสนใจจากการปรากฏตัวของเหวเงาทมิฬในครั้งนี้
“เหวเงาทมิฬได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งหลังจากผ่านไปนับหมื่นปี ดังนั้นมันจึงดึงดูดความสนใจของผู้เยี่ยมยุทธ์จากทั่วทุกหนทุกแห่งโดยธรรมชาติ ตามความเข้าใจของข้า ศิษย์ที่น่าเกรงขามและโดดเด่นบางคนของสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ หกนิกายอสูรและเผ่าจากยุคบรรพกาลต่างรีบรุดเพื่อมา และพวกเขาได้ถือยึดเหวเงาทมิฬแห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับฝึกฝนไปแล้ว” อันเวยพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย “นับว่าโชคดี ที่เราไม่ได้มาช้าไป และภูเขาเก้าหอคอยยังไม่ปรากฏ ดังนั้นเราจึงเลี่ยงจากการถูกคนอื่นแซงหน้า”
“ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีจะแทรกแซงหรือไม่?” เฉินซีเอ่ยถาม
“อย่าได้กังวล ตามความเข้าใจของข้า ทั้งสามภพกำลังจะเกิดกลียุค และผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีในแดนภวังค์ทมิฬทุกคนต่างกังวลถึงความปลอดภัยของตนเอง พวกเขาส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะปิดด่านบ่มเพาะ ดังนั้นพวกเราที่เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา จึงนับเป็นตัวตนสูงสุดภายในเมืองเหมันต์บรรพกาล และเราไม่มีเหตุผลที่จะต้องกังวลเลย” อันเวยอธิบายด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“ถ้าเช่นนั้นก็วิเศษ” เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเข้าร่วมในเรื่องนี้ ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาทั้งหมดจะได้รับประโยชน์ได้อย่างไร? มันคงเป็นการยากที่พวกเขาจะได้รับแม้เพียงเศษเสี้ยว!!
“ไปกันเถอะ เราจะไปที่ตำหนักเมฆาเยือกแข็งก่อน ศิษย์ของขุมพลังต่าง ๆ อาจรวมตัวกันที่นั่น ดังนั้นควรไปที่นั่นเพื่อตรวจดูสถานการณ์ เราจะได้รู้ว่าผู้แข็งแกร่งคนใดบ้าง ที่เข้าสู่เหวเงาทมิฬในครั้งนี้ จะได้ตระเตรียมรับมือไว้ล่วงหน้า” หลงเจิ้นเป่ยที่อยู่ใกล้ ๆ ชี้ไปยังระยะที่ไกลออกไปขณะที่เขาพูด
มันน่าตกใจนัก ที่มีตำหนักน้ำแข็งโปร่งแสงตั้งตระหง่านอยู่บนท้องฟ้าที่นั่น และมันถูกปกคลุมด้วยหมอกเงาภายใต้แสงแดด ทำให้มันโดดเด่นเป็นอย่างมาก