บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 670 คล้อยจันทราเคลื่อนดารา
บทที่ 670 คล้อยจันทราเคลื่อนดารา
นี่คือพระราชวังแห่งการรังสรรค์ หนึ่งในสามพื้นที่ลึกลับของเหวเงาทมิฬ ว่ากันว่าสมบัติวิเศษและมรดกของตัวตนอันสูงส่งแห่งยุคบรรพกาลถูกซ่อนอยู่ที่นี่
ในเมื่อหม้อและถ้วยหยกเหล่านั้นสามารถปรากฏที่นี่ได้ มันจะเป็นของธรรมดาได้อย่างไร? เป็นไปได้มากที่จะเป็นเหล้าที่เทพบ่มไว้!
ลองคิดดูว่าด้วยขอบเขตการบ่มเพาะที่สูงล้ำเช่นนั้นจะมีสมบัติอะไรที่คว้ามาไม่ได้? สิ่งที่ใช้ปรุงเหล้านี้อาจเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่าอันดับต้น ๆ ของโลกก็ว่าได้ ซ้ำยังอาจมีของที่น่าอัศจรรย์จากทั้งสามภพปะปนอยู่ก็เป็นได้!
ถึงอย่างไร เจ้าของสถานที่แห่งนี้ก็เป็นตัวตนสูงส่งในยุคบรรพกาล ซึ่งเทียบได้กับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ และเป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นช้อนส้อมหรือเหล้าที่เขาดื่ม สิ่งเหล่านั้นก็ล้วนดูเหนือล้ำเกินจินตนาการของผู้คนทั้งสิ้น!
ตู้ม!
ศาสตร์เต๋าของผู้เยี่ยมยุทธ์สิบกว่าคนปะทะกัน ทั่วทั้งโถงถูกปกคลุมด้วยแสงเจิดจ้าอันไร้ขอบเขต
สมบัติวิเศษลอยละลิ่วพร้อมกับลำแสงวูบไหว บรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งนิกายอสูรกระดูกขาวและตระกูลจูเยี่ยนต่างต่อสู้กันอย่างดุเดือด ซัดพลังใส่กันอย่างสุดกำลังเพื่อแย่งชิงสิ่งของบนศิลาซึ่งถูกแกะสลักเป็นโต๊ะ
โชคยังดีที่สถานที่แห่งนี้คือบริเวณภายในพระราชวังแห่งการรังสรรค์ ซึ่งถูกปกคลุมด้วยม่านพลังอันหนาแน่นที่ปกป้องอาณาเขตโดยรอบ ทำให้มันคงอยู่ได้ชั่วกาลและแข็งแกร่งเหมือนป้อมปราการ มิฉะนั้นหากเป็นสถานที่อื่นคงจะพังทลายจากการปะทะที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว
“ฮึ่ม! นั่นมันสมบัติอันใดกัน?”
“เป็นปราณเซียนที่น่าตกตะลึงอะไรเช่นนี้! ในหม้อหยกต้องบรรจุสมบัติล้ำค่าแห่งฟ้าดินซึ่งหาได้ยากยิ่งในยุคนั้นเป็นแน่ มาเถอะ มารวมพลังยึดครองมันกันเถอะ!”
“ลุย!” คลื่นเสียงสนั่นโลกดังก้องไปทั่ว ก่อนที่ผู้คนจำนวนมากจะพากันกรูเข้ามา และขว้างสมบัติไปมายามเข้าสู่สนามรบ ทำให้ความน่าสะพรึงของสงครามเพิ่มขึ้น
เฉินซีที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด สังเกตเห็นว่ามีเส้นทางมากมายที่ใช้ออกไปจากโถงแห่งนี้ ส่วนอีกทิศทางหนึ่งที่เร้นลับยิ่งกว่าก็คือเส้นทางที่นำคนทั้งหลายมาที่นี่
ตัวอย่างเช่น ฝูงชนที่ลุยเข้ามาตอนนี้ก็มาจากเส้นทางที่ว่า
“พวกเจ้าทุกคนถอยออกไป!” เสียงโห่ร้องสะเทือนสวรรค์ดังก้อง เส้นผมของนักพรตเต๋าสุริยันชาดพลิ้วไหวขณะที่เขาพุ่งเข้าสู่สนามรบ ปล่อยให้เสื้อคลุมนักพรตเต๋าสะบัดล้อไปตามลม
โครม!
ลำแสงสีม่วงพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับสายฟ้าฟาดตีฝูงชนแตกกระเจิง นอกจากนี้ยังมีคนจำนวนหนึ่งชนกับกำแพงหินและล้มตายตรงนั้น
นักพรตเต๋าสุริยันชาดก้าวยาวเข้าไปในห้องโถง ใช้สายตาที่เฉียบแหลมราวกับสายฟ้าแลบมองโดยรอบ ก่อนจะใช้พลังอันไร้ผู้ใดเทียบติดจู่โจมซ้ำ ๆ จนผู้คนลอยกระเด็นอย่างไม่ขาดสายก่อนที่จะหมดสติไป
สิ่งนี้ทำให้ผู้คนประหลาดใจ พวกเขาไม่อยากเชื่อเลยว่าศิษย์ของนิกายฟ้ากำเนิดจากหนึ่งในสิบนิกายเซียนผู้นี้ จะมีความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามยากหาที่เปรียบได้ เหมือนกับมังกรผงาดยามแรกเยือนโลกมนุษย์
“นี่น่าจะเป็น… พลังต่อสู้เจ็ดเท่า!” มีคนร้องด้วยความตกใจออกมา
ตัวตนที่อยู่ในระดับนี้สามารถกวาดล้างคนรุ่นเดียวกันได้อย่างง่ายดาย เมื่อใดที่เขาปรากฏกาย ก็จะเป็นเหมือนดวงตะวันเปล่งแสงเจิดจ้าที่ไม่มีใครกล้าต่อกร
อันที่จริง แม้แต่ตัวเฉินซีก็รู้สึกตกใจเช่นกัน ด้วยระดับการบ่มเพาะนี้ของนักพรตเต๋าสุริยันชาดเทียบเท่ากับเยี่ยนสือซานเลยก็ว่าได้ …นับเป็นหนึ่งในอัจฉริยะที่ยากหาผู้ใดเทียบ!
“ทำได้ดีมาก ศิษย์พี่สุริยันชาด!” เหล่าศิษย์จากนิกายฟ้ากำเนิดร้องเฮพร้อมกับมือที่คว้าสิ่งของบนโต๊ะศิลาไปอย่างมั่นใจ
ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง!
ทว่ามีหลายคนไม่พอใจ ใช้ลำตัวขวางหน้าโต๊ะศิลา แต่ก็ถูกนักพรตเต๋าสุริยันชาดบดขยี้และถูกระเบิดจนปลิวว่อน พวกเขาบ้างก็บาดเจ็บสาหัส บ้างก็ถูกฆ่าอย่างน่าสังเวช และอาจกล่าวได้ว่ากลิ่นอายอันสง่างามแลทรงพลังที่คนผู้นี้มีนั้น… มันช่างน่าสะพรึงกลัวและนำพาชัยชนะมาทุกย่างก้าว!
“คึกคักกันจริง ๆ! ต้องเป็นสมบัติล้ำค่าที่หายากเป็นแน่ หากมันถูกผู้เยี่ยมยุทธ์ผู้สูงส่งในยุคบรรพกาลทิ้งเอาไว้ก็คงเป็นของล้ำค่าเหนือสวรรค์จริง ๆ …ไหน ให้ข้าดูบ้างซิ!” ในเวลานี้ จู่ ๆ กระบี่สีทองก็ปรากฏขึ้น ส่งเจตจำนงกระบี่ที่ไร้เทียมทานและน่าสยดสยองให้กระเพื่อมขึ้นลงดั่งมหาสมุทรปกคลุมทั่วโถง!
สีหน้าของทุกคนในที่แห่งนั้นต่างชะงักงันไป ด้วยเจตจำนงกระบี่ของตัวตนที่เพิ่งมาถึงนั้นน่าสะพรึง และเฉียบคมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้! สายตาของคนคนนี้เหมือนสายฟ้าที่กวาดผ่านทุกคน ราวกับผู้บ่มเพาะกระบี่ที่อยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง!!
ที่แท้คนผู้นี้ก็คือเหวินเต้าหราน ศิษย์แห่งหอกระบี่สยบดวงใจ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าคนผู้นี้ทั้งดุดันและน่าสะพรึงกลัวเพียงใด ตัวคนดูดุดันไม่ต่างจากกระบี่ที่ครอบครองแม้แต่น้อย นับเป็นอัจฉริยะผู้หนึ่งแห่งยุคสมัย!
ฟิ้ว!
กระบี่สีทองที่ลอยขึ้นไปบนท้องนภาถูกอาบด้วยเจตจำนงกระบี่ มันแผ่ออกไปเหมือนคลื่นอันทรงพลังที่บีบให้ผู้บ่มเพาะโดยรอบจำต้องล่าถอยและตกอยู่ในสภาพที่น่าเวทนา
เจตจำนงกระบี่สายนี้น่ากลัวเกินรับไหว มันสามารถเขย่าทางช้างเผือกและทำให้ท้องฟ้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ มีพลังอำนาจเหนือใครเทียบเคียง แม้กลุ่มคนจะยืนขึ้นเป็นหนึ่งเดียวก็ไม่สามารถขัดขวางได้ ต่างถูกโจมตีจนต้องตีพ่ายกลับไป!
เหวินเต้าหรานเดินก้าวยาวพลางมองทุกคนอย่างเย่อหยิ่งจากนั้นจึงยื่นมือออกไปคว้าของที่โต๊ะศิลา
“อยากได้สมบัติพวกนั้นหรือ? ถามข้าหรือยัง?” นักพรตเต๋าสุริยันชาดคำรามพลางสะบัดแขนเสื้อ ส่งแสงศักดิ์สิทธิ์อันเจิดจรัสให้พวยพุ่งออกมาราวกับธารดารา พุ่งตรงสู่เหวินเต้าหราน!
“ฮ่า ๆๆ! ข้าได้ยินมานานแล้วว่า เจ้านักพรตเต๋าสุริยันชาด เป็นผู้บ่มเพาะอัจฉริยะที่พบได้ยากในนิกายฟ้ากำเนิด มาดูกันซิว่าเจ้าเหมาะสมกับนามที่ผู้คนกล่าวขวัญถึงหรือไม่!” เหวินเต้าหรานหัวเราะลั่น เส้นผมดกหนาพลิ้ว ก่อนที่ตัวคนจะฟันกระบี่ลงมา ส่งพลังมหึมาที่สามารถพลิกหยินเป็นหยาง พลิกหยางเป็นหยินได้ออกมา และทำให้โลกเข้าสู่ความโกลาหลไปยังคู่ต่อสู้ทันที!
ที่ซ้ำร้ายกว่านั้นคือ ยังมีปราณกระบี่อีกสายที่ลอบเร้นเข้าไปสั่นสะเทือนพื้นที่โดยรอบดั่งพายุโหมกระหน่ำ หมายเข้ากลืนกินนักพรตเต๋าสุริยันชาดเข้าไป!
กระบวนท่ากระบี่นี้บรรจุพลังทำลายล้างแห่งฟ้าดิน เป็นวิชากระบี่ขั้นสุดยอดแห่งหอกระบี่สยบดวงใจ… กระบี่ป่วนโลกา เมื่อถูกเปิดใช้ กระบี่จะเคลื่อนไหวดั่งพายุโหมกระหน่ำ ทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความโกลาหลและหายนะ!
หอกระบี่สยบดวงใจ
ก่อนจะควบคุมกระบี่ คนผู้นั้นจะต้องควบคุมดวงจิตให้ได้เสียก่อน
ทิศทางของจิตใจอยู่ที่ใด ตำแหน่งของคมกระบี่ก็จะอยู่ที่นั่น มีเพียงผู้ควบคุมจิตได้เท่านั้นที่จะกำจัดทุกสิ่งได้
ผู้ใช้กระบี่ป่วนโลกานี้ต้องมีดวงจิตดั่งน้ำแข็งและนิ่งดั่งน้ำก้นบ่อ แต่เมื่อปรากฏในสายตาของศัตรู มันจะต้องซับซ้อน ชวนมึนงง แปลกพิสดาร และไม่ธรรมดา ทำให้ไม่มีผู้ใดหาโอกาสโจมตีหรือต้านทานได้
“กระบี่ป่วนโลกา? ฮึ่ม! ถ้าอย่างนั้นก็ลองชิมมังกรพยัคฆ์ปราณครามแห่งนิกายฟ้ากำเนิดของข้าบ้าง!” นักพรตเต๋าสุริยันชาดคำรามอย่างดุดัน สมบัติวิเศษที่มีรูปทรงคล้ายแท่งเหล็กยาวสองฉื่อ กว้างสี่นิ้ว มีดำสนิทเหมือนน้ำหมึกก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา ก่อนจะฟันออกไป
“ร่างกายของข้ามั่นคงเช่นเดียวกับจิตใจ! มังกรพยัคฆ์รวมเป็นหนึ่ง!”
ปัง!
ปราณสีครามพรั่งพรูก่อตัวเป็นรูปเสือและมังกร พากันส่งเสียงหวีดหวิวออกมา และเพิกเฉยต่อกระบี่โกลาหลที่พุ่งตรงเข้ามา เป็นการจู่โจมตรง ๆ และดุร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!
ทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดเสมือนดั่งดวงอาทิตย์เจิดจ้าสองดวงปะทะกัน ขณะต่อสู้กันกลางเวหา แสงสว่างและพลังศักดิ์สิทธิ์อันไร้เทียมทานก็ปกคลุมทั่วทั้งห้องโถง ทำให้บริเวณโดยรอบปั่นป่วนวุ่นวายอย่างยิ่ง
ผู้คนรอบข้างต่างกลัวจนตัวสั่น พวกเขาถึงกับต้องส่งเสียงครวญครางพลางล่าถอยพร้อมกับเลือดที่ไหลจากมุมปาก บางคนถูกระเบิดปลิวออกมาจากโถง บ้างก็พากันถอยหนีกระเจิงและพยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง
มีผู้กล้าบางคนใช้โอกาสนี้คิดจะชิงเอาของบนโต๊ะศิลาไป แต่ผลที่ตามมาก็คือคนเหล่านั้นกลับกลายเป็นผงธุลีด้วยควันหลงจากการต่อสู้ระหว่างคนทั้งสอง
ฝูงชนที่เห็นเช่นนี้จึงหวาดผวาจนไม่กล้าทำอะไรบ้าระห่ำอีกต่อไป เนื่องจากพวกเขาทราบดียิ่งว่าตราบใดที่การต่อสู้ระหว่างทั้งสองคนยังไม่จบ การก้าวผ่านพื้นที่นี้ก็ไม่ต่างอะไรจากการไปทิ้งชีวิต
ฟิ้ว!
ทว่าขณะที่ทุกคนกำลังหลบหลีกและไม่มีผู้ใดกล้าก้าวไปข้างหน้า ลำแสงสายหนึ่งพลันพุ่งออกมาราวกับสว่านแหลมคม ฉีกกระชากเข้าไปในเขตสนามรบก่อนจะมาถึงหน้าโต๊ะศิลาในชั่วพริบตา
ตั้งแต่ต้นจนจบ ลำแสงนี้ไม่สะทกสะท้านต่อพลังอำนาจใดทั้งสิ้น!
เขาเป็นใครกัน?
คนผู้นี้กล้าที่จะปรากฏตัวอย่างโจ่งแจ้งด้วยความตั้งใจที่จะคว้าสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้าต่อตาทุกคน หรือว่าจะไม่กลัวการแก้แค้นจากผู้เยี่ยมยุทธ์สองคนนั้น?
ทุกคนชะงักงัน พวกเขาต่างไม่กล้าเชื่อสายตาของตนเอง
“เฉินซี?! เจ้าอีกแล้วรึ?! ข้ายังไม่ทันสะสางเรื่องที่เจ้าฆ่าศิษย์น้องซางเชวี่ยเลย แต่กลับกล้าเข้ามาชิงสมบัติของข้าไปอีก? เจ้านี่มันรนหาความตายชัด ๆ! จงปล่อยเดี๋ยวนี้!” เหวินเต้าหรานคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวเมื่อเห็นเฉินซียื่นมือกวาดหม้อและถ้วยหยกบนโต๊ะจนเรียบ …เขาโกรธจนตาแทบถลนออกมา!
“เฉินซี! อย่าหาว่าข้าไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์กับหลงเจิ้นเป่ย รีบปล่อยสมบัติซะ มิฉะนั้นข้าจะสังหารเจ้าแน่!” ใบหน้าของนักพรตเต๋าสุริยันชาดหม่นลง พลางสบถคำด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ทั้งคู่หยุดต่อสู้พร้อมกันและพุ่งเข้าใส่เฉินซี พลางคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ราวกับชายหนุ่มเป็นศัตรูคู่อาฆาตของพวกเขาและคนทั้งสองกลับกลายเป็นมิตรสหายที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน!
เพราะทั้งคู่รู้เป็นอย่างดีว่าหากปล่อยให้อีกฝ่ายขนสมบัติออกไป การต่อสู้ของพวกเขาก็จะไร้ความหมาย มีเพียงการปลิดชีพเฉินซีเท่านั้นที่ทำให้พวกเขาสบายใจได้!
โครม!
ทั้งคู่โจมตีด้วยความเกลียดชัง แรงจู่โจมของพวกเขาน่ากลัวถึงขีดสุดเสมือนกับดวงตะวันสองดวงที่สาดส่องลงมา เพียงแค่กลิ่นอายอันโอ่อ่านี้ก็ทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนต้องถอยหนีแล้ว!
“เจ้านี่เสร็จแน่…” ม่านตาของทุกคนหดลงเมื่อเห็นการร่วมมือของเหวินเต้าหรานและนักพรตเต๋าสุริยันชาด แม้ว่าผู้คนที่อยู่อยู่โดยรอบจะไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้ แต่ร่างกายของพวกเขาก็ยังคงรู้สึกเย็นวาบราวกับตกลงไปในบ่อน้ำแข็งเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“สมบัติแห่งฟ้าดินเป็นของผู้ที่ถูกลิขิตไว้ ใครเป็นคนกำหนดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของพวกเจ้าทั้งคู่กัน? น่าหัวเราะสิ้นดี!” เฉินซีรีบหันกลับมามองด้วยสายตาเย็นยะเยือก ก่อนที่อักขระยันต์จะพวยพุ่งขณะที่ชายหนุ่มเคลื่อนตัวไปบนท้องฟ้าราวกับมังกร ในขณะนั้น ทั่วทั้งร่างของเฉินซีได้ถูกปกคลุมด้วยลำแสงสว่างวาบ ก่อนที่ชายหนุ่มจะใช้ฝ่ามือตบออกไป!
เพียะ!
