บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 644 มหาขุมทรัพย์ทั้งสาม
บทที่ 644 มหาขุมทรัพย์ทั้งสาม
ริ้วแสงพราวประกายส่งเสียงหวีดหวิวยามเคลื่อนผ่านท้องฟ้าดังกระแสน้ำกลางคลื่น พัดพาให้ทั้งฟ้าดินปั่นป่วน
เฉินซีถอนหายใจเสียงยาวขณะที่โบยบินท่ามกลางกลุ่มริ้วแสงหนาแน่นนั้น เขานึกในใจว่าการบ่มเพาะเพื่อเข้าสู่วิถีเซียนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแม้แต่น้อย เพราะเพื่อที่จะเป็นอมตะแล้ว ไม่เพียงจะต้องเอาชนะเต๋าแห่งสวรรค์เท่านั้น หากแต่ยังต้องสละทุกวันเวลาไปกับการแข่งขันที่ดุเดือดและร่วมต่อสู้กับผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ
ขณะนี้ มันราวกับนักรบผู้กล้าหลายพันคนกำลังข้ามสะพานซึ่งทำจากไม้กระดานเพียงแผ่นเดียว ไม่ว่าใครก็ต้องการที่จะก้าวไปยังอีกฟากหนึ่ง และเมื่อเหยียบเท้าลงบนสะพานแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจหลุดพ้นไปจากการแก่งแย่งชิงดีที่ไม่มีวันสิ้นสุดนี้ได้
หากพวกเขาต้องการไปให้ถึงปลายทาง ไม่เพียงแต่จะต้องมีความกล้าที่จะก้าวไปเบื้องหน้าอย่างทระนงเท่านั้น หากแต่ยังต้องเผชิญกับการเข่นฆ่าและการแย่งแย่งที่โหดร้าย มีเพียงผู้ชนะที่จะได้ขึ้นเป็นใหญ่ ในขณะที่ผู้พ่ายไม่อาจหลงเหลือซึ่งเกียรติยศศักดิ์ศรี!
“ศิษย์พี่อันเวย แม้ว่าเหวเงาทมิฬจะมีความลับมากมายและสมบัติล้ำค่านับไม่ถ้วนอย่างชิ้นส่วนมหาเต๋าอยู่ แต่มันก็ไม่ได้ดึงดูดผู้คนมากนักใช่หรือไม่?” ผ่านไปไม่นาน เฉินซีก็สังเกตเห็นความไม่สมเหตุสมผลบางอย่าง แดนภวังค์ทมิฬนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ดังนั้น หากพูดตามตรรกะแล้ว มันควรจะมีดินแดนเร้นลับเช่นเหวเงาทมิฬอยู่มากมาย
ทว่าสิ่งที่เขาเห็นในยามนี้ คล้ายว่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากทั่วทุกมุมโลกจะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ชายหนุ่มจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าที่แห่งนี้จะมีความลับอื่นซ่อนเร้นอยู่หรือไม่?
