บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 687 สุนัขทมิฬเฝ้านรก
บทที่ 687 สุนัขทมิฬเฝ้านรก
ร่างบางของเสี่ยวเฉินเอนลงสู่อ้อมแขนเฉินซี และในที่สุดนางก็หยุดร้องไห้
ทว่าโม่ย่ากับเด็กคนอื่น ๆ ยังจ้องเฉินซีด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ไม่ปิดบังความเกลียดชังสักนิด ทำให้เหมิงเหวยที่อยู่ใกล้เคียงรู้สึกเวียนหัว
ในช่วงครึ่งเดือนที่เฉินซีมาอยู่ด้วย เขาจะนอนอยู่บนเตียงเสมอ ถึงแม้ว่าจะกินอาหารน้อย แต่ก็ยังทำให้อาหารที่เก็บไว้ลดลงไปมากอยู่ดี อีกทั้งยังต้องเสียตัวยาต่าง ๆ เพื่อใช้รักษาด้วย
ตามแผนเดิมแล้ว ทั้งอาหารและยาจะเลี้ยงคนทั้งกลุ่มได้ราวหนึ่งเดือน แต่เพราะมีเฉินซี ตอนนี้จึงอยู่ได้เพียงครึ่งเดือน
หากในอีกครึ่งเดือนไม่ไปเติมเสบียง พวกเขาก็คงจะต้องอดอาหารกันถ้วนหน้า หรืออาจจะอดตายก่อนจะถึงจุดหมายก็เป็นได้
กระทั่งเหมิงเหวยยังเป็นห่วงเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงเข้าใจเหตุผลที่โม่ย่าอารมณ์ไม่ดีในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้
เฉินซีหัวเราะเสียงขื่น มองสายตาไม่เป็นมิตรที่พุ่งตรงมาที่ตนเอง จากนั้นก็หันไปมองเหมิงเหวย “พี่เหมิงเหวย เผ่าท่านมักออกล่าที่ใดยามอาหารหมดหรือ?”
หลายวันที่ผ่านมา ชายหนุ่มได้กินอาหารไปมากจริง ๆ และนั่นก็เพื่อทำให้ฟื้นคืนพลัง เขาจึงพบว่าอาหารทุกอย่างเป็นซุปจากผงเนื้อแห้งและกระดูก จึงคาดคะเนว่าเผ่านี้หาอาหารจากการออกล่า
“เจ้า… อยากช่วยพวกเราออกหาอาหารหรือ?” เหมิงเหวยประหลาดใจ จากนั้นมองเฉินซีแปลก ๆ แล้วขมวดคิ้ว “น้องเฉินซี เจ้าควรวางใจ พักฟื้นอยู่ในกระโจมก่อนเถอะ โม่ย่าโกรธจึงพูดเช่นนั้น แต่อย่าได้คิดมากเลย”
เขาคิดว่าเฉินซีเอ่ยด้วยความโกรธ และคาดคะเนไว้นานแล้วว่าอาการบาดเจ็บของเฉินซีหนักเกินไป แทบเรียกได้ว่าพิการ ไม่ต้องพูดเรื่องออกล่า เดินให้ปกติยังยาก!
“หึ! ปล่อยเขาไปสิ เขาอยากตายจะไปห้ามทำไม?” โม่ย่าเอ่ยเสียงเย็น ในใจอยากให้อีกฝ่ายตาย ๆ ไปเสีย
“เอาล่ะ โม่ย่า ใจเย็นลงก่อนแล้วอย่าสร้างปัญหาอีกเลยนะ?” เหมิงเหวยมุ่นคิ้ว ใบหน้าแข็งกร้าวเผยแววภูมิฐาน
โม่ย่าที่เห็นดังนั้นก็ได้ส่งเสียงไม่พอใจ หญิงสาวยังคงต่อว่าออกมาไม่หยุด เช่นเดียวกับสายตาที่มองไปยังเฉินซีก็ยิ่งเผยความเกลียดชังกว่าเก่า
กระทั่งพวกหนุ่มสาวและเด็กพวกนั้นยังมีสีหน้าเหยียดหยัน
ทุกคนฝึกฝนมาตั้งแต่เล็ก เคารพผู้แข็งแกร่ง เฉินซีผู้อ่อนเปลี้ยนี้ไม่เพียงจะมาผลาญอาหารและยาของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังทำทีเป็นแข็งแกร่งอีก ทุกคนจึงยิ่งไม่ชอบใจ
เฉินซีที่เห็นดังนั้นได้แต่เกาจมูกตนเอง ไม่รู้จะพูดอะไร
“พี่วางใจแล้วพักผ่อนเถอะ หายดีแล้วค่อยออกไปล่าก็ยังทัน” เสี่ยวเฉินเอนร่างลงในอ้อมแขนเฉินซี เอ่ยเสียงเบา นัยน์ตากลมโตดูปลอบโยน
เฉินซีไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาจึงเอ่ยเสียงเบาขึ้น “เสี่ยวเฉิน ข้าเบื่อจะอยู่ในกระโจมแล้ว เหตุใดเจ้าไม่พาข้าไปเดินแถวนี้สักหน่อยเล่า?”
