บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 636 ทุบตีด้วยพลังที่เหนือกว่า
บทที่ 636 ทุบตีด้วยพลังที่เหนือกว่า
ในขณะเดียวกัน คนอื่น ๆ ในห้องโถงก็จำตัวตนของเหล่าคนที่เพิ่งมาถึงได้ และพวกเขาทั้งหมดก็พากันขมวดคิ้ว ก่อนในที่สุดพวกเขาจะเข้าใจว่าทำไมชายหนุ่มคนนี้ถึงกล้าที่จะเอาแต่ใจเช่นนี้ เพราะการมีตระกูลไป๋หนุนหลังเขาอยู่นั้น มันได้สร้างความกลัวเกรงให้กับผู้อื่นเป็นอย่างมาก!
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วงก็มีชื่อเสียงในด้านการปกป้องคนในตระกูล ไม่ว่าใครจะถูกหรือผิด หากมีใครทำให้คนในตระกูลของพวกเขาขุ่นเคือง บุคคลนั้นจะถูกลงโทษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!
ดังนั้นในตอนนี้ ชายหนุ่มที่ชื่อไป๋กู่หนาน จึงเป็นดั่งอสุรกายที่น่าสะพรึงกลัว ที่ทำให้ใครก็ตามที่พบเจอต้องปวดเศียรเวียนเกล้าและวิตกกังวลว่าจะนำปัญหามาสู่ตน
“ไอ้หนู นี่เจ้าหูหนวกหรือไร!?” คนที่อยู่ข้าง ๆ ไป๋กู่หนานตะโกนออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้ติดตามของไป๋กู่หนาน
การกระทำนี้ ทำให้เฉินซีอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจ ดวงตาของเขากวาดออกไป ในขณะที่กลิ่นอายรุนแรงพลันปะทุออกมาจากร่างกาย จากนั้นชายหนุ่มก็ได้ผิวปากออกมาราวกับมังกรที่ออกจากรัง ซึ่งมันก็แฝงไปด้วยกลิ่นอายสังหารอันดุเดือด ทำให้เพียงพริบตาเดียว คนไม่กี่คนที่ได้รับผลกระทบก็พากันเลือดลมสูบฉีดและเซไปด้านหลัง ซึ่งนอกจากไป๋กู่หนานที่เป็นผู้นำแล้ว สีหน้าของพวกเขาทั้งหมดก็ซีดเซียว คล้ายกับว่ากำลังจะกระอักเลือดออกมา
ทุกคนตกล้วนตะลึง เพราะพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อน ว่าเฉินซีจะไม่แยแสต่อคนของตระกูลไป๋ และลงมือโดยตรง! ยิ่งไปกว่านั้น เขายังลงมืออย่างดุร้าย และเขย่าคนพวกนั้นเสียจนเซไปด้านหลังราวกับใบไม้ตายแล้วที่ต้องลมพายุ ทำให้พวกมันอยู่ในสภาพที่น่าอับอายเป็นอย่างยิ่ง
การกระทำเหล่านี้ตรงไปตรงมานัก มันยิ่งกว่าตอนที่เขาทุบตีสี่พี่น้องฉลามมังกรก่อนหน้านี้เสียอีก และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ให้ความสำคัญต่อคนของตระกูลไป๋เสียด้วยซ้ำ
“บังอาจ! เจ้ากล้าทำร้ายคนของข้า เจ้าตายแล้ว! ตอนนี้ไม่มีใครในโลกที่ช่วยเจ้าได้แล้ว!” ดวงตาของไป๋กู่หนานราวกับสายฟ้าฟาด ในขณะที่เขาตะโกนออกมาอย่างชั่วร้าย
ทว่าเฉินซีกลับคำรามอย่างเย็นชา ในขณะที่เขายืนขึ้นอย่างกะทันหัน จากนั้นชายหนุ่มก็ยื่นมือออกไป ทำให้อักขระยันต์พวยพุ่งและควบแน่นเป็นสัญลักษณ์โบราณที่ส่งเสียงดังกึกก้อง ก่อนจะคว้าไปที่ไป๋กู่หนานโดยตรง และตบเขาอย่างรุนแรง!
