บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 693 เหม่อลอย
บทที่ 693 เหม่อลอย
โม่ย่าชะงักไป คำพูดของเหมิงเหวยทำให้ความรู้สึกเกลียดชังที่มีต่อเฉินซีของนางหายไปจนหมดสิ้น
นางรู้ดีว่าคนในเผ่าของนางทั้งซื่อตรงและจิตใจดีมากแค่ไหน พวกเขามีใจบริสุทธิ์ดั่งผ้าขาว ไม่รู้จักผลประโยชน์ส่วนตน การหักหลัง และการต่อสู้กันเองเลยสักนิด…
แต่หากต้องออกไปโลกภายนอกล่ะ?
จะยังรักษาใจที่สะอาดบริสุทธิ์เช่นนี้ไว้ได้หรือไม่?
โม่ย่าไม่อาจมั่นใจได้
ดังนั้นคำพูดของเหมิงเหวยจึงทำให้นางเข้าใจเจตนาของเฉินซีได้อย่างรวดเร็ว จนทำให้เกิดความรู้สึกซับซ้อนขึ้นในใจ หรือว่าตัวนางจะเข้าใจสหายผู้นี้ผิดไปจริง ๆ?
นัยน์ตาของหญิงสาวเผยแววสับสน และเมื่อนางลองคิดดูแล้ว เหตุผลที่นางไม่เป็นมิตรต่อเขาก็เป็นเพราะตัวนางเองทั้งสิ้น!
โม่ย่าเกิดอคติยามครั้งแรกที่ได้พบกับเขา และคิดว่าเฉินซีเป็นขยะไร้ประโยชน์ที่มาผลาญข้าวกับยา และถึงขนาดอยากหาจังหวะสังหารเขาทิ้งด้วยซ้ำ
แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ใช่เพียงขยะชิ้นหนึ่ง แต่เป็นผู้บ่มเพาะอัจฉริยะที่หาตัวได้ยาก
ภายใต้คำชี้แนะของเขา เสี่ยวเฉินและเด็กน้อยคนอื่น ๆ ต่างสามารถทำความเข้าใจเต๋ารู้แจ้งได้ และเมื่อได้เขาอธิบาย คนในเผ่าก็ได้รู้จักโลกใหม่และระบบการบ่มเพาะพลังแบบใหม่…
เมื่อลองสงบใจแล้วคิดดูแล้ว โม่ย่าจึงตกใจว่า เผ่านรกขุมที่เก้าที่นางคุ้นเคยกำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงเพราะการมาถึงของเฉินซี และพวกเขาก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด
คนผู้นี้เป็นใครกันแน่!?
โม่ย่าถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนสายตาที่มองทางเฉินซีจะดูสดใสและอ่อนโยนขึ้นมาก ไม่หลงเหลือความเกลียดชังอยู่อีก
ช่างมันเถอะ! ตราบเท่าที่เขาจริงใจต่อเผ่าเรา ทำไมจึงต้องสนว่าเขาเป็นใคร?
เมื่อคิดได้ถึงจุดนี้ โม่ย่าก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก ทั่วทั้งร่างผ่อนคลายขึ้นมาก
…
เฉินซียังคงให้คำแนะนำอยู่
น้ำเสียงเขาเริ่มหนัก ก้องกังวาน ให้ความรู้สึกน่าตื่นตะลึง “ว่ากันตามตรงแล้วกัน พวกเจ้ามีพละกำลังน้อยนิดเหลือเกิน ด้อยกว่าเด็กอายุแปดเก้าขวบในแดนภวังค์ทมิฬบางคนเสียอีก นี่ข้าไม่ได้จงใจกดพวกเจ้าลงต่ำหรอกนะ แต่เมื่อไรที่พวกเจ้าไปถึงแดนภวังค์ทมิฬ ความแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่อาจหาที่ตั้งหลักได้แน่”
สายตาจากบรรดาเด็ก ๆ เริ่มจุดประกายเปลวเพลิงแห่งความโกรธขึ้น เพราะความภาคภูมิใจของพวกเขาถูกสบประมาทอย่างร้ายแรง ทำให้เด็ก ๆ มีโทสะ พวกเขาพากันกำหมัดแน่นและใบหน้าขึ้นสีแดงไปหมด
‘ดีมาก!’ เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็พึงพอใจ ด้วยสิ่งนี้จะกลายเป็นแรงผลักดัน ทำให้พวกเด็ก ๆ กระตือรือร้นมากกว่านี้
“ขอข้าถามอีกสักครั้ง พวกเจ้าอยากแข็งแกร่งหรือไม่!?” เฉินซีตะโกนเสียงดัง
“อยาก!” เหล่าเด็ก ๆ พากันคำรามเสียงก้องกังวาน
“ดีมาก! จากนี้ต่อไป พวกเจ้าจะได้ใช้ชีวิตแตกต่างไปจากเดิม อีกไม่นาน พวกเจ้าก็จะได้เกิดใหม่ เรื่องขาดแคลนอาหารไม่ต้องกังวล เรื่องศัตรูก็ไม่ต้องใส่ใจ” เฉินซีเอ่ยทีละคำ “จงกังวลเพียงเรื่องเดียวเถอะ ว่าจะทำให้ข้าพอใจได้หรือไม่!”
เหล่าเด็ก ๆ พากันเผยสีหน้ามุ่งมั่น เหมือนกับจะบอกว่า ‘ท่านลุงเฉินซีคอยดูเถอะ!’
นี่เป็นชั้นเรียนครั้งที่สองของเฉินซีแล้ว เขาจัดระเบียบให้ทุกคน ตั้งระบบการให้รางวัลและลงโทษขึ้นมา พร้อมกันนั้นก็สร้างