บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 660 ฝ่ามือพิภพอัคคี
บทที่ 660 ฝ่ามือพิภพอัคคี
ฝ่ามือที่บดบังไปทั้งท้องฟ้า จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นออกมาจากอากาศ!
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นน่าสะพรึงเป็นอย่างยิ่ง มันเหมือนกับอสูรผู้ยิ่งใหญ่ได้จุติลงมายังโลก เมฆดำทะมึนต่างม้วนตัวและเปล่งแสงอสูรอันไร้ขอบเขตออกมา แรงกดดันและกลิ่นอายอันกว้างใหญ่ที่แผ่ซ่านออกมานั้นก็น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง
ครืนน!
เมื่อถูกสิ่งนี้ขัดขวางเอาไว้ ทำให้การโจมตีของเฉินซีมุ่งเป้าไปที่ฝ่ามือนี้แทน และมันเหมือนกับภูเขาไฟสองลูกปะทะกัน จึงทำให้เสียงดังกึกก้องที่สั่นสะท้านไปทั้งฟ้าดิน พร้อมกับเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างท่วมท้น
คลื่นกระแทกได้กวาดออกไปยังบริเวณโดยรอบ ทำให้พื้นดินและหินแตกเป็นเสี่ยง ๆ ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างหลบหนีเอาตัวรอด และพวกเขาต่างเผยสีหน้าอึ้งงันออกมา
“ฮ่า ๆๆ! วิเศษ! ไม่นึกเลยว่านิกายกระบี่เก้าเรืองรองจะมีคนเช่นเจ้าอยู่ เฉินซี เจ้าเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ชั้นยอดที่หาได้ยากจริง ๆ ข้าจะประมือกับเจ้า เมื่อเราพบกันในครั้งหน้า!”
เสียงหัวเราะที่ดังออกมาราวกับเสียงคำรามของมังกร ซึ่งสั่นสะเทือนบริเวณโดยรอบ พร้อมกับแผ่กลิ่นอายที่หยิ่งยโสและอหังการอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ออกมา
หลังจากนั้น ทุกคนก็สังเกตเห็นร่างสูงสง่าที่พุ่งทะยานออกมาพร้อมกับประคองลำแสงสีดำสนิทเอาไว้ในมือ ขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนที่จะหายไปอย่างรวดเร็วและไร้ร่องรอย
“ฉิวจวินแห่งนิกายอสูรวสันต์ยมโลก! ”
“ไม่นึกเลยว่าผู้ลงมือจะเป็นเขา เขาช่างคู่ควรกับตำแหน่งศิษย์ศักดิ์สิทธิ์ของนิกายอสูร ซึ่งครอบครองร่างมารพันเฉือน ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็เผยให้เห็นถึงพลังอหังการที่ไร้ขอบเขตเช่นนี้”
“ฉิวจวิน? หรือว่าเป็นเขาที่สั่งให้รัตติกาลไปลอบสังหารเฉินซี”
เมื่อจดจำฉิวจวินได้ พวกเขาต่างก็ตกตะลึงในใจ เพราะคนผู้นี้คือผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แข็งแกร่งของนิกายอสูร ซึ่งเป็นเหมือนดวงอาทิตย์บนท้องฟ้ายามเที่ยง และเขาก็ปรากฏตัวที่นี่จริง ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มควันบนท้องฟ้าในเวลานี้ได้กระจายตัวออกไป และร่างสูงโปร่งของเฉินซีก็ปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคนอีกครั้ง
“ที่แท้ มือสังหารและชายคนนั้นคือพวกเดียวกัน แต่เหตุใดพวกมันถึงต้องการเป็นศัตรูกับข้า? เป้าหมายของพวกมันไม่มีทางที่จะเป็นเพียงชิ้นส่วนมหาเต๋า เพราะก่อนที่ข้าจะมาถึงเหวเงาทมิฬ รัตติกาลได้พยายามลอบสังหารข้ามาแล้วครั้งหนึ่ง และในตอนนั้นข้าก็ยังไม่ได้ชิ้นส่วนมหาเต๋าเลยสักชิ้น…”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วขณะมองไปยังทิศทางที่ฉิวจวินหายตัวไป ซึ่งตัวเขาเองก็รู้ดีว่า แม้จะไล่ตามไปตอนนี้ แต่ตนเองก็คงไม่อาจตามทัน
“หึ! นี่เจ้าคิดจะหลบหนีเช่นกันหรือ?” ทันใดนั้น เฉินซีก็หันหลังกลับมาและจ้องเขม็งไปยังเฟิงเจี้ยนไป๋ที่อยู่ด้านข้าง คนผู้นี้ตั้งใจที่จะใช้ฉวยโอกาสนี้เพื่อหลบหนี และเมื่อชายหนุ่มเห็นสิ่งนี้เข้า เขาก็ฟันกระบี่ออกไปโดยตรง ทำให้ฝนเลือดสาดกระจายไปทั่วฟ้า และปลิดชีวิตของอีกฝ่ายจนสิ้น
หลังจากนั้น เฉินซีก็กวาดสายตาไปโดยรอบ ทว่าท่ามกลางบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์นับร้อยคนจากกองกำลังต่าง ๆ กลับไม่มีสักคนที่กล้าสบสายตากับเขา
เห็นได้ชัดว่า จิตใจของคนเหล่านี้ถูกสะกดด้วยพลังอันอหังการของเขาแล้ว และอย่างน้อยพวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามในตอนนี้
หลังจากนั้นไม่นาน สายตาของเฉินซีก็จดจ้องไปยังพื้นที่เบื้องหน้าภูเขาลูกยักษ์
ณ ที่แห่งนั้น หลงเจิ้นเป่ยกับอันเวยถูกขังอยู่ในกรงแปดเซียนจำแลง ส่วนบนโขดหินที่ด้านข้างของพวกเขาก็มีร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ หลังของคนผู้นี้ตั้งตรงดุจหอก ไหล่ของเขากว้าง เขายังคงอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับเขยื้อนเหมือนภูเขา และดูเหมือนตัวคนจะหลอมรวมเข้ากับฟ้าดิน ซึ่งกลิ่นอายที่เขาแผ่ออกมาก็มีเอกลักษณ์และทรงพลังอย่างแท้จริง!
ฟุ่บ!
เมื่อสังเกตเห็นการจ้องมองของเฉินซี จู่ ๆ ร่างนั้นก็ลืมตาขึ้น มันสว่างวาบด้วยประกายไฟที่ลุกโชนซึ่งรวมตัวกันและสร้างปรากฏการณ์แปลกประหลาดออกมามากมาย
“เยี่ยนสือซาน?” เฉินซีเพ่งสายตามอง และเห็นว่าคนผู้นี้มีร่างกายที่พิเศษ ซึ่งดูราวกับว่ามันสร้างขึ้นมาจากหยกเพลิง ทำให้เขาเป็นเหมือนเทพเจ้าที่ควบคุมธาตุไฟโดยกำเนิดและมีแรงกดดันเป็นอย่างมาก
นี่คือกายาดาราเพลิง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่มีมาแต่กำเนิด ว่ากันว่า บุคคลที่มีร่างกายนี้ตั้งแต่กำเนิดจะสามารถหยั่งรู้มหาเต๋าแห่งอัคคี และมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเปลวเพลิงในฟ้าดิน เมื่อบ่มเพาะจนถึงระดับสูง ผู้ครอบครองร่างกายนี้ก็ยังสามารถสื่อสารกับปราณไฟในธรรมชาติเพื่อหยิบยืมพลังมาใช้ได้ และมันก็ทรงพลังอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้
เห็นได้ชัดว่า ผู้มีร่างกายเช่นนี้ย่อมเป็นผู้บ่มเพาะอัจฉริยะจากนิกายวิถีกระแสสวรรค์ ซึ่งเป็นคนบ้าที่มีชื่อเสียงที่สุดของสิบนิกายเซียนอันยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังปรารถนาการต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง
“ข้ารอเจ้ามานานแล้ว” เยี่ยนสือซานลุกยืนขึ้น เขามีร่างที่สูงโปร่งและมีใบหน้าที่หล่อเหลา ทุกย่างก้าวของคนผู้นี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่เย่อหยิ่งและอหังการ ซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคน
บางคนสามารถทำให้คนอื่นประทับใจได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาเป็นคนพิเศษและจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในไม่ช้าก็เร็ว เห็นได้ชัดว่าเยี่ยนสือซานก็เป็นคนเช่นนั้น
“ความแข็งแกร่งของเจ้าก่อนหน้านี้ เพียงพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าแล้ว ซึ่งในตอนนี้ ตราบใดที่เจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ เจ้าก็สามารถพาสองคนนี้ออกไปได้อย่างอิสระ หากไม่เป็นเช่นนั้น ก็จงทิ้งชีวิตไว้ซะ!” เขาชี้ไปที่อันเวยกับหลงเจิ้นเป่ยที่ติดอยู่ในกรงแปดเซียนจำแลง
ในขณะที่กล่าว เยี่ยนสือซานก็ยืดหลังตรง ทันใดนั้น ตัวคนดูเหมือนจะกลายเป็นคนละคน ผมยาวของเขาพลิ้วไหว ในขณะที่ดวงตาที่ลุกเป็นไฟของเขาก็ดูเหมือนสายฟ้าอันร้อนแรง ร่างกายที่ผอมสูงและสง่างามของเขาท่วมท้นไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ตัวคนเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่แผดเผา เอาแต่ใจ เย่อหยิ่งและอหังการอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้
นี่คือเยี่ยนสือซาน ผู้คลั่งไคล้การต่อสู้เหมือนคนบ้า นอกจากการต่อสู้แล้ว ไม่มีอะไรในโลกที่สามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้ โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ทำให้หัวใจเต้นแรง ชายหนุ่มจะดูเหมือนกับได้รับสมบัติล้ำค่าที่สุดในโลก และท่าทางของเขาจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“เขาแข็งแกร่งจริง ๆ ข้าได้ยินมาว่าเยี่ยนสือซานได้บรรลุพลังต่อสู้ถึงหกเท่าเมื่อนานมาแล้ว และเขายังครอบครองสมบัติล้ำค่า …เขานับเป็นอันดับต้น ๆ ในหมู่ศิษย์ของนิกายวิถีกระแสสวรรค์เลยทีเดียว”
“จริงแท้แน่นอน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ประสบการณ์การต่อสู้ของเขานั้นโชกโชนเป็นอย่างมาก เพราะเขาผ่านการต่อสู้ที่โหดเหี้ยมมานับครั้งไม่ถ้วนก่อนที่จะมาถึงจุดนี้ได้”
“เฉินซีควรภูมิใจที่ได้รับเลือกให้เป็นคู่ต่อสู้ของคนบ้าที่มีชื่อเสียงก้องโลกคนนี้ เพราะคนธรรมดาทั่วไปคงมิอาจจะอยู่ในสายตาของเยี่ยนสือซานได้”
ทุกคนต่างอุทานด้วยความชื่นชม เหตุผลที่พวกเขายังคงไม่จากไป ก็เป็นเพราะพวกเขาฝากความหวังไว้ที่เยี่ยนสือซาน ซึ่งพวกเขาเองก็รู้สึกว่า ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มนั้นน่าจะพลิกสถานการณ์และบดขยี้เฉินซีได้
และหากสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง พวกเขาก็สามารถฉวยโอกาสเอาส่วนแบ่งได้ ดังนั้นเหตุใดพวกเขาถึงไม่เสี่ยงดู?
ในทางกลับกัน หลงเจิ้นเป่ยกับอันเวยก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ความกังวลฉายชัดบนใบหน้าของพวกเขา เยี่ยนสือซานแข็งแกร่งเกินไป อีกทั้งยังใช้ธงระดับสมบัติกึ่งอมตะทั้งแปดชิ้น เพื่อสร้างกรงแปดเซียนจำแลงที่กักขังคนทั้งสองไว้ในนั้น ดังนั้นจึงจินตนาการได้ไม่ยากว่า คนผู้นี้ย่อมไม่ขาดแคลนสมบัติที่ทรงพลัง!
การจะหาคู่ต่อสู้ที่มีระดับการบ่มเพาะเท่าเทียมกันแทบเป็นไปไม่ได้เลย สำหรับเยี่ยนสือซานที่กระหายการต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งเขายังครอบครองสมบัติล้ำค่าอยู่มากมาย และเมื่อเฉินซีต้องต่อสู้กับเขา ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นก็ยากที่จะคาดเดา!
ถึงอย่างไร ก่อนหน้านี้เฉินซีก็ได้ต่อสู้กับเหล่าผู้บ่มเพาะอัจฉริยะมาเป็นเวลานาน ในขณะที่เยี่ยนสือซานเก็บสะสมพลังมาตั้งแต่แรก เมื่อเปรียบเทียบระหว่างทั้งสองแล้ว เฉินซีอาจมีพละกำลังที่ด้อยกว่า
เมื่อคิดถึงจุดนี้ คนทั้งหมดก็รู้สึกหนักใจและเป็นกังวลแทนเฉินซีมากขึ้น
“เจ้าจับสหายของข้าเป็นตัวประกัน เพียงเพราะต้องการต่อสู้กับข้าหรือ?” สีหน้าของชายหนุ่มยังคงสงบนิ่ง ในขณะที่กลิ่นอายของเขานั้นเหมือนกับนรกที่ไร้ก้นบึ้ง และดวงตาของเฉินซีก็เปล่งประกายด้วยอักขระยันต์ลึกล้ำ ในขณะที่จ้องมองไปยังอีกฝ่าย
หากเยี่ยนสือซานท้าเขาต่อสู้อย่างยุติธรรม บางทีเขาอาจจะเคารพอีกฝ่ายอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่คนคนนี้ใช้ชีวิตของอันเวยกับหลงเจิ้นเป่ยเพื่อคุกคาม และสิ่งนี้ทำให้เขาเกลียดเยี่ยนสือซานเข้ากระดูกดำ!
“ย่อมมิใช่ ทุกสิ่งก็เพื่อทำลายเจ้าให้สิ้นซาก” เยี่ยนสือซานส่ายศีรษะ ในขณะที่สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ก็พุ่งสูงขึ้น ทำให้เกิดประกายไฟลุกโชน กลิ่นอายอันอหังการของเขาก็ยิ่งกดดันมากขึ้น
และสิ่งที่สวนกลับมาสำหรับคำตอบของเขา …คือการโจมตีด้วยกระบี่จากเฉินซี!
มันทำให้เกิดทะเลเลือดที่กว้างใหญ่แผ่กระจายออกไป ซึ่งแฝงไปด้วยอักขระยันต์แห่งการสังหาร และมันเหมือนพายุหมุนที่รุนแรงและกว้างใหญ่ ซึ่งย้อมท้องฟ้าจนกลายเป็นสีแดงเลือด
ในขณะนี้ ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใด ๆ อีกต่อไป เฉินซีได้ใช้การกระทำเพื่อบอกแก่เยี่ยนสือซานว่า ตัวเขาก็ต้องการสังหารเยี่ยนสือซานเช่นกัน และชายหนุ่มก็ไม่อยากจะเสวนาอีกต่อไป
“เข้ามา!” เยี่ยนสือซานคำรามราวกับเสียงฟ้าร้องที่ระเบิดขึ้นในสวรรค์ทั้งเก้า ประกายไฟแผ่ขยายออกไปและทิ่มแทงดวงตาของทุกคนจนรู้สึกปวดร้าว จากนั้นเขาก็ฟาดฝ่ามือออกไปข้างหน้า
ผิวของฝ่ามือนี้บอบบางมาก เส้นลายมือของมันชัดเจนและเรียบเนียนราวกับทำจากไหม มันมีขนาดถึงพันลี้ ซึ่งเป็นผลึกอย่างหมดจด ทั้งขาวและใสกระจ่างเหมือนหยก ยิ่งไปกว่านั้น อาณาจักรแห่งเปลวเพลิงดูจะก่อตัวขึ้นภายในฝ่ามือ ซึ่งมีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ในนั้น ทำให้มันดูลึกลับและน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
“ฝ่ามือพิภพอัคคี!” หลายคนอ้าปากค้าง นี่คือศาสตร์เต๋าระดับสูงสุด ที่มีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับสูงเท่านั้นที่จะสามารถใช้ได้ ซึ่งข้อกำหนดในการบ่มเพาะก็เข้มงวดอย่างยิ่ง และมันเป็นหนึ่งในมรดกขั้นสูงสุดของนิกายวิถีกระแสสวรรค์
ในขณะนี้ แม้แต่อันเวยกับหลงเจิ้นเป่ยก็ยังรู้สึกว่าหนังศีรษะของพวกเขาชาเล็กน้อย ในขณะที่ใบหน้าของคนทั้งคู่ก็ซีดลง เพราะพลังฝ่ามือของเยี่ยนสือซาน ทำให้พวกเขารู้สึกว่าต้านทานได้ยาก
ครืนน!
ฝ่ามือเหยียดออกและยื่นไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง หลังจากทำลายการโจมตีของเฉินซีแล้ว มันก็ตั้งใจที่จะกักขังอีกฝ่ายไว้ในโลกแห่งเปลวเพลิงอันลึกลับและคลอกเขาทั้งเป็น
เฉินซีถือกระบี่เปื้อนเลือดไว้ในมือ ในขณะที่ปีกกำราบผกผันก็กระพืออย่างรวดเร็ว และระเบิดแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุออกมาโดยหมายจะฟันฟ้าดินให้ออกจากกัน และทำลายมือขนาดมหึมาที่บดบังทั่วทั้งท้องฟ้า ซึ่งพุ่งเข้ามาโจมตีเขา
“คิดจะดิ้นรนหรือ? ช่างน่าขันยิ่งนัก!” เยี่ยนสือซานตะโกน
โอม!
ฟ้าดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง นิ้วทั้งห้าของเขาขยายใหญ่ขึ้นอย่างดุเดือด ทุกนิ้วถูกขดเป็นวงด้วยเปลวไฟและลุกวาบด้วยหินหลอมเหลวหรือเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งดูเหมือนเสาศักดิ์สิทธิ์ห้าต้นที่ทั้งหนาและใหญ่ ฝ่ามือกดลงมาอย่างดุเดือด ก่อนจะค่อย ๆ หุบลง โดยหมายจะกักขังชายหนุ่มเอาไว้
ปีกกำราบผกผันของเฉินซีกระพืออย่างรวดเร็ว ในขณะที่เขากระโจนไปมา แต่มือขนาดมหึมาก็ขยายออกและไล่ตามเหมือนเงาตามติด อีกทั้งยังพยายามคุกคามชายหนุ่มตลอดเวลา ราวกับมันต้องการกักขังสิ่งรอบข้างและเปลี่ยนให้เป็นโลกแห่งเปลวเพลิง
ในเวลาเดียวกัน เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏขึ้นที่ระหว่างนิ้วของฝ่ามือ และพวกมันก็ส่งเสียงดังกึกก้องขณะที่เปลวไฟลุกโชน จากนั้นเปลวไฟที่ว่าก็โหมกระหน่ำและพุ่งไปรอบ ๆ นิ้วมหึมาทั้งห้า ทำให้พวกมันดูเหมือนปราศจากการควบคุมและน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ไหนเลยที่ทุกคนจะเคยเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวมาก่อนในชีวิต?
โลกแห่งเปลวเพลิงอันกว้างใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นภายในฝ่ามือนั้น เป็นสิ่งที่ยากจะบรรลุเกินจินตนาการของศาสตร์เต๋า!
ตู้ม!
กระบี่เปื้อนเลือดของเฉินซีพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า มันระเบิดจิตสังหารและอาบไปด้วยเจตจำนงกระบี่ที่กลายเป็นตัวอักษร ‘乂’ นับไม่ถ้วน ซึ่งหมายจะทำลายโลกแห่งเปลวเพลิงในฝ่ามือ เพื่อที่จะหลบหนีออกไป
อย่างไรก็ตาม เยี่ยนสือซานก็แข็งแกร่งอย่างแท้จริง เพราะหลังจากทุ่มเทบ่มเพาะฝ่ามือพิภพอัคคีซึ่งเป็นศาสตร์เต๋าระดับสูงสุดมาอย่างยาวนาน และในที่สุดเจ้าตัวก็บรรลุถึงระดับสมบูรณ์แล้ว!
และทันใดนั้น นิ้วยักษ์ทั้งห้าที่เป็นเหมือนกับเสาศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกเปลวเพลิงปกคลุม จู่ ๆ ก็รวบเข้าหากัน และระเบิดกระแสเปลวเพลิงออกมา มันไม่เพียงทำลายการโจมตีทั้งหมดของเฉินซีเท่านั้น แต่พวกมันยังกลืนกินอีกฝ่ายท่ามกลางเสียงที่ดังกึกก้องทันที!
“เจ้าสามารถใช้พลังต่อสู้ได้เพียงห้าเท่า แต่กลับกล้าอวดดีต่อหน้าพลังต่อสู้เจ็ดเท่าของข้า ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังฝึกฝนฝ่ามือพิภพอัคคีมานานกว่าสามสิบปี ถึงแม้เจ้าจะรู้ศาสตร์เต๋าระดับสูงสุดมากมาย แต่ก็ไม่มีศาสตร์ใดที่บรรลุถึงระดับสมบูรณ์ แล้วเจ้าจะสู้ข้าได้อย่างไร?”
“จงถูกหลอมไปซะดี ๆ!” เยี่ยนสือซานตะโกนออกมา ขณะที่เปลวไฟรอบกายเขาก็ยิ่งโหมกระหน่ำ เขาในยามนี้ดูเหมือนเทพเจ้าแห่งเปลวเพลิง เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ระเบิดออกมาจากนิ้วทั้งห้า ก่อนจะพุ่งตรงไปยังเฉินซีที่อยู่ตรงกลางฝ่ามือ โดยหมายจะเปลี่ยนให้ชายหนุ่มกลายเป็นเถ้าถ่าน
ทุกคนต่างตกตะลึง ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงสิ่งอื่น เพียงแค่พลังมหาศาลของศาสตร์เต๋าก็ทำให้พวกเขาประหลาดใจ และถ้าเป็นพวกเขาที่ติดอยู่ในกำมือนี้ พวกเขาก็จะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย อีกทั้งยังไม่เหลือแม้แต่เศษซาก
ทว่าสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าสำหรับพวกเขาก็คือ เฉินซีที่ทำลายอุปสรรคและเข่นฆ่าทุกคนที่ขวางหน้า ราวกับเทพเจ้าแห่งสงครามที่อยู่ยงคงกระพัน กลับถูกสยบทันทีที่เขาเริ่มต่อสู้กับเยี่ยนสือซาน!
สิ่งนี้เหนือความคาดหมายของทุกคน
“เฉินซี!” ภายในกรงแปดเซียนจำแลง อันเวยและหลงเจิ้นเป่ยอุทานด้วยความตกใจอย่างพร้อมเพรียงกัน และพวกเขาไม่อยากเชื่อว่าเฉินซีจะถูกเยี่ยนสือซานสยบอย่างรวดเร็ว ทำให้หัวใจของคนทั้งคู่เต้นไม่เป็นจังหวะ ซึ่งผสมผสานไปด้วยความรู้สึกเดือดดาลและความกังวล