“ได้สิ!” เด็กหญิงพยักหน้าอย่างแข็งขัน
เฉินซีคลี่ยิ้มให้พลางลูบผมหนาสีดำขลับของเด็กสาว
“น้องเฉินซี เจ้าอย่าได้ไปไกลนักเล่า เดินคลายเบื่ออยู่แถวนี้ก็พอ” ก่อนจาก เหมิงเหวยยังเอ่ยเตือนอย่างหวังดี เหมือนกังวลว่าเฉินซีจะถูกอสูรดุร้ายลากไป
เฉินซีพยักหน้า จากนั้นจับมือเสี่ยวเฉินแล้วพากันเดินออกไป
“เหตุใดเราไม่ตามพวกนั้นไปแล้วสังหารขยะนั่นทิ้งเสียเลยเล่า?” โม่ย่ามองร่างที่เลือนหายไปของเฉินซี ใบหน้างามเผยความลังเลออกมา
“โม่ย่า ท่านนักบวชเรียกเขาไปพบคืนนี้ หากจู่ ๆ อีกฝ่ายหายตัวไป เจ้ารับผลที่ตามมาไม่ไหวแน่” เหมิงเหวยเหลือบมองโม่ย่า เหมือนทั้งเตือนทั้งแนะ “อย่างไรก็เสียทั้งข้าวทั้งยากับเขาไปมากแล้ว ไว้หากท่านนักบวชมั่นใจแล้วว่าเขาไร้ประโยชน์ ถึงตอนนั้นก็ค่อย…”
“จัดการได้ตามใจข้า?” โม่ย่าตาเป็นประกาย
เหมิงเหวยโบกมือไม่กล่าวอะไรอีก แต่กลับถอนหายใจอยู่ภายในใจ
…
นรกขุมที่เก้าเป็นสถานที่แสนประหลาด มีท้องฟ้าสีเทาเข้มอยู่ตลอด ราวกับมีหมอกควันหนาฟุ้งกระจายอยู่ ไม่อาจเห็นตะวัน จันทรา และดวงดาวได้เลย
อีกทั้งกฎแห่งเต๋าสวรรค์ที่นี่ยังมีไม่มาก แทบสัมผัสไม่ได้ ราวกับเต๋าแห่งสวรรค์ได้ละทิ้งที่นี่ไปแล้ว
ส่วนสภาพแวดล้อมก็ยิ่งไม่เอื้ออำนวย ทุกแห่งปกคลุมไปด้วยหินเหมือนทะเลทราย ไม่มีดอกไม้ พืช หรือต้นไม้ ไร้ความมีชีวิตชีวาอย่างสิ้นเชิง ทำให้รู้สึกกดดันอย่างมาก
‘ผู้เหลือรอดแห่งนรกขุมที่เก้า สถานที่รกร้าง… ที่นี่ประหลาดแท้!’ เฉินซีถอนใจก่อนจะเดินไปกับเสี่ยวเฉิน ห่างออกมาจากกระโจมแล้ว
“พี่จะพาข้าไปไหนหรือ?” เสี่ยวเฉินเงยหน้าเล็กขึ้นถาม
“ถึงแล้วก็รู้เอง” เฉินซีเอ่ยพลางยิ้ม ยามเห็นเสี่ยวเฉิน มันก็ทำให้ชายหนุ่มนึกถึงซีซีสมัยยังเด็ก เพราะนางทั้งน่ารักและงดงามเหมือนกัน เวลาผ่านไปหลายปี ซีซีคงจะกลายเป็นหญิงงามแล้วกระมัง?
“พี่คงไม่ได้พาข้าไปหาอาหารหรอกใช่หรือไม่?” เสี่ยวเฉินพลันเอ่ยขึ้นเสียงเบา แต่นัยน์ตากลมโตกลับไร้ซึ่งความหวาดกลัว จะมีก็เพียงความตื่นเต้น ความอยากรู้อยากเห็น และกระตือรือร้นแทน
เฉินซีมองเด็กหญิงด้วยความประหลาดใจ ชื่นชมเด็กน้อยอยู่ภายในใจ นางช่างเป็นเจ้าหนูที่ชาญฉลาดนัก!
แกว้ก! แกว้ก!