ทันใดนั้น ห้วงมิติก็ถูกบดขยี้ด้วยแรงมหาศาล ส่งผลให้เกิดการระเบิดเสียงดังจนแก้วหูแทบแตก เมื่อมองไกลออกไป ก็เห็นเฉินซีเหยียบดวงดารา ในขณะที่ใช้มือของเขาผลักดวงตะวันและจันทราในทุกจังหวะเคลื่อนไหว กลิ่นอายที่สง่าผ่าเผยแผ่ขยายออกไปจนถึงระดับสูงสุด สร้างความอึดอัดจนผู้อื่นรู้สึกหายใจแทบไม่ออก!
ตู้ม! ตู้ม!
มันเหมือนกับภูเขาลูกมหึมาชนเข้ากับร่างกายอย่างจัง ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่จับจ้องอย่างตะลึงงัน เหวินเต้าหรานกับนักพรตเต๋าสุริยันชาดต่างถูกแรงระเบิดพัดปลิวว่อน พวกเขาโซเซจนเกือบจะล้มลงกับพื้น
“เจ้า…” เหวินเต้าหรานเริ่มแสดงท่าทีดุร้าย จ้องเขม็งไปยังเฉินซีราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นตัวประหลาด
“เจ้าทำได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?! แม้แต่หลงเจิ้นเป่ยก็อาจเทียบกับเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” นักพรตเต๋าสุริยันชาดประหลาดใจเช่นกัน เขามองไปยังชายหนุ่มรูปงามที่ยืนอยู่ตรงข้ามราวกับเพิ่งรู้จักอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก
ส่วนฝูงชนในโถงก็ถึงกับแน่นิ่งไป ลูกตาของทุกคนแทบถลนออกมา ด้วยนี่มันขัดต่อสวรรค์เกินไปแล้ว! คนคนนี้สยบเหวินเต้าหรานและนักพรตเต๋าสุริยันชาดได้เพียงแค่การโจมตีเดียว! คนทั้งสองที่เป็นถึงผู้บ่มเพาะอัจฉริยะที่หาตัวจับยาก ครอบครองพละกำลังน่ายำเกรงกลับถูกซัดกระเด็นเนี่ยนะ!
“ดูเหมือนว่าศิษย์พี่เยี่ยนจะแพ้พ่ายเพราะเจ้าจริง ๆ!” มีเสียงอุทานแสดงความตกใจดังขึ้นจากนอกโถง เผยความตะลึงงันที่ไม่อาจปกปิดได้
เมื่อหันกลับไปมอง พวกเขาก็พบเหลิ่งฉานเอ๋อร์แห่งนิกายวิถีกระแสสวรรค์ นางมาถึงนอกโถงตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่มีใครทราบได้
แต่เมื่อพวกเขาเข้าใจความหมายในคำกล่าวของเหลิ่งฉานเอ๋อร์ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพลันรู้สึกราวกับมีฟ้าผ่ากลางตัว หนังศีรษะของพวกเขาชาด้าน ศิษย์พี่เยี่ยน? นั่นไม่ใช่เยี่ยนสือซาน คนคลั่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือที่สุดในนิกายวิถีกระแสสวรรค์หรอกหรือ?
ศิษย์พี่เยี่ยนแพ้พ่ายด้วยเงื้อมมือของเฉินซีอย่างนั้นหรือ!?
สีหน้าของเหวินเต้าหรานกับนักพรตเต๋าสุริยันชาดเปลี่ยนไปอีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่พวกเขาจ้องมองไปยังชายหนุ่มด้วยความกลัว
แม้ว่าพวกเขาจะร่วมมือกันต่อกรกับเยี่ยนสือซาน อีกฝ่ายก็ยังนับเป็นศัตรูที่น่าเกรงขามซึ่งรับมือได้ยาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าพูดเต็มปากว่าจะชนะ และในเมื่อเฉินซีเอาชนะเยี่ยนสือซานได้ นั่นก็หมายความว่าอีกฝ่ายน่าเกรงขามยิ่งกว่าเยี่ยนสือซานอีกมิใช่หรือ?