ทุกคนในห้องโถงต่างตกใจ ตอนนี้เฉินซีกำลังแส่หาหายนะอย่างแท้จริง เขากล้าตบไป๋กู่หนานเช่นนี้จริง ๆ! หากตระกูลไป๋ทราบถึงเรื่องนี้เข้า พวกเขาจะต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน
และเหตุผลนั้นก็ง่ายมาก ด้วยพวกเขาต่างรู้เป็นอย่างดี ว่าตระกูลไป๋นั้นปกป้องคนของตัวเองและกระทำตามอำเภอใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าความแข็งแกร่งของไป๋กู่หนานจะไม่อาจเทียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับสูงบางคน แต่เหตุผลที่เขากล้าโอหัง ก็เป็นเพราะเขาคือหลานชายของผู้อาวุโสตระกูลไป๋ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าล่วงเกิน!
แม้กระทั่งคนของนิกายอสูรก็รู้สึกว่าคนของตระกูลไป๋นั้นรับมือยาก ไม่อาจทำสิ่งใดด้วยได้ เนื่องจากแดนภวังค์ทมิฬนั้นมีขุมพลังระดับจ้าวเหนือหัวที่ได้รับการปกป้องเหมือนตระกูลไป๋ไม่มากนัก และไม่ใช่เรื่องเกินจริงหากจะบอกว่าตระกูลไป๋จะแก้แค้นแน่แม้ต้นเหตุจะมาจากความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตามที
การล่วงเกินตระกูลไป๋นั้นเป็นเรื่องที่น่าสยดสยอง ซึ่งไม่ว่าใครก็ตามจะต้องรับผลที่ตามมาอย่างหนักหน่วง แม้ว่าคนผู้นั้นจะสามารถรอดพ้นจากความตายได้ก็ตาม!
แต่ทั้งหมดนี้กลับไม่มีอำนาจพอจะยับยั้งเฉินซีเลยสักนิด และอาจกล่าวได้ว่า เป็นไปได้มากที่ชายผู้หยิ่งยโสและโอหังคนนี้ อาจมีความสัมพันธ์ที่ห่าง ๆ กับเขา
ท้ายที่สุด ไป๋หว่านฉิงก็เป็นน้องสาวของผู้นำตระกูลไป๋ ซึ่งนางไม่เพียงแต่ดูแลเขาเท่านั้น ทว่านางยังมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับบุพการีของเขา และมันถึงขนาดที่ว่าความเข้าใจของนางที่มีต่อบุพการีของเขา ยังลึกซึ้งกว่าเขาที่เป็นบุตรชายเสียด้วยซ้ำ!!
นอกจากนี้ เหตุผลที่เฉินซีมายังแดนภวังค์ทมิฬก็เพื่อพบกับไป๋หว่านฉิง และหาเบาะแสเกี่ยวกับที่อยู่ของบุพการีของตน ซึ่งด้วยความสัมพันธ์ระดับนี้ เฉินซีจะอดกลั้นได้อย่างไรเมื่อไป๋กู่หนานทำให้เขาขุ่นเคืองในตอนนี้?
ไม่ต้องพูดถึงตอนที่ไป๋กังศิษย์ของตระกูลไป๋มาถึงยอดเขาจรัสตะวันตกเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ที่อีกฝ่ายยังถูกทุบตีจนถึงจุดที่ยอมรับความพ่ายแพ้ ดังนั้นจะนับประสาอะไรกับไป๋กู่หนานที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขา?
“ในเมื่อมันทำให้ข้าขุ่นเคือง ข้าก็จะทุบตีมันเช่นกัน!”
“เจ้ากล้าทำร้ายข้า….” หลังจากที่ไป๋กู่หนานถูกเฉินซีปล่อยไป ดวงตาของเขาก็ฉายแววดุร้าย และเจ้าตัวก็โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก ซึ่งด้วยตัวตนของเขาแล้ว ปรกติมันต้องเป็นตัวเขาไม้ใช่หรือที่รังแกคนอื่นอยู่เสมอ แล้วเขาจะถูกคนอื่นรังแกได้อย่างไรกัน?
“บิดามารดาของเจ้าเคยรู้ไหม ว่าเจ้านั้นหยิ่งยโสโอหังถึงเพียงใดเมื่ออยู่นอกตระกูล?” ในขณะที่พูด เฉินซีก็ยกมือขึ้นและดึงไป๋กู่หนานเข้ามา จากนั้นจึงตบเขาอย่างรุนแรงอีกครั้ง และเสียงตบนี้ก็ดังก้องไปทั่วห้องโถง “ในเมื่อเจ้าทำให้ข้าขุ่นเคือง เจ้าก็สมควรได้รับความโชคร้ายนี้แล้ว”
ทุกคนในห้องโถงตะลึง เฉินซีเสียสติไปแล้วหรือ? เขาได้ล่วงเกินตระกูลไป๋อย่างสิ้นเชิง และแม้ว่าเขาจะมีนิกายกระบี่เก้าเรืองรองหนุนหลังอยู่ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรับประกันความปลอดภัยของเขา…
หลงเจิ้นเป่ยหอบหายใจและอ้าปากค้าง ถึงแม้ด้วยตัวตนอย่างเขา เขาก็ไม่กล้าที่จะขัดแย้งกับคนของตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วง แต่เฉินซีกลับตบพวกเขาโดยตรง!
“ปล่อยข้าซะ!” ไป๋กู่หนานร้องลั่นด้วยความโกรธ และจิตใจของเขาก็มึนงงเล็กน้อยจากการถูกตบ เพราะนับตั้งแต่เขายังเด็กจนถึงขณะนี้ เขาก็มักพึ่งพาพลังของตระกูลอยู่เสมอ และเขาไม่เคยเจอคนดุร้ายที่หยิ่งผยองและไร้ความกลัวเช่นนี้! ทำให้ไป๋กู่หนานแทบไม่กล้าเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง!
สหายของเขาก็ตกตะลึงเช่นกัน โดยปกติแล้วพวกเขามักติดตามไป๋กู่หนานอยู่ข้าง ๆ และคอยสร้างปัญหาให้กับผู้คนไปนับไม่ถ้วน พวกเขาต่างเที่ยวเตร่อย่างอิสระและมีความสุขอย่างยิ่ง แม้นพวกเขาจะพบกับคนที่แข็งแกร่ง ตราบใดที่พวกเขาพูดชื่อตระกูลของพวกเขาออกไป คนผู้นั้นก็จะเดินจากไปเช่นกัน และมันก็เป็นดั่งหลักประกันที่ไม่เคยทำให้พวกเขาผิดหวังซักครั้ง!
ดังนั้นแล้วพวกเขาไหนเลยจะคาดคิดมาก่อน ว่าพวกเขาจะได้พบกับคนดุร้ายที่ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดในวันนี้ และอีกฝ่ายกระทั่งลงมือทุบตีโดยไม่สนใจต่อตัวตนของพวกเขาแม้แต่น้อย!
เพียะ! เพียะ!
เฉินซีคว้าโอกาสนี้และตบอีกสองสามครั้งติดต่อกัน ทำให้เลือดไหลออกจากปากและจมูกของไป๋กู่หนาน จนใบหน้าของเขาบวมเป่ง แทบจำไม่ได้
การกระทำเช่นนี้ แม้แต่เหลิงฉานเอ๋อร์ที่อยู่ใกล้ ๆ ก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย มันไม่แปลกถ้าเขาไม่รู้ต้นกำเนิดของไป๋กู่หนาน แต่ใครจะกล้าล่วงเกินไป๋กู่หนานหลังจากที่รู้เรื่องนี้? ทว่าเฉินซีก็ทำเช่นนั้นจริง ๆ
ทันใดนั้น นางก็เข้าใจว่าเหตุใดเฉินซีถึงปฏิเสธความหวังดีของนางอย่างหนักแน่น และไม่ยอมแพ้แม้แต่น้อยเมื่อเผชิญหน้ากับปิงซื่อเทียน!
ความกล้าหาญถึงขั้นทุบตีคนของตระกูลไป๋นี้ ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะมีได้ อาจเป็นเพราะไม่มีความกลัวอยู่ในใจ จึงทำให้เขาเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญ?
“หยุดมือซะ!” ศิษย์ตระกูลไป๋ไม่กี่คนที่ถูกเขย่าก่อนหน้านี้ ได้หายจากอาการตกใจในที่สุด และพวกเขาก็ตะโกนออกมาอย่างดุเดือด ในขณะที่พวกเขาพุ่งไปข้างหน้า
ฉับพลันนั้น เฉินซีได้เงยหน้าขึ้นด้วยดวงตาเย็นยะเยือก ส่งพลังที่ไร้รูปร่างให้ส่งเสียงดังก้องและทุบใส่พวกเขาราวกับค้อนที่หนักยิ่ง ทำให้พวกเขาปลิวว่อนกลับไปอีกครั้งและกระอักเลือดออกมาอย่างไม่รู้จบ
ทุกคนต่างตกตะลึง แรงกดดันนี้มหาศาลถึงเพียงใด? เขายังไม่ทันได้ขยับตัวและอาศัยเพียงกลิ่นอายเท่านั้น ศิษย์ของตระกูลไป๋ก็ปลิวว่อนดั่งว่าวที่สายป่านขาดแล้วหรือ!?
‘ฮึ่ม! พวกมันก็แค่เศษขยะเท่านั้น ถ้าพวกมันไม่ใช่ศิษย์ของตระกูลไป๋ ข้าก็สามารถทำได้เช่นกัน’ หลงเจิ้นเป่ยที่อยู่ห่างออกไปคำรามอย่างเย็นชาในใจ และเขาไม่พอใจที่เฉินซีได้รับความสนใจจากผู้คนมากมาย!
“ปล่อยข้าไป!” เมื่อเห็นฉากนี้ ใบหน้าของไป๋กู่หนานก็เต็มไปด้วยความตกใจเช่นกัน และในที่สุดเขาก็รู้ตัว ว่าตนเองกำลังเผชิญกับคนที่ดุร้ายในครั้งนี้ เพราะในเมื่อเฉินซีกล้าที่จะลงมือกับเขาอย่างไม่เกรงกลัว มันย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายจะต้องมีบางอย่างที่พึ่งพาได้!
“ไสหัวไปซะ หากวันข้างหน้า เจ้ายังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมเช่นนี้อีก ข้าจะทุบตีเจ้าทุกครั้งที่เจอ จนกว่าเจ้าจะแก้ไขข้อบกพร่องของเจ้าได้” เฉินซีหยุดในเวลาที่เหมาะสมและไม่ตั้งใจจะสร้างปัญหาให้กับไป๋กู่หนานมากเกินไป เพราะท้ายที่สุด ไป๋กู่หนานก็เป็นคนของตระกูลไป๋ และเพื่อเห็นแก่หน้าของไป๋หว่านฉิง ชายหนุ่มจึงหยุดมือแต่เพียงเท่านี้
ทุกคนตกตะลึงอีกครั้ง ทำไมถ้อยคำเหล่านี้จึงดูเหมือนถ้อยคำที่ศิษย์พี่สั่งสอนศิษย์น้องกัน? นี่เขาไม่กระทำตามอำเภอใจเกินไปหน่อยเหรอ? หรือเขาไม่กลัวการแก้แค้นของตระกูลไป๋จริง ๆ?
ไป๋กู่หนานทั้งโกรธและอับอาย เพราะเขาต้องมาอับอายขายหน้าต่อหน้าผู้คนและต่อหน้าองค์หญิงเหลิงฉานเอ๋อร์ที่เฝ้าไล่ตาม ซึ่งนั่นทำให้ไป๋กู่หนานไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากหาโพรงและขุดทางเข้าไป ยิ่งไปกว่านั้น เขายังโกรธเกรี้ยวจนกัดฟันแทบจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ และเกลียดเฉินซีเข้ากระดูกดำเป็นอย่างยิ่ง!
“ไอ้หนู ฝากไว้ก่อนเถอะ!” ไป๋กู่หนานและคนอื่น ๆ ต่างลากสังขารที่บาดเจ็บจากไปอย่างเร่งรีบ ซึ่งเขาเพียงกล้าที่จะกล่าวคำข่มขู่ก่อนที่จะจากไปเท่านั้น ทำให้เห็นได้ชัดว่าไป๋กู่หนานหวาดกลัวต่อเฉินซีถึงเพียงใด
ชั้นสูงสุดของตำหนักเมฆาเยือกแข็งพลันเงียบสนิทและไม่มีใครพูดอะไรเป็นเวลานานหลังจากนั้น
เฉินซีคนนี้คือใครกันแน่? ไม่เพียงแต่เขาพัวพันกับบุคคลสำคัญเช่นชิงซิ่วอี้และปิงซื่อเทียนเท่านั้น อีกฝ่ายยังทุบตีเหล่าศิษย์ของตระกูลไป๋อย่างไม่เกรงกลัวอีกด้วย เขาช่างโอหังจนถึงขีดสุด!
ในขณะนี้ สายตาที่ทุกคนที่จ้องมองเฉินซีได้เปลี่ยนไป เพราะคนที่ดุร้ายและแข็งแกร่งดังกล่าว เพิ่งปรากฏขึ้นโดยที่พวกเขาไม่รู้จักมาก่อน นับว่าเขาซ่อนความสามารถของเขาไว้อย่างลึกซึ้งจริง ๆ!
ดวงตาที่เต็มไปด้วยดวงดาวของเหลิงฉานเอ๋อร์พลันส่องประกายและประสานเข้ากับเฉินซี ราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา และหญิงสาวก็ได้แสดงท่าทางแปลก ๆ ออกมา “ข้าขอยอมรับว่าก่อนหน้านี้ข้าประเมินเจ้าต่ำไปเล็กน้อย แต่ความสามารถเพียงเล็กน้อยนี้ มันก็ยังห่างไกลที่จะเอาชนะใต้เท้าปิงซื่อเทียนได้”
“งั้นเรามารอดูกัน” เฉินซีหยิบจอกสุราขึ้นมาดื่มจนหมด สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง
“ฮ่า ฮ่า ถ้าอย่างนั้นข้าขอให้เจ้าโชคดี” เมื่อนางเห็นชายคนนี้ยังคงดื้อรั้น เหลิงฉานเอ๋อร์ก็ไม่อาจกล่าวอะไรได้อีก และนางก็ยิ้มอย่างอ่อนหวานราวกับดอกไม้ที่เพิ่งผลิบาน ซึ่งมีเสน่ห์และพร่างพราวยิ่งก่อนกล่าว “แต่ข้าแนะนำให้เจ้าจากไปโดยเร็ว มิฉะนั้นผู้เยี่ยมยุทธ์ของตระกูลไป๋อาจมาสร้างปัญหาให้กับเจ้า”
“ขอบคุณที่เตือน” เฉินซียกจอกสุราขึ้นและคารวะให้กับเหลิงฉานเอ๋อร์ ก่อนที่จะดื่มให้หมดอีกครั้ง แต่มันก็ไม่มีวี่แววที่ชายหนุ่มจะจากไปแต่อย่างใด
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เหลิงฉานเอ๋อร์พลันยืนขึ้นทันที ทว่าก่อนที่นางจะจากไป จู่ ๆ นางก็กล่าวคำแปลก ๆ ผ่านกระแสปราณ “คนของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ที่มาสำรวจเหวเงาทมิฬในครั้งนี้ ไม่ได้จำกัดเฉพาะคนที่เจ้าเห็นตรงหน้าเหล่านี้เท่านั้น” ทันทีที่นางพูดจบ ลมที่มีกลิ่นหอมก็พัดโชยมา ในขณะที่ตัวของหญิงสาวก็กลับมานั่งที่เดิมอย่างกระสับกระส่าย
เฉินซียิ้มและปฏิบัติต่อมันด้วยความเฉยเมย
ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาออกจากนิกายและฆ่าอสูรไก่ฟ้าทมิฬทั้งเจ็ด เขาก็รู้สิ่งหนึ่งอย่างชัดเจน ว่าผู้อาวุโสเยว่ฉือจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองได้สมรู้ร่วมคิดกับปิงซื่อเทียนอย่างลับ ๆ เพื่อประโยชน์ในการจัดการกับเขาด้วยวิธีการที่น่ารังเกียจ!
ดังนั้นเมื่อชายหนุ่มออกจากนิกาย เพื่อมุ่งหน้าสู่เหวเงาทมิฬในครั้งนี้ เขาจึงได้เตรียมการไว้นานแล้วและระมัดระวังต่อทุกสิ่งที่ปิงซื่อเทียนอาจทำ ตอนนี้เมื่อเหลิงฉานเอ๋อร์พูดคำเหล่านี้ออกมา มันก็ทำให้เฉินซีแน่ใจต่อความคิดของตนเองมากขึ้น ทว่ามันก็ยังห่างไกลที่จะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเกรงกลัว!
ครืนนน!
ในขณะนี้ คลื่นลมแรงต่างโหมกระหน่ำ ในขณะที่ปราณอสูรพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และพัดผ่านทั่วทั้งห้องโถง ทำให้ชั้นสูงสุดของตำหนักเมฆาเยือกแข็งสั่นสะเทือน
หลังจากนั้น แสงสีดำสนิทดุจกระแสน้ำก็พุ่งเข้ามาในห้องโถง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มผอมแห้งที่เดินก้าวยาวและแข็งแรง ไปพร้อมกับแผ่ปราณอสูรขนาดมหึมาและเจตนาฆ่าที่พลุ่งพล่านออกมา!
“ผู้เยี่ยมยุทธ์ของเผ่าฉลามมังกร!” ทันทีที่ทุกคนเห็นชัด พวกเขาก็รู้ทันที ว่าอีกฝ่ายน่าจะมาเพื่อล้างแค้นให้กับสี่พี่น้องฉลามมังกรอย่างแน่นอน
“เจ้าเป็นคนทำร้ายน้องชายทั้งสี่คนของข้าก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่?!” ชายหนุ่มผอมแห้งจ้องมองเฉินซีด้วยสายตาอันน่าสยดสยองและเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า ซึ่งร่างกายของเขาก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีดำ ในขณะที่เจตนาฆ่าของเขาก็พวยพุ่งราวกับกระแสน้ำ ทำให้ตัวคนดูเหมือนเทพปีศาจ และทำให้แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังต้องคร่ำครวญ
ในขณะนี้ เมื่อเห็นว่ามีคนมาหาเรื่องอีกแล้ว เฉินซีพลันรู้สึกไม่สบายและเหนื่อยล้าเล็กน้อย เพราะตั้งแต่เข้ามาในห้องโถง ปัญหาก็เข้ามาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และมันก็ทำให้เขารู้สึกรำคาญเล็กน้อย ดังนั้นชายหนุ่มจึงตัดสินใจว่าจะออกจากที่นี่และไม่กลับมาอีก!