เสียงร้องแหลมดังเสียดแก้วหูและไม่น่าฟัง ราวกับเสียงโหยหวนของภูตผีดังก้องมาจากที่ไกล ๆ มันน่าสยดสยองยิ่งนัก ทั้งยังได้ยินเสียงหอนลอยแว่วมาด้วย
เฉินซีรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงเหล่านี้
…เรามาถึงแล้ว!
ที่อยู่ไกลออกไปคือนกประหลาดฝูงหนึ่งที่มีขนสีดำและมีกระดูกสีขาว มันบินทะยานขึ้นฟ้าและพุ่งลงดินเพื่อล่าเหยื่อ
บนพื้นคือสุนัขทมิฬเฝ้านรกสามหัวที่มีขนาดตัวเท่าวัว ขนสีดำบนร่างเงาวับ มีนิสัยดุร้าย แต่ตอนนี้บนร่างของมันกลับมีบาดแผลโชกเลือดด้วยฝีมือของนกประหลาดเหล่านั้นอยู่ เห็นได้ชัดว่ากำลังถูกล้อม และดูกระวนกระวายอย่างยิ่ง
“เหยี่ยวกระดูก! ฝูงเหยี่ยวกระดูก! สวรรค์! แล้วยังมีสุนัขทมิฬเฝ้านรกอีก!” เสี่ยวเฉินร้องขึ้นด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็รีบเอามือปิดปากด้วยความประหม่า “ไม่ดีแล้ว นี่มันฝูงเหยี่ยวกระดูกกับสุนัขทมิฬเฝ้านรก ระหว่างทางพวกมันกินพวกเราไปมาก กระทั่งท่านลุงเหมิงเหวยเจอยังต้องหนี เรารีบกันเถอะ”
“เสี่ยวเฉิน เจ้าไม่ต้องกลัว ดูนะ เดี๋ยวพวกมันทั้งหมดก็ตายแล้ว” เฉินซีเอ่ยปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน พร้อมกันนั้นก็ใช้จิตสัมผัสเทพจากห้วงจิตสำนึกแผ่ออกไป
ฟึ่บ!
จิตสัมผัสเทพเหมือนกระแสสายฟ้าฟาดลงมาจากสวรรค์ทั้งเก้า ไม่ว่าจะผ่านไปจุดใด เหยี่ยวกระดูกนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้าก็เหมือนถูกค้อนใหญ่ทุบจนร่างแยก ส่งเสียงกรีดร้องก่อนจะร่วงลงมาจากฟ้า
นอกจากนั้นแล้ว สุนัขทมิฬเฝ้านรกที่อยู่บนพื้นก็ยังส่งเสียงร้องโหยหวนน่าสงสาร ศีรษะทั้งสามถูกหักออก ก่อนจะร่วงลงมากับพื้น ไม่เหลือลมหายใจไว้อีก
“นี่มัน…” เด็กหญิงเบิกตาโตอ้าปากค้าง สีหน้าไม่อยากเชื่อ ภาพตรงหน้านั้นน่าตกใจมากเกินไปสำหรับเด็กน้อยอย่างนาง ทั้งยังเป็นภาพราวกับปาฏิหาริย์ถือกำเนิด ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดอสูรดุร้ายเหล่านั้นถึงตายลงพร้อมกันได้?
“หยุดเหม่อได้แล้ว เรากลับไปเรียกคนอื่นให้มาเก็บอาหารกันเถอะ” เฉินซีจูงมือเสี่ยวเฉินไว้ จากนั้นก็เดินกลับไปทางที่กระโจมตั้งอยู่
“อ้อ ใช่แล้ว! หากมีอาหารเหล่านี้ ป้าโม่ย่าจะต้องดีใจมากแน่!” เสี่ยวเฉินร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้นและมีความสุข
‘สตรีนางนั้น…’ เฉินซีพลันนึกถึงจิตสังหารที่สัมผัสได้จากด้านหลังตอนเดินออกมา จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วไม่สนใจอีก
เพราะไม่ว่านางจะเกลียดเขาอย่างไร แต่นางก็ทำเพื่อคนของตน ซึ่งนั่นนับเป็นเรื่องที่น่านับถือ
…
“ว่าไงนะ!? เสี่ยวเฉิน เจ้าไม่ได้โกหกใช่หรือไม่?”
“จัดการฝูงเหยี่ยวกระดูกกับสุนัขทมิฬเฝ้านรกหรือ? เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง?”
“สวรรค์โปรด! หากมีอาหารมากมายเช่นนั้นจริง เช่นนั้นพวกเราก็คงมีกำลังมากพอที่จะออกจากที่นี่ได้ตั้งนานแล้ว!”
เกิดเสียงอื้ออึงขึ้นในค่ายเมื่อเสี่ยวเฉินเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟัง บ้างตกตะลึง บ้างสงสัย บ้างก็คิดว่าเสี่ยวเฉินโกหก กระทั่งเหมิงเหวยกับโม่ย่ายังมาถามนางถึงที่นี่
“เป็นเรื่องจริง ข้าไม่ได้หลอกพวกท่านเลย ไปดูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือว่าจริงหรือหลอก?” เสี่ยวเฉินแหงนหน้าน้อย ๆ ขึ้นพร้อมกับเอ่ย
“โม่ย่า เจ้ามากับข้า สหายน้อยทั้งหลายก็ตามพวกเรามาด้วยเช่นกัน ที่เหลือให้ปกป้องที่นี่เอาไว้ ห้ามออกไปโดยพลการเด็ดขาด!” ไม่นานเหมิงเหวยก็ตัดสินใจได้ แม้ว่าเขาเองจะรู้สึกกังขาอยู่เช่นกัน
เฉินซียืนอยู่หน้ากระโจมของตนเอง ที่มุมปากเจือแววยิ้มเมื่อเห็นภาพนั้น
หากไม่ได้เหล่าผู้เหลือรอดแห่งนรกขุมที่เก้าช่วยเหลือไว้ เขาก็คงตายไปในแม่น้ำนรกแล้ว ดังนั้นเมื่อเฉินซีสามารถช่วยอีกฝ่ายได้ เขาจึงรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก
อีกทั้งมันยังไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงอะไรอีกด้วย
“เลิกยิ้มได้แล้ว! หากไปแล้วไม่พบอาหาร กลับมาข้าฆ่าเจ้าแน่!” โม่ย่าหันกลับมาเอ่ยเสียงเย็นกับเฉินซี
นางรู้สึกว่าเสี่ยวเฉินถูกคนผู้นี้หลอกจนกล้าพูดโกหก เพราะจู่ ๆ ฝูงเหยี่ยวกระดูกกับสุนัขทมิฬเฝ้านรกจะตายอย่างน่าประหลาดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
แม้ว่านางกับเหมิงเหวยลงมือพร้อมกัน ก็คงไม่อาจทำเช่นนี้ได้โดยไม่เกิดการปะทะดุเดือด
ชายหนุ่มชะงักไป ก่อนคิดขึ้นในใจว่า ‘ดูท่าความเข้าใจผิดที่นางมีต่อข้าจะหนักหนามากทีเดียว’
ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เหมิงเหวยกับโม่ย่าก็จากไปพร้อมกับสหายน้อยทั้งหลายแล้ว ในขณะที่เสี่ยวเฉินก็ตามทั้งสองไปเช่นกัน เหลือไว้เพียงยามคุ้มกันค่ายไม่กี่คนคอยยืนปกป้องกระโจมที่อยู่ตรงกลาง
‘ดูท่าท่านนักบวชจะพักอยู่ในกระโจมนั้น’ เฉินซีเหมือนหลุดเข้าไปในภวังค์ความคิด
หลายวันที่ผ่านมานี้ เขาได้รู้จากเสี่ยวเฉินแล้วว่า แม้หัวหน้าคนกลุ่มนี้จะเป็นเหมิงเหวย แต่ท่านนักบวชกลับเป็นบุคคลที่ทุกคนให้ความเคารพสูงสุด
กระทั่งโม่ย่ากับเหมิงเหวยเองก็ยังเชื่อฟังทุกคำพูดของท่านนักบวช ไม่กล้าขัดสักครั้ง
อีกทั้งเหตุผลที่เขาได้รับการช่วยเหลือและได้รับอะไรมากมายเช่นนี้ มันก็เพราะท่านนักบวช ไม่เช่นนั้นโม่ย่าคงไล่เขาออกไปตั้งนานแล้ว
“สหาย ในเมื่อเจ้าไม่มีอะไรทำ เข้ามาคุยกันข้างในสักหน่อยเป็นไร?” น้ำเสียงแหบแห้ง ทุ้มต่ำ และดูแก่ชราดังออกมาจากภายในกระโจม
“ด้วยความยินดียิ่ง” เฉินซีจึงเดินเข้าไป เขาเองก็สงสัยมากเช่นกันว่า ท่านนักบวชที่ได้รับความเคารพจากทุกคนจะเป็นคนเช่นไรกันแน่?
อีกทั้งเหตุใดอีกฝ่ายจึงสั่งให้ทุกคนช่วยเหลือเขาที่ได้รับบาดเจ็บหนักให้ได้ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตามด้วย?
“ระวังไว้ให้ดีเถอะ หากเจ้ากล้ามีความคิดชั่วร้ายใดหลังจากเข้าไปในนั้นแล้ว ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้น ๆ!” คนคุ้มกันผู้หนึ่งเตือนเขาเมื่อเดินมาถึงด้านหน้า
ทว่าเฉินซีเพียงยิ้มให้ แล้วไม่สนใจอะไรอีก เขาเลิกผ้าขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน