บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 677 โอสถทิพย์และสมบัติศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 677 โอสถทิพย์และสมบัติศักดิ์สิทธิ์
เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทั้งหมดต่างรู้สึกขุ่นเคืองและเกลียดชัง แต่พวกเขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ จึงทำให้พวกเขารู้สึกขัดเคืองใจเป็นอย่างมาก
แต่ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ต้องยอมรับว่าเฉินซีเป็นคนที่มีวาสนาอย่างแท้จริง เพราะไม่ว่าชายหนุ่มจะไปที่ใดก็ตาม เขาก็จะได้รับการปกป้องอยู่เสมอ แม้แต่ค่ายกลในที่แห่งนี้ที่แม้แต่เทพหรือนักปราชญ์ก็ยังต้องหน้าซีด กลับไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย!
วาสนานี้เป็นสิ่งที่แม้แต่พวกเขาก็ยังอดอิจฉาไม่ได้
“สหายเต๋า ระงับความโกรธของเจ้าเสีย ข้าได้ใช้เคล็ดวิชาลับและสละอายุขัยของข้าไปหนึ่งพันปี เพื่อใช้เคล็ดวิชาประทับวิญญาณระบุตำแหน่งของเจ้าเด็กคนนี้ไว้ เราแค่ต้องไปตามทางที่มันไป จากนั้นเราจะตามมันทัน เมื่อนั้นก็ค่อยฆ่ามันซะ!”
ทันใดนั้น ใบหน้าที่ผอมตอบของบรรพบุรุษหลิงหยาฉายแววโหดร้าย และเขาก็พูดขึ้นอย่างน่ากลัวว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ไม่ใช่ว่ามีโชคลาภมากมายนักหรือ? ดังนั้นเราจะใช้มันเปิดทางให้แก่เรา จากนั้นเราจะไล่ตามมันไป และบางทีเราอาจจะพบกับสมบัติลับอันน่าอัศจรรย์ก็เป็นได้!”
“ฮ่า ๆ! ช่างฉลาดยิ่งนัก สหายเต๋าหลิงหยา!”
“สหายเต๋าหลิงหยา หากเราค้นหาโชคลาภก้อนโตพบได้ในครั้งนี้ เราจะไม่ปล่อยท่านให้ต้องเสียเวลาเปล่าอย่างแน่นอน!”
“ข้าละอายใจนัก พวกเราทุกคนล้วนถูกความโกรธครอบงำจนดวงตามืดบอด แต่สหายเต๋าหลิงหยากลับคิดเรื่องนี้ได้ ช่างน่าชื่นชมจริง ๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จิตวิญญาณของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกมีความหวัง และพวกเขาก็เผยยิ้มให้กับบรรพบุรุษหลิงหยา
แน่นอนว่า หลิงหยาเองก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน ส่วนในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
‘หากพบกับสมบัติลับอันน่าอัศจรรย์แล้ว เหล่าเฒ่าชราอย่างพวกเจ้า จะยอมให้ข้าครอบครองมันเพียงผู้เดียวหรือ? แม้แต่คำผีบอกก็ยังน่าเชื่อถือเสียกว่า …คำพูดของพวกเจ้าทุกคนนั้นเชื่อถือไม่ได้!’
…
ฟุ่บ!
ร่างของเฉินซีพุ่งไปที่ภายในห้องโถงอย่างรวดเร็ว ภายใต้คำแนะนำของหม้อใบจิ๋ว ทุกย่างก้าวที่เขาเหยียบย่ำลงไปคือ ‘ตำแหน่งปลอดภัย’ ของสถานที่แห่งนี้
ด้วยวิธีนี้ ชายหนุ่มจึงไม่ต้องกังวลว่าจะไปผิดทาง หรือหลงทางในค่ายกล
ห้องโถงที่อยู่ภายในด่านแห่งความลึกล้ำแห่งนี้ ทั้งกว้างใหญ่ ลึกล้ำ เต็มไปด้วยเหตุการณ์แปลกประหลาดทุกชนิด และมากด้วยพื้นที่ลึกลับที่ยากจะหยั่งถึง
บางพื้นที่เปล่งรัศมีของสมบัติออกมา และดูจะมีสมบัติล้ำค่าซุกซ่อนอยู่
บางพื้นที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่น และดูเหมือนว่ามีสวนสมุนไพรที่เป็นโอสถทิพย์อยู่ที่นั่น
หรือแม้แต่บางพื้นที่ก็เปล่งเสียงคำรามอันน่ากลัวออกมา ทำให้ดูเหมือนเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย
เฉินซีได้เห็นพื้นที่เช่นนี้มาตลอดทาง ซึ่งพวกมันก็ลึกลับอย่างยิ่งและดูเหมือนจะมีขุมสมบัติมากมาย หากเป็นคนอื่นมาที่นี่ พวกเขาก็คงไม่อาจหักห้ามใจได้ และพุ่งเข้าใส่พื้นที่พวกนั้นไปแล้ว
ทว่าเฉินซีกลับเพิกเฉยและไม่แยแสต่อพื้นที่พวกนั้น เพราะตามที่หม้อใบจิ๋วได้กล่าวไว้ พื้นที่ลึกลับเหล่านี้เชื่อมโยงกับพื้นที่แปลกประหลาด บางทีพวกมันอาจมีสมบัติล้ำค่า โอสถวิญญาณโบราณ และเคล็ดวิชาอันทรงพลัง… แต่หากใครเข้าไปในสถานที่เหล่านี้ พวกเขาก็จะพลาดโอกาสที่จะได้รับสมบัติลับที่ล้ำค่าที่สุด ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในด่านแห่งความลึกล้ำอย่างแน่นอน และมันก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน
“ตามที่ข้าคาดไว้ ด่านแห่งความลึกล้ำนั้นเต็มไปด้วยความลึกลับที่ไร้ขอบเขตจนยากจะจินตนาการได้ บางทีสมบัติที่อยู่ภายในดินแดนเร้นลับอาจก่อให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ได้…”
เฉินซีถอนหายใจ ในขณะที่มุ่งไปข้างหน้า ถ้าไม่ใช่เพราะคำแนะนำของหม้อใบจิ๋ว เขาก็ไม่มีทางต้านทานสิ่งล่อตาล่อใจเช่นนี้ได้ และคงจะพุ่งเข้าใส่ดินแดนเร้นลับที่ว่าเพื่อค้นหาสมบัติไปตั้งนานแล้ว
“เจ้าขัดเกลามันเสร็จแล้วหรือยัง?” หม้อใบจิ๋วเอ่ยปากถาม
เฉินซีส่ายศีรษะ สิ่งที่หม้อใบจิ๋วกำลังกล่าวถึงนั้น ย่อมหมายถึงต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่อาบไปด้วยกลิ่นอายแห่งสวรรค์ มันคือแก่นแท้ของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ และมันได้แปรเปลี่ยนเป็นก้อนผลึกแก้วที่มีขนาดเท่ากำปั้น ที่เขาวางไว้ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์
เฉินซีเคยลองมาก่อนหน้านี้ แต่แม้จะมีพลังของต้นอ่อนเงาทมิฬอยู่ มันก็ยังขัดเกลาและดูดซับในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ได้ยากอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะไปสักระยะหนึ่ง เพื่อที่จะขัดเกลามันให้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของตัวเขาเอง
ถึงอย่างไร พลังแก่นแท้ก็มีพลังของมหาเต๋าอยู่มากมาย และมันก็ได้เทียบกับชิ้นส่วนมหาเต๋าจำนวนมาก ดังนั้นมันจึงไม่ใช่สิ่งที่สามารถขัดเกลาและดูดซับได้ในชั่วข้ามคืน
ยิ่งกว่านั้น เขาได้เข้าใจเต๋าบางส่วนที่อยู่ภายในนั้นจนถ่องแท้แล้ว ดังนั้นการดูดซับพวกมันจึงเป็นการเสียเปล่าครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย และคงจะเป็นการดีกว่าที่จะใช้เวลาเพื่อสกัดเต๋ารู้แจ้งเหล่านี้ออกมา เพื่อที่ชายหนุ่มจะได้มอบมันให้กับหลิงไป๋ หั่วโม่เลย และคนอื่น ๆ แทน
“ระวัง บรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีได้ทิ้งตราประทับไว้บนตัวเจ้า แม้ว่าเจ้าจะตั้งใจดึงพวกมันมาสู้กับผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ แต่ก็ยังค่อนข้างอันตราย” หม้อใบจิ๋วกล่าวเตือน
“ข้าทราบแล้ว” เฉินซียิ้ม
“เรามาถึงแล้ว!” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หม้อใบจิ๋วก็โพล่งขึ้นมา และเสียงของมันก็สั่นเล็กน้อย “ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผนึกแก้วศักดิ์สิทธิ์โกลาหล!”
เฉินซีรู้สึกตกตะลึง และเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็เห็นแท่นบูชาโบราณลอยอยู่บนท้องฟ้าอันไกลโพ้น
แท่นบูชานั้นสูงเท่าภูเขา และสร้างจากหินสีน้ำตาลอมเทา ทำให้มันดูโบราณ เรียบง่ายและไม่มีบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ทว่ากลับให้ความรู้สึกที่น่าเคารพ คล้ายตัวตนยิ่งใหญ่ที่หวนคืนสู่สามัญเรียบง่าย
มหาเต๋านั้นมุ่งสู่ความเรียบง่าย และไม่ใช่สิ่งที่ฉูดฉาดหวือหวา มันคือความเรียบง่ายที่ผสานรวมกับฟ้าดินและเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นดั่งกฎของธรรมชาติ และตั้งตระหง่านอยู่ในจักรวาลอันมืดมิด
เมื่อมองจากระยะไกล มันเหมือนกับแท่นบูชาที่เหล่าบรรพบุรุษสร้างขึ้นเพื่อบวงสรวงแก่สวรรค์ และมันมีกลิ่นอายยิ่งใหญ่ที่สั่นคลอนจิตใจของผู้คน
สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มตกใจเป็นพิเศษก็คือ แท่นบูชาโบราณนี้เต็มไปด้วยโอสถวิญญาณที่เปล่งประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสาดส่องลงมาราวกับสายฝนแห่งแสง และพวกมันก็เต็มไปด้วยพลังที่ท่วมท้น
โอสถวิญญาณบางชนิดดูน่าอัศจรรย์ยิ่ง ด้วยมันคล้ายจะมีสติปัญญา และก่อตัวอยู่ในร่างแสงขนาดเล็ก ซึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่บนกิ่งไม้ที่อาบไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ และสีหน้าของพวกมันก็เคร่งขรึมราวกับว่ากำลังทำความเข้าใจในเต๋าอยู่
ทว่าสิ่งนี้ดูจะไม่ใช่การบ่มเพาะโดยเจตนา ทว่าโอสถวิญญาณที่ยอดเยี่ยมและพิเศษเหล่านี้โชคดี ที่ได้รับการหล่อเลี้ยงจากปราณวิญญาณอันยอดเยี่ยมที่มีอยู่ในฟ้าดินของที่นี่
เฉินซีเห็นสมุนไพรวิญญาณดาราน้ำแข็งที่ได้สูญพันธุ์ไปนานแล้วในโลกภายนอก มันกำลังเติบโตอยู่ระหว่างรอยแตกของหินบนแท่นบูชา มันทั้งขาวและใสราวกับว่าถูกแกะสลักออกมาจากหิมะที่ตกผลึก บนเส้นใบของมันมีดวงดาวสีเงินเล็ก ๆ ที่ไหลเวียนเป็นประกายสีเงิน ซึ่งดูเหมือนกับน้ำตกที่ไหลรินออกมา ดูแล้วงดงามอย่างมาก
สิ่งนี้นับเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อหลอมโอสถเซียนได้ และเนื่องจากมันสูญพันธุ์ไปนานแล้ว ดังนั้นตั้งแต่นั้นมา โอสถทิพย์ดังกล่าวจึงกลายเป็นสิ่งล้ำค่า
“ซ่อนตัวเดี๋ยวนี้” หม้อใบจิ๋วกล่าวผ่านกระแสปราณ “ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพสองคนนั้นกำลังซ่อนตัวอยู่ในบริเวณรอบ ๆ แท่นบูชา”
เฉินซีรู้สึกตกใจและกลับมามีสติอีกครั้ง จากนั้นจึงทำตามคำแนะนำของหม้อใบจิ๋ว และค่อย ๆ เดินไปยังมุมหนึ่งของแท่นบูชาที่อยู่ไกลออกไปอย่างเงียบ ๆ ซึ่งในระหว่างนั้น หม้อใบจิ๋วก็ได้ใช้เคล็ดวิชาเพื่อปกปิดกลิ่นอายของชายหนุ่มเอาไว้
เว้นแต่จะเป็นคนที่ครอบครองพลังอิทธิฤทธิ์บางอย่าง เช่น เนตรเทวะแห่งความจริง มิฉะนั้นจะไม่มีทางที่จะสังเกตเห็นเฉินซี
“เราพลาดดินแดนเร้นลับไปมากมายตลอดทาง ถ้าเราไม่สามารถหาสมบัติลับที่น่าอัศจรรย์นั้นได้ ข้าจะทำให้เจ้าเด็กคนนั่นต้องร้องขอความตายอย่างแน่นอน!”
“แต่มันก็น่าแปลก ทุกก้าวที่เจ้าเด็กคนนั้นเหยียบย่ำ กลับหลีกเลี่ยงภยันตรายภายในวงกตแห่งนี้ได้ ดังนั้นสมบัติที่เราจะได้รับจากการเดินทางในครั้งนี้ มันย่อมต้องล้ำค่าอย่างแน่นอน!”
“เอ๊ะ! ทุกคน ดูนั่นสิ นั่นมัน…”
ในขณะที่เฉินซีกำลังปกปิดตัวตน เสียงสนทนาก็ดังขึ้น จากนั้นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็มาถึงอย่างพร้อมเพรียง และหลังจากที่เห็นแท่นบูชาโบราณที่สูงเท่าภูเขา ร่างกายของพวกเขาทุกคนก็สั่นสะท้าน ใบหน้าของทุกคนเผยความตกใจและแสดงความปรารถนาออกมา
“ที่นั่นมีโอสถวิญญาณมากมายนัก! แม้แต่โอสถทิพย์เช่นสมุนไพรวิญญาณดาราน้ำแข็งก็ยังมีในหมู่พวกมัน หากเป็นเช่นนี้ ข้าจะสามารถหลอมโอสถเต๋าหยกพิสุทธิ์ได้ และพุ่งเข้าสู่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับที่เก้าได้อย่างง่ายดาย!”
“มันไม่ได้มีแค่สมุนไพรวิญญาณดาราน้ำแข็งเท่านั้น ยังมีดอกไม้โลหิตมังกร ผลไม้คืนวิญญาณเก้าใบ… สวรรค์! ของพวกนี้ล้วนเป็นโอสถวิญญาณหายากที่สูญพันธุ์ไปนานแล้ว!”
“ที่นี่เป็นสถานที่ที่ลึกลับที่สุดในด่านแห่งความลึกล้ำ บางทีสมบัติลับที่น่าตกตะลึง อาจซ่อนอยู่บนแท่นบูชาโบราณก็เป็นได้”
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทุกคนอุทานด้วยความตกใจ ดวงตาของพวกเขาลุกโชนด้วยแรงปรารถนา เพราะหากระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาแล้ว โอสถวิญญาณทั่วไปก็มิอาจทำให้หัวใจของพวกเขาสั่นไหวได้ แต่โอสถวิญญาณที่เห็นอยู่ในตอนนี้ ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่พวกเขาต่างใฝ่ฝันถึง ดังนั้นจะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นได้อย่างไรกัน?
มีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนหนึ่งที่ไม่อาจอดกลั้นได้ และยื่นมือออกไปเพื่อคว้าโอสถวิญญาณ
ตู้ม!
ทว่าทันทีที่เขาเคลื่อนไหว กระแสพลังที่เหมือนคลื่นยักษ์ก็ถาโถมลงมา มันได้สลายการกระทำทั้งหมดของคนผู้นี้ และคลื่นกระแทกก็ทำให้ตัวคนต้องเซกลับไปทางด้านหลัง
ฉากนี้ทำให้หัวใจของทุกคนกระตุกวูบทันที และพวกเขาก็ได้สติจากความโลภที่แผดเผาอยู่ภายในอก
“นี่มัน…”
เมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของกระแสพลังแล้ว พวกเขาก็ต้องตกใจอีกครั้ง แม้กระทั่งลมหายใจของพวกเขาก็พลันหนักอึ้งขึ้น
ในขณะนี้ มีวัตถุศักดิ์สิทธิ์หลายชิ้นลอยอยู่บนแท่นบูชา พวกมันทั้งหมดต่างถูกปกคลุมด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์และอาบไปด้วยปราณเซียน พวกมันคือผลึกสีดำที่มีขนาดเท่ากำปั้น กระดองเต่าที่แตกหัก และกระบี่หักสีดำสนิท
และตรงกลางของสมบัติศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้คือ เจดีย์ทองสัมฤทธิ์ที่ให้ความรู้สึกไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง มันมีรอยสนิมและคราบเลือดสีดำเข้ม อีกทั้งยังมีกลิ่นอายลึกลับและน่าสะพรึงกลัว ซึ่งแค่มองจากระยะไกล ก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งหัวใจ
อันที่จริง นอกจากกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวแล้ว เจดีย์ทองสัมฤทธิ์นี้ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษนัก มันเป็นเพียงรอยสนิมธรรมดา อีกทั้งยังด้อยกว่าสมบัติศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงด้วยซ้ำ
แต่สายตาของผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านี้กลับคมกล้า ด้วยการชำเลืองมองเพียงแวบเดียว พวกเขาก็สังเกตเห็นว่า สมบัติศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากในโลก แต่หากว่ากันในแง่ของคุณภาพที่ดีที่สุดแล้ว มันย่อมเป็นเจดีย์ทองสัมฤทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากเจดีย์ทองสัมฤทธิ์นั้น ทำให้เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์รู้สึกหวาดกลัวและไม่สบายใจ!
“หรือว่าสวรรค์จะโปรดปรานพวกเรา จึงประทานโชคก้อนใหญ่เช่นนี้ให้แก่พวกเราทุกคนเป็นพิเศษ”
“สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสมบัติอมตะที่สั่นสะท้านใต้หล้าในยุคบรรพกาล กลิ่นอายแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่สมบัติอมตะทั่วไปจะเทียบได้!”
“สมบัติ สมบัติเต็มไปหมด!”
เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีต่างตกตะลึง ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านและก็พึมพำออกมาอย่างตื่นเต้น แท่นบูชาที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยโอสถทิพย์ที่สูญพันธ์ไปนานแล้ว อีกทั้งยังมีสมบัติอมตะมากมาย ซึ่งเป็นที่เล่าขานในตำนาน และสิ่งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าเชื่อได้ยาก
ทว่าในไม่ช้า พวกเขาก็ต้องปวดเศียรเวียนเกล้า มันเป็นเพราะสมบัติอมตะเหล่านี้แข็งแกร่งเกินไป และพวกมันกำลังปกป้องแท่นบูชาอยู่ ถึงแม้พวกเขาจะพยายามหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่ต้องพูดถึงสมบัติอมตะเหล่านั้นเลย เพราะแม้แต่โอสถทิพย์สักชิ้น พวกเขาก็ไม่มีโอกาสได้รับมัน
ถึงขุมสมบัติที่น่าอัศจรรย์จะปรากฏอยู่ตรงหน้า แต่พวกเขาก็ทำได้แค่มองดูอย่างหมดหนทาง ความรู้สึกเช่นนี้ซับซ้อนมาก จึงทำให้พวกเขารู้สึกหดหู่และร้อนรุ่มใจเป็นอย่างมาก เพราะสมบัติที่ยากจะได้มานั้นกองพะเนินอยู่ตรงหน้าของพวกเขา แต่พวกเขากลับไม่สามารถเข้าใกล้พวกมันได้เลย มันช่างปวดร้าวหัวใจเหลือเกิน
“ในเมื่อด่านแห่งความลึกล้ำได้ปรากฏขึ้นแล้ว มันย่อมมีไว้สำหรับผู้มีวาสนาอย่างแน่นอน สมบัติล้ำค่าเหล่านี้ถูกทิ้งไว้เพื่อมอบให้กับผู้คนในยุคต่อมา มิฉะนั้นเราคงไม่มีทางที่จะมาถึงที่นี่ได้…”
เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างเค้นสมองเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้า เพราะพวกเขาไม่อาจปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้ได้ การเข้าไปในภูเขาที่เต็มไปด้วยสมบัติมากมาย แต่ต้องกลับมาอย่างมือเปล่านั้นเป็นเรื่องที่ยากจะทนไหว!
และในขณะนี้มีดวงตาเย็นยะเยือกคู่หนึ่งกำลังจ้องมองพวกเขาอย่างเย็นชาจากพื้นที่อีกด้านหนึ่งของแท่นบูชา