บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 656 เพียงลำพัง
บทที่ 656 เพียงลำพัง
ผู้เยี่ยมยุทธ์เกือบพันคนจากกองกำลังต่าง ๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณด้านหน้าของภูเขายักษ์ พวกเขาปิดล้อมอันเวยกับหลงเจิ้นเป่ยไว้อย่างแน่นหนา
“ตอนนี้ข้าเชื่อในสัญชาตญาณของเจ้าแล้ว เด็กนั่นเป็นตัวก่อปัญหาจริง ๆ น่าประหลาดใจยิ่งนักที่มีคนต้องการจับตัวเขามากมายเช่นนี้ ข้าล่ะอดชื่นชมไม่ได้จริง ๆ”
ฉิวจวินแห่งนิกายอสูรวสันต์ยมโลกยืนเอามือไพล่หลัง ในขณะที่เสื้อผ้าของเขาปลิวไสวไปตามสายลม ร่างกายเหมือนหินผาที่มั่นคง โดดเดี่ยว และสูงตระหง่าน ด้วยท่าทางเหยียดหยามทุกสิ่งราวกับผู้ปกครองโลก
“มีคนมากมายยิ่งนัก” ที่ด้านข้าง รัตติกาลผู้มีกลิ่นอายมืดมนและลึกลับ ได้กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันน่ากลัวและไร้อารมณ์
“ใช่แล้ว ยิ่งมีคนมามากขึ้น การแข่งขันก็จะยิ่งมากขึ้น และความยากลำบากในการได้รับเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตา การลืมเลือน และจุดจบในการครอบครองของเด็กคนนั้นก็จะมากขึ้นเช่นกัน”
นั่นเป็นเพราะผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ในที่แห่งนี้มีจำนวนมากเกินไป และส่วนใหญ่ก็มาเพื่อเศษชิ้นส่วนมหาเต๋าที่อยู่ในความครอบครองของเฉินซี ดังนั้นความยากลำบากในการจับตัวอีกฝ่ายจึงเป็นเรื่องยากอย่างเห็นได้ชัด
“เราสามารถใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายได้” หลังจากเงียบไปนานรัตติกาลก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“นั่นคือสิ่งที่ข้าตั้งใจไว้” ฉิวจวินยิ้มบาง จากนั้นเขาก็จับจ้องไปที่อีกฝ่ายอย่างแน่วแน่และพูดอย่างจริงจัง “ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”
รัตติกาลเพียงแค่พยักหน้าโดยไม่พูดอะไรมาก
ฉิวจวินยิ้ม ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างมาก ด้วยความช่วยเหลือของรัตติกาล เขาจะไม่ต่างอะไรกับเสือติดปีก ทำให้เขามีความมั่นใจอย่างมากในการจับตัวเฉินซี
…
“ข้ารู้สึกได้ว่าฆาตกรที่ฆ่าบรรพบุรุษกำลังเข้ามาใกล้ที่นี่!” ดวงตาของผู้เยี่ยมยุทธ์เผ่าหยาจื้อทอประกายแสงจ้า ขณะที่พูดอย่างตื่นเต้น
“ดีมาก เมื่อจับไอ้สารเลวนี่ได้ เราจะถลกหนังมันทั้งเป็น ดึงเอ็นของมันออก ก่อนจะทรมานมันทีละส่วนจนตาย!”
“ใช่! เขากล้าดีอย่างไรถึงมาแตะต้องร่างของท่านบรรพบุรุษ เขาจะต้องชดใช้สิ่งนี้เป็นสิบเท่า!”
“สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการทวงคืนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเราและกระดูกต้นกำเนิดของบรรพบุรุษ เราไม่สามารถปล่อยให้ระเบิดสังหารเทวะสูญหายไปได้”
ผู้เยี่ยมยุทธ์เผ่าหยาจื้อคนอื่น ๆ ต่างโห่ร้องยินดี พวกเขาถูฝ่ามือเข้าด้วยกันในขณะที่ดวงตาเผยประกายความโหดเหี้ยมและกระหายเลือด
“หืม? ศิษย์พี่เลี่ยเฟิง ท่านคิดว่าฆาตกรคือเฉินซีจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองอย่างนั้นหรือ?” จู่ ๆ ผู้เยี่ยมยุทธ์เผ่าหยาจื้อคนหนึ่งก็ดูจะตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง และถามด้วยความประหลาดใจ
“เฉินซี?” เลี่ยเฟิงตกตะลึง จากนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที หากเรื่องนี้เป็นความจริง มันคงเป็นเรื่องที่ลำบากเกินไป เพราะตอนนี้มีผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายอยู่ที่นี่ หากเฉินซีตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้อื่น พวกเขาจะทวงคืนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าและกระดูกต้นกำเนิดของบรรพบุรุษกลับมาได้อย่างไร?
“ทำใจให้สบายและรอดูก่อน หากฆาตกรคือเฉินซีจริง ๆ เราจะลงมือทันทีที่เขาปรากฏตัว ทุกคนจะต้องจับเขาด้วยการโจมตีที่รวดเร็วและรุนแรงที่สุด!”
เลี่ยเฟิงครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลานาน ก่อนที่เขาจะสูดลมหายใจและพูดพลางกัดฟัน อีกทั้งน้ำเสียงยังเย็นชา เต็มไปด้วยจิตสังหารรุนแรง
…
“บัดซบ! การถูกเด็กคนนั้นหลอกเมื่อวันก่อนทำให้เผ่ากระทิงอัคคีของข้าสูญเสียอย่างหนัก ครั้งนี้ข้าจะฆ่าเขาให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น!”
“ไม่ใช่แค่นั้น แต่เรายังต้องยึดชิ้นส่วนมหาเต๋าของเราคืนมาด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กที่น่ารังเกียจคนนี้ เราคงได้รับชิ้นส่วนมหาเต๋าในเขตทองมาอยู่ในมือไปแล้ว จะต้องมารอจนถึงตอนนี้เพื่ออันใด?”
“ใครก็ตามที่เอาสมบัติของข้าและฆ่าคนในเผ่าของข้าไป จะต้องชดใช้มันด้วยเลือด!”
ในอีกด้านหนึ่ง ผู้เยี่ยมยุทธ์เผ่ากระทิงอัคคีสองสามคนต่างกัดฟันแน่น ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยดุร้ายและอาฆาตแค้น เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเขตทอง พวกเขาทั้งหมดก็แทบจะระเบิดและโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ในฐานะผู้นำกลุ่มของเผ่ากระทิงอัคคีที่เดินทางมายังเหวเงาทมิฬในครั้งนี้ แม้เจี่ยงเหวยจะเงียบอยู่ตลอดเวลา ทว่าเขาฃกลับโกรธแค้นยิ่งกว่าสหายคนใด และแทบรอไม่ไหวที่จะสับเฉินซีเป็นพัน ๆ ชิ้น ความเดือดดาลอันน่าสะพรึงกลัวนี้ถูกสะกดไว้ในใจของเขามานานแล้ว รอเพียงแค่เฉินซีปรากฏตัวมันก็พร้อมที่จะปะทุขึ้น!
การสนทนาเช่นนี้เกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งใกล้ภูเขายักษ์ลูกนี้ บางคนมาเพื่อแก้แค้น บ้างก็มาเพื่อฉกชิงชิ้นส่วนมหาเต๋า บ้างก็มาเพื่อทวงคืนสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของเผ่า และเหตุผลอื่น ๆ อีกมากมาย
สรุปแล้ว ในครั้งนี้พวกเขาทั้งหมดได้เตรียมการมาอย่างเต็มที่แล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือรอให้เฉินซีปรากฏตัวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากเวลาผ่านไปพักใหญ่ เป้าหมายก็ยังคงไม่ปรากฏตัว และไม่มีแม้แต่ข่าวคราวใด ๆ เกี่ยวกับชายหนุ่ม ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรู้สึกกระวนกระวายและใกล้จะหมดความอดทนลงไปทุกที
“เฮ้ ในเมื่อเขาไม่ปรากฏตัวเสียที งั้นข้าขอเพลิดเพลินไปกับคนงามตรงนี้และทำให้นางขายหน้าอย่างรุนแรงก่อนแล้วกัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะบังคับให้เฉินซีออกมาไม่ได้!”
ทันใดนั้น ผู้เยี่ยมยุทธ์จากนิกายอสูรหกปรารถนาเหลือบมองไปที่อันเวย ดวงตาของเขามองขึ้นลงบนใบหน้าอันสวยงามและร่างกายที่โค้งมนอย่างเปิดเผย ฉายชัดถึงตัณหาและความโลภที่อยู่ในแววตาอย่างชัดเจน
นั่นคือผู้บ่มเพาะอัจฉริยะจากหนึ่งในสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง หากเขาสามารถเอานางมาครองได้มันจะวิเศษเพียงใดกันนะ?
“ฮ่า ๆ ในที่สุดปีศาจเกี่ยวบุปผา เฝิงเป่า ก็ควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว!”
“เอาเลย ศิษย์พี่เฝิงเป่า! ทุกคนจะสนับสนุนเจ้าเอง เชิญระบายได้ตามใจชอบเลย ฮ่า ๆ!”
เมื่อเห็นว่าเฝิงเป่าต้องการสัมผัสอันเวย ศิษย์คนอื่น ๆ ของนิกายอสูรหกปรารถนาต่างก็โห่ร้องไม่หยุดด้วยสีหน้าตื่นเต้น สายตาที่พวกเขาจ้องมองไปยังหญิงสาวนั้นเต็มไปด้วยความโลภและไร้ยางอาย
“หาที่ตาย!”
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลงเจิ้นเป่ยก็โกรธมาก ศิษย์จากนิกายอสูรกล้าดูหมิ่นศิษย์แห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของพวกเขา… นี่มันจะมากเกินไปแล้ว!
ใบหน้าของอันเวยเย็นชาอย่างยิ่ง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยจิตสังหาร ในฐานะผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง นางต้องมาทนรับความอัปยศอดสูและน่าอับอายจนทนไม่ได้เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? สิ่งนี้ทำให้นางเดือดดาลอย่างแท้จริง!!
เมื่อเห็นคนทั้งสองเป็นเช่นนั้น ศิษย์ของนิกายอสูรหกปรารถนาก็ยิ่งอาละวาดมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียงหัวเราะและคำพูดของพวกเขาก็น่ารังเกียจขึ้นเรื่อย ๆ จนสกปรกถึงขีดสุด
เฟิงเจี้ยนไป๋หัวเราะเบา ๆ
เยี่ยนสือซานนั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนหินและยังคงเฉยเมย
แม้แต่ศิษย์ของนิกายอื่น ๆ ที่จัดอยู่ในสิบนิกายใหญ่ก็ยังไม่สนใจ บางคนก็ถึงกับยืนดูด้วยความสนใจ การปรากฏตัวของพวกเขาทำให้หลงเจิ้นเป่ยและอันเวยโกรธยิ่งขึ้น
“มาเถิด โฉมงาม มาเล่นสนุกกัน นายน้อยคนนี้มีผู้หญิงมากมายนับไม่ถ้วน ทักษะบนเตียงของข้านั้นสมบูรณ์แบบมาก ข้ารับประกันเลยว่าหากได้ลองแล้วเจ้าจะหยุดร้องขออีกไม่ได้เลย ฮ่า ๆๆ!” เมื่อได้รับการสนับสนุนจากทุกคนทำให้เฝิงเป่าพึงพอใจมากยิ่งขึ้น ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มที่ดูโรคจิต ในขณะที่เจ้าตัวตั้งใจจะลงมือกับอันเวย
ในเวลาเดียวกัน หลงเจิ้นเป่ยกับอันเวยก็ชำเลืองมองกันและกัน ทั้งคู่มองเห็นเจตนาของอีกฝ่าย ทำให้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยว เพราะพวกเขาตั้งใจจะเสี่ยงชีวิตเพื่อฆ่าไอ้สารเลวพวกนี้!
เมื่อการต่อสู้กำลังจะปะทุขึ้น เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็อุบัติขึ้น…
น้ำเสียงที่เย็นยะเยือกและน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งดังขึ้นจากขอบฟ้าอันไกลโพ้น “เพียงแค่คำพูดของเจ้า ก็มากพอให้เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิตแล้ว!”
เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหูของทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี่ราวกับเสียงฟ้าร้องที่สั่นสะเทือนสวรรค์ทั้งเก้า
หลังจากนั้น ร่างสูงก็ปรากฏตัวขึ้นจากท้องฟ้าที่อยู่ไกลสุดลูกหูลูกตา ท่ามกลางการจ้องมองด้วยความประหลาดใจทุกคนที่อยู่ที่นั่น ใบหน้าของคนผู้นั้นหล่อเหลา ผมยาวสลวย เสื้อผ้าพลิ้วไหว และมีท่วงท่าที่สง่างาม
เป็นเฉินซีนั่นเอง!
“เหตุใดสหายผู้นี้ถึงได้โง่เง่าเช่นนี้? เขามาที่นี่ทำไมกัน?” เมื่อเห็นอีกฝ่าย อันเวยก็ผงะไปชั่วครู่ นอกจากความรู้สึกหวั่นไหวในหัวใจแล้ว ความกังวลก็ผุดขึ้นในใจอย่างอดไม่ได้
“นี่มันไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตายเลย สหายคนนี้ช่างไม่รักชีวิตของตัวเองจริง ๆ…” แม้ว่ามันจะดูเหมือนเขาบ่นว่า แต่หลงเจิ้นเป่ยก็รู้สึกอบอุ่นในใจไม่น้อย เขารู้ว่าเหตุผลที่เฉินซีทำเช่นนี้ ต้องเป็นเพราะเขากับอันเวยอย่างแน่นอน แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ชายหนุ่มตื้นตันได้อย่างไร?
แตกต่างจากพวกเขาสองคน เมื่อคนอื่น ๆ เห็นการปรากฏตัวของเฉินซี ก็ราวกับว่าได้พบเห็นหีบสมบัติปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า พวกเขาทั้งหมดต่างรู้สึกตื่นเต้นและถูมือเข้าด้วยกันในขณะที่รู้สึกตื่นเต้น และพร้อมที่จะเคลื่อนไหวอย่างยิ่ง
“ฮ่า ๆๆ! ในที่สุดเจ้าเด็กเวรนี่ก็มา!”
“ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเด็กคนนี้จะมีมโนธรรม เขายังรู้ว่าเมื่อศิษย์ร่วมนิกายของเขากำลังตกที่นั่งลำบาก เขาย่อมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมาช่วยเหลือ”
“ฮึ่ม! มโนธรรมบ้าบออะไร! ข้าคิดว่าเขาถูกดึงดูดโดยชิ้นส่วนมหาเต๋าที่กำลังจะมาเสียมากกว่า เขาต้องการช่วยศิษย์ร่วมนิกายของเขาด้วยตัวคนเดียวอย่างนั้นหรือ? ไร้สาระ!”
ทันใดนั้น พื้นที่เบื้องหน้าภูเขายักษ์ที่มีชิ้นส่วนมหาเต๋าฝังอยู่ ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ร้อนระอุเนื่องจากการมาถึงของเฉินซี ทุกคนในที่นี้จึงไม่ได้ปิดบังความโลภและจิตสังหารของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ ท่าทางของเฉินซีก็ยังคงสงบนิ่งเช่นเดิม สายตาของเขากวาดผ่านใบหน้าของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น จ้องไปยังความตื่นเต้นและความโลภบนใบหน้าของพวกเขา ก่อนที่ทันใดนั้น… จิตสังหารอันแรงกล้าปะทุขึ้นในหัวใจของเขา!
เพื่อจับตัวและฆ่าเขา คนพวกนี้ถึงกับใช้สหายของเขาเป็นตัวประกัน ใช้ทุกวิถีทาง ไล่ล่าคุกคามไม่หยุด วิธีการเหล่านี้ช่างน่ารังเกียจและไร้ยางอายเป็นที่สุด!
“เฉินซี ครั้งสุดท้ายที่เจ้าฉกชิ้นส่วนเต๋าของข้าไปยามอยู่ที่เขตทอง และทำให้ศิษย์จำนวนมากของเผ่ากระทิงอัคคีต้องพินาศ ความปฏิปักษ์นี้ไม่อาจปรองดองกันได้ จงชดใช้มาด้วยชีวิตของเจ้าเสีย!”
ทันใดนั้น เสียงคำรามที่สั่นสะเทือนท้องฟ้าก็ดังขึ้น ขณะที่เจี่ยงเหวยจากเผ่ากระทิงอัคคีทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและนำสมาชิกของเขาพุ่งเข้าหาเฉินซีก่อนใคร
“ช่างน่าขันเสียจริง! พวกเจ้าทุกคนฉวยโอกาสตอนที่ข้าไม่ทันตั้งตัวลอบโจมตีข้า แต่สุดท้ายเจ้าก็ไม่ได้ชิ้นส่วนมหาเต๋า แล้วยามนี้ก็โยนความผิดและสาดโคลนมาใส่ข้าแทนรึ? ช่างน่าทุบตีให้ตายจริง ๆ!”
ดวงตาของเฉินซีเย็นชาราวกับใบมีด จังหวะเต๋าดังก้องไปทั่วร่างกายของเขาราวกับเสียงคำรามของมังกร อักขระยันต์สั่นสะท้านขณะที่ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้า ราวกับราชาที่จุติลงมาปกครองโลก!
โอม!
ขั้นตอนนี้ดูเหมือนเป็นการเคลื่อนไหวง่าย ๆ ที่ไม่มีอะไร แต่มันกลับสร้างสนามพลังที่มองไม่เห็นและไร้รูปร่างของศาสตร์เต๋ามหาพันธนาการขึ้นมา ทำให้เจี่ยงเหวยและคนอื่น ๆ ที่ยังไม่พุ่งไปข้างหน้ายังถูกพันธนาการลอยค้างอยู่กลางอากาศ โดยไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวได้เลยในทันที
ราวกับแมลงวันที่ติดอยู่บนใยแมงมุม ไม่ว่าพวกมันจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่สามารถหลุดจากพันธนาการของโซ่ตรวนได้ ทำให้ฉากนี้ดูแปลกประหลาดอย่างมาก
จากนั้นเฉินซีก็เงยหน้าขึ้น มองด้วยสายตาที่ราวกับมีประกายสายฟ้าอยู่ภายใน เสียงของเขาระเบิดก้องดุจฟ้าผ่าออกมา “ไสหัวไป!”
เพียงประโยคเดียวก็ทำให้เมฆและลมสั่นสะเทือน ราวกับว่ามันเป็นเสียงคำรามของเทพเจ้าที่ทำให้เจี่ยงเหวยและคนอื่น ๆ ประหนึ่งถูกทุบด้วยค้อนขนาดใหญ่ กระดูกในร่างกายทั้งหมดของพวกเขาแตกร้าว เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ก่อนที่ร่างกายของพวกเขาจะชักกระตุกอย่างรุนแรง
ทุกคนต่างรู้สึกตกตะลึงยิ่ง ‘นี่คือศาสตร์เต๋าประเภทใดกัน? ก้าวไปข้างหน้าเพียงก้าวเดียวก็สามารถกักขังเจี่ยงเหวยกับคนอื่น ๆ ไว้ได้ และด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำก็ทำให้พวกเขาทั้งหมดได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว!’
นี่แทบจะเทียบได้กับสุดยอดทักษะหนึ่งคำกำราบสิ้นในตำนานเลยทีเดียว!
ครืน!
ความว่างเปล่าสั่นสะท้าน ขณะที่เฉินซีสะกดกลิ่นอายของเขา ทำให้เจี่ยงเหวยและคนอื่น ๆ ได้รับอิสรภาพกลับคืนมา แต่เนื่องจากอาการบาดเจ็บของพวกเขารุนแรงเกินไป คนทั้งหมดจึงร่วงลงสู่พื้นอย่างจัง พร้อมกับส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
“อ๊า!!!”
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงถาโถมมาจากทั่วทั้งร่างกายของพวกเขา จากกระดูกที่แตกหักนับไม่ถ้วน เจี่ยงเหวยและคนอื่น ๆ รู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่งในขณะที่มองไปยังเฉินซีผู้อยู่กลางอากาศ ราวกับว่าพวกเขามองเห็นเทพเจ้า ทำให้ความตั้งใจในการต่อสู้ของพวกเขาพังทลายลงในทันที ก่อนที่จะพยายามลุกขึ้นดิ้นรนหนีเอาชีวิตรอด
ฟุ่บ!
ปราณกระบี่ที่ดุร้ายและทรงพลัง จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นจากอากาศเบาบาง และกวาดออกไปอย่างเงียบงัน ลากเอาหัวที่เปื้อนเลือดและน้ำพุสีแดงลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับมันในชั่วพริบตา!