อันเวยผลิยิ้มบาง คล้ายว่านางรอให้เขาถามเช่นนี้อยู่นานทีเดียว ริมฝีปากแดงระเรื่อของหญิงสาวขยับเบา ๆ “ถ้าพูดถึงเพียงชิ้นส่วนมหาเต๋า แน่นอนว่ามันย่อมไม่อาจดึงดูดใจผู้เยี่ยมยุทธ์ได้มากมาย…”
เหวเงาทมิฬดำรงอยู่มาตั้งแต่บรรพกาลจนถึงตอนนี้ ที่นี่หาได้มีเพียงชิ้นส่วนมหาเต๋าที่ต้นเงาทมิฬศักดิ์สิทธิ์ผลัดทิ้งเอาไว้หลังแห้งตายเท่านั้น หากยังมีสถานที่ลึกลับและยากหยั่งถึงซึ่งซุกซ่อนความลับเอาไว้จำนวนมาก รวมไปถึงบางสิ่งบางอย่างที่อาจสร้างความสั่นสะเทือนไปถึงสวรรค์
สถานที่ลึกลับที่ว่านั่นคงอยู่มาเป็นเวลายาวนานนับแต่ยุคโบราณ ยอดคนผู้มีอิทธิพลต่อสามภพจำนวนมากเคยเข้าไปยังที่แห่งนั้นมาแล้ว หากมันมีเพียงชิ้นส่วนมหาเต๋าอย่างเดียวแล้วละก็ คงไม่สามารถดึงดูดความสนใจของคนเหล่านั้นได้ถึงเพียงนี้
ตามที่อันเวยกล่าว ที่นี่มีสถานที่อยู่สามแห่งที่มีความลึกลับและยากหยั่งถึงที่สุดเหวเงาทมิฬ ได้แก่หนึ่งอาณาจักร หนึ่งเขตแดน และหนึ่งด่าน
คำว่าอาณาจักรหมายถึงอาณาจักรเร้นลับเงาทมิฬ ที่แห่งนี้สั่งสมชิ้นส่วนมหาเต๋าจำนวนมากไว้ใต้ต้นเงาทมิฬศักดิ์สิทธิ์ที่แห้งตาย
ส่วนคำว่าเขตแดนนั้น หมายถึงดินแดนรังสรรค์กระบี่ มันเป็นสถานที่ลึกลับซึ่งถูกทิ้งร้างโดยสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคบรรพกาล สิ่งมีชีวิตนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ชั้นยอดที่รวมพลังกับต้นเงาทมิฬศักดิ์สิทธิ์เพื่อต่อต้านหายนะในสามภพ
หลังเหตุการณ์หายนะครั้งใหญ่ ต้นเงาทมิฬศักดิ์สิทธิ์ได้ทิ้งเศษเสี้ยววิญญาณไว้เบื้องหลัง ในขณะที่สิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่นี้กลับไม่ได้โชคดีเช่นนั้น เขาหลงเหลือไว้เพียงดินแดนที่เป็นดังมรดกตกทอดและถูกลบล้างชื่อไปหมดสิ้นภายใต้กระแสลมแห่งกาลเวลา
สถานที่แห่งนั้นก็คือดินแดนรังสรรค์กระบี่อันลึกลับ มันเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่นำพาให้บุคคลสำคัญมากมายหลั่งไหลเข้ามาในเหวเงาทมิฬ
ขณะที่ด่านหมายถึงด่านแห่งความลึกล้ำ ที่ไม่เพียงแต่ซุกซ่อนไปด้วยชิ้นส่วนมหาเต๋าเท่านั้น ทว่ายังเปี่ยมไปด้วยสุดยอดสมบัติลับที่เพียงพอจะล่อลวงให้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสามภพเกิดความละโมบ!
อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดสามารถยืนยันได้ว่าสมบัติลับเหล่านั้นมีอยู่จริงหรือไม่ มีเพียงข่าวลือเท่านั้นที่สืบทอดกันมาอย่างปาก ทว่าแทบไม่มีใครเคยได้เห็นจริงกับสายตา
หนึ่งอาณาจักร หนึ่งเขตแดน หนึ่งด่าน สามสิ่งนี้คือสุดยอดขุมทรัพย์ที่ลึกลับที่สุดของเหวเงาทมิฬ จริงอยู่ที่ความลับของสถานที่แห่งนี้หาได้จำกัดอยู่เพียงขุมทรัพย์ทั้งสาม แต่หากเปรียบเทียบความคุ้มค่าแล้ว สถานที่สามแห่งนี้สามารถกระตุ้นความปรารถนาของเบื้องลึกภายในจิตใจได้มากที่สุด
สาเหตุที่ผู้เยี่ยมยุทธ์จำนวนมากปรากฏขึ้นภายในเหวเงาทมิฬอย่างต่อเนื่องก็เป็นเพราะสิ่งเหล่านี้
หลังจากที่เฉินซีเข้าใจถึงความลับดังกล่าวแล้ว ความคิดหนึ่งก็พลันแล่นเข้าไปในหัว เขาสงสัยว่าแล้วผนึกแก้วศักดิ์สิทธิ์โกลาหลจะซ่อนอยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่
“อย่าถือสากันเลยนะศิษย์น้องเฉิน ข้าเองก็เพิ่งจะรู้ความลับนี้เช่นกัน” ดวงตาใสของอันเวยวาววับขณะที่พูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“ศิษย์พี่ ท่านคิดมากไปแล้ว” เฉินซียิ้ม
“ฮึ่ม! ศิษย์น้องเฉิน ที่ข้าเคยช่วยเจ้าสังหารไอ้สารเลวจากเกาะปีศาจฉลามมังกรตอนที่อยู่ตำหนักเมฆาเยือกแข็งก็เพราะเห็นว่าเราเป็นศิษย์ร่วมนิกายกัน แต่หลังจากที่เข้าไปในเหวเงาทมิฬแล้ว ก็อย่าได้ตำหนิข้าเลยหากข้าจะเมินเฉยต่อความหุนหันพลันแล่นของเจ้า” หลงเจิ้นเป่ยกัดฟันพูด เขารู้สึกขัดหูขัดตาทุกครั้งที่เห็นเฉินซีกับอันเวยพูดคุยกับ เหมือนว่าเขาจะกินไม่ได้นอนไม่หลับหากไม่ได้ลองยั่วโทสะเฉินซีดูสักครั้ง
“นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ทันทีที่พวกเราเข้าไปในเหวเงาทมิฬ ข้าจะร่วมมือกับศิษย์พี่ทั้งสองเพื่อต่อสู้กับฝ่ายอื่น ๆ อย่างตั้งใจ” เฉินซีตอบด้วยรอยยิ้ม
หลงเจิ้นเป่ยรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยยิ้มของเฉินซี เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉากที่เกิดขึ้นในตำหนักเมฆาเยือกแข็งเมื่อสามวันก่อน เสียงของคำว่า ‘อย่างกับลิง’ ดังก้องซ้ำๆ อีกครั้งภายในโสตประสาท
ริมฝีปากของหลงเจิ้นเป่ยสั่นระริกอย่างช่วยไม่ได้ ความคิดเดิม ๆ ผุดขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชายหนุ่มสั่นหัวคลอน พยายามสลัดความคิดนั้นออกไปจากใจ ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นอย่างเย็นชาอีกครั้ง “ดีแล้ว ตราบใดที่เจ้าเข้าใจ”
เฉินซีหัวเราะ แม้ว่ามุมมองที่อีกฝ่ายมีต่อเขาจะไม่เป็นมิตรนัก แต่อย่างไรก็ดี หลงเจิ้นเป่ยก็ยังมีสิ่งสำคัญที่ยึดถืออยู่ในใจ นั่นคือการที่เขาจะยืนหยัดอย่างเด็ดเดี่ยวเพื่อปกป้องชื่อเสียงของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเมื่อเผชิญกับศัตรูภายนอก นั่นทำให้เฉินซีไม่ได้มองเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจ
อย่างมากที่สุด ก็อาจเป็นเพียงความขัดแย้งเล็กน้อยระหว่างศิษย์ร่วมนิกาย
อันเวยเหลือบมองคนทั้งสองด้วยความประหลาดใจ นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามีความบาดหมางบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง ซึ่งดูจากสถานการณ์แล้ว เหมือนว่าหลงเจิ้นเป่ยจะเป็นฝ่ายขุ่นเคืองในตัวเฉินซี
“โอ้นั่น… นั่นคือเหวเงาทมิฬ!” ระหว่างการสนทนา ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงภูเขาเก้าหอคอยโดยไม่รู้ตัว และตอนนี้เอง ฝูงชนจำนวนไม่ต่ำกว่าสามพันคนก็กำลังยืนอยู่เหนือยอดภูเขาศักดิ์สิทธิ์อันเลื่องชื่อนับแต่บรรพกาล
เสียงอุทานด้วยความตกใจดึงดูดความสนใจของเฉินซีรวมถึงคนอื่น ๆ พวกเขากวาดมองไปรอบ ๆ และอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงต่อภาพเบื้องหน้า
ด้านหลังของภูเขาเก้าหอคอยปกคลุมไปด้วยทะเลยแห่งเมฆหมอกอันกว้างไกลไร้ขอบเขต ภายใต้กลุ่มเมฆเหล่านั้น พร่างประกายด้วยหมู่ดารามากมายที่กำลังโคจรเป็นวัฏจักร
ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ดารดาษโคจรรอบกับและกับ มอบแสงสว่างพริบพรายให้แก่ผืนฟ้าภายในทะเลแห่งเมฆ เสกสรรให้ดินแดนไพศาลซึ่งเป็นเอกเทศนี้เรืองรัศมีแห่งความวิจิตรงดงาม
แสงอันอุ่นร้อนจากดวงรวีเป็นเสมือนเปลวเพลิงโหมไหม้ ขณะที่ความเย็นเยือกจากดวงจันทร์เป็นดังคลื่นน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ สรรสร้างให้หมู่เมฆนี้เป็นดินแดนของเปลวไฟและน้ำแข็ง
บางครั้งเปลวไฟก็ลุกโชนพื้นที่โดยรอบ ทำให้เกิดลมพายุร้อนเร่าพัดออกไป บางคราน้ำแข็งอันเยือกเย็นก็ปกคลุมไปทั้งฟ้าดิน และก่อตัวเป็นพายุเยือกแข็งที่โหมกระหน่ำ
ท่ามกลางพายุของเพลิงกาฬและน้ำแข็ง ฝูงอีกาทองคำขนาดมหึมากระพือปีกโบกบิน ขณะที่ยักษ์น้ำแข็งหลายตัวกำลังร้องคำรามพร้อมขยับเยื้องย่าง กลายเป็นภาพความวับวาวอันแสนลางเลือน
ฉายที่งดงามนี้ตราตรึงยังสายตาของผู้พบเห็น พวกเขาไม่อาจละไปจากภาพเบื้องหน้าได้เลย
“งดงาม… ปั่นป่วน… และตราตรึง… ให้ตายเถิด! นี่คือกฎแห่งผืนพิภพที่มีเพียงเทพเซียนบรรพกาลเท่านั้นที่สามารถครอบครองได้ เหวเงาทมิฬเบื้องหน้าเรานี้ได้สร้างปาฏิหาริย์แห่งสายธารกาลเวลาและมอบสติปัญญาแก่ทุกสรรพสิ่ง ช่างอลังการยิ่งนัก!”
“สิ่งนี้เกิดขึ้นจากกฎแห่งผืนพิภพที่ต้นเงาทมิฬศักดิ์สิทธิ์ครอบครองอยู่ไม่ผิดแน่ มีเพียงต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมระหว่างมิติเซียนและมิติมนุษย์ในยุคบรรพกาลเท่านั้น ที่สามารถครอบครองพลังวิเศษเช่นนี้ได้”
“พลังวิเศษ! ใช่แล้ว นี่คือพลังวิเศษ! มันเป็นยิ่งกว่าการสรรสร้างในตัวเอง ทั้งยังสามารถพลิกผันคลื่นลมและหมู่เมฆ นับเป็นความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่ ห่างไกลเกินกว่าที่พวกเราจะเอื้อมถึงได้ในตอนนี้!”
ฝูงชนต่างพากันอุทานด้วยความตกตะลึง ก่อนจะทอดถอนใจออกมา แม้ว่าทะเลแห่งมวลเมฆที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้จะเป็นเพียงทางเข้าไปสู่เหวเงาทมิฬ หากพลังที่สำแดงเบื้องหน้านี้ก็ทำให้พวกเขาต้องประหลาดใจ
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
บางคนเริ่มสิ้นความอดทนและเปลี่ยนร่างกายเป็นริ้วแสงกระโจนเข้าไปท่ามกลางทะเลแห่งมวลเมฆ ทว่าสถานการณ์ถัดมาก็ทำให้ผู้คนต้องตาค้าง เพราะทันทีที่คนเหล่านั้นตกลงไปในก้อนเมฆ พวกเขาก็เหมือนคนที่กำลังจมลงสู่ห้วงทะเลลึก ถูกหมู่ดวงดาวบดขยี้และหมุนคว้าง ทิ้งไว้เพียงร่างที่ไร้ลมหายใจสะบัดไปมา
แม้บางคนจะสามารถหลบการโจมตีจากการโคจรของดวงดาวได้ หากทว่าพวกเขาไม่อาจหลีกพ้นการกวาดต้อนของเปลวเพลิงไปได้ ร่างกายที่ท่วมไปด้วยไฟถูกเผาวอดไม่เหลือเศษซาก มีเพียงเสียงร้องอันน่าเวทนาลอยแว่วมาตามลม
บรรดากลุ่มคนที่พบเห็นฉากสยองขวัญต่างตัวแข็งถือ ความหวาดหวั่นเกาะกุมร่างกายไม่ให้ขยับเคลื่อนไหว
นี่มันน่ากลัวเกินไป!
ทั้งดวงดาราที่โคจรในหมู่เมฆ ทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่ลอยเด่น และเปลวเพลิงน้ำแข็งที่ปกคลุมชั้นบรรยากาศ ต่างเป็นดังอาวุธสังหารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เสมือนปราการที่ขวางกั้นผู้คนไม่ให้เข้าใกล้เหวเงาทมิฬ!!
“เจ้าพวกโง่! หากเหวเงาทมิฬมันเข้าไปได้ง่ายถึงเพียงนั้น ป่านนี้สมบัติล้ำค่าข้างในคงถูกผลาญสิ้นไปนานแล้ว คิดว่าที่มันคงอยู่มาได้นานถึงตอนนี้เป็นเพราะอะไรกันเล่า” เสียงอันหยามหยันแผดดัง สุดยอดสิ่งที่ชีวิตที่มีเขาข้างเดียวและมีร่างกายห้อมล้อมด้วยเปลวไฟตะโกนก้อง “พวกเจ้า เผ่ากระทิงอัคคีจงฟังคำสั่งข้า ข้าจะเปิดเส้นทางให้แก่พวกเจ้า ฉะนั้นจงตามข้ามาให้ดี!”
สิ้นคำสั่ง ผู้เยี่ยมยุทธ์จากเผ่ากระทิงอัคคีคนดังกล่าวก็กระโจนตัวลงไปในทะเลแห่งเมฆา ทุกสายตาเห็นเป็นภาพเดียวกันว่าหลังจากที่เขากระโดดเข้าไปข้างใน เจ้าตัวก็เริ่มเคลื่อนไหวประหนึ่งลูกธนูที่บิดพลิ้วไปมาด้วยท่าทางชวนพิกล กระนั้น เขาก็สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของมวลหมู่เมฆไปได้อย่างปลอดภัย และเพียงพริบตาเดียว เยี่ยมยุทธ์จากเผ่ากระทิงอัคคีคนนี้ก็นำทางให้คนในเผ่าของเขาได้สำเร็จ
ตอนนั้นเอง ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน พวกเขาใช้ความระมัดระวังอย่างถึงที่สุดโดยไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ราวกับว่าพวกเขาล่วงรู้ความลับของทะเลแห่งมวลเมฆจนปรุโปร่ง
ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจ ทะเลแห่งเมฆานี้เป็นเสมือนค่ายกลลวงตาขนาดยักษ์ กอปรไปด้วยปราณสังหารที่ไร้สิ้นสุด มีเพียงความตายเท่านั้นจะมอบเป็นของขวัญแก่ผู้ที่ประมาท
หากต้องการเข้าไปข้างใน ก็จะต้องวิเคราะห์เส้นทางการโคจรของดวงดาว ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ เพื่อคิดคำนวณหาเส้นทางที่ปลอดภัยซึ่งนำไปสู้ก้นเหวเงาทมิฬ
“ทะเลแห่งมวลเมฆนี้ล้ำลึกไปด้วยการเคลื่อนที่ของดวงดาว ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ มันเหมือนกับกระแสธารที่กว้างใหญ่ไร้บรรจบ ในขณะที่ก้นบึ้งของเหวเงาทมิฬเร้นตัวอยู่ข้างใต้” อันเวยพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “ทว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าไปข้างในโดยตรง และผลที่ตามมาของมันก็มีเพียงความน่าหดหู่ เจ้าอาจจะตายหรือไม่ก็หลงทางจนว่าจะตาย ยังไม่ต้องพูดถึงการค้นหาเหวเงาทมิฬเลยด้วยซ้ำ เอาเพียงการจะหาทางออกไปจากที่นั้นก็เป็นเรื่องยากเข็ญ ในอดีตมีคนมากมายหลงทางอยู่ภายในนั้น และสุดท้ายพวกเขาก็ติดกับดับจนตาย”
“ฮ่า ๆๆ ศิษย์น้องอันเวยพูดถูก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็หาใช่สิ่งที่เราต้องกังวลไป พวกเจ้าทั้งสองตามข้ามาเถิด ข้าจะนำทางให้เอง!” หลงเจิ้นเป่ยระเบิดเสียงหัวเราะ ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความกล้าหาญขณะเคลื่อนตัวไปยังทะเลแห่งมวลเมฆอย่างมั่นคง
ฉับพลัน ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยเปลวไฟอันพร่างพราว บรรยากาศรอบตัวคล้ายกับตาลปัตรซึ่งทิวาและราตรีทันทีที่ดวงตาคู่นั้นกะพริบถี่ ความล้ำลึกซึ่งเป็นอนันตรถูกสร้างขึ้นภายใน
สิ่งนั้นคือศาสตร์เต๋าโดยกำเนิดของเผ่ามังกรอสรพิษ ‘เนตรวิญญาณมังกรอสรพิษ!
เฉินซีเพียงยิ้มน้อย ๆ เขาไม่ได้พูดอะไรหากแต่เดินตามหลังศิษย์พี่ทั้งสองไปอย่างใกล้ชิด
อันที่จริง เขาเห็นความลับทั้งหมดของทะเลแห่งเมฆาผ่านเนตรเทวะแห่งความจริงมาครู่หนึ่งแล้ว ในชั่วพริบตา ชายหนุ่มก็สามารถค้นหาเส้นทางซึ่งนำไปสู่เหวเงาทมิฬที่ปลอดภัยได้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าพันเส้น และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมีเส้นทางที่ดีที่สุดรวมอยู่ด้วย
นอกจากนี้ เส้นทางที่หลงเจิ้นเป่ยเลือกนั้นไม่นับว่าดีที่สุด เป็นเพียงเส้นทางธรรมดาเส้นหนึ่งเท่านั้น กระนั้น ชายหนุ่มก็เลือกที่จะเงียบปากเสีย เขารู้ดีว่าหลงเจิ้นเป่ยตั้งใจจะโอ้อวดต่อหน้าศิษย์พี่อันเวย และหากเขาพูดอะไรออกไป ก็คงกลายเป็นการสาดน้ำเย็นใส่หลงเจิ้นเป่ย ที่มีแต่จะกินแหนงแคลงใจกันไปเปล่า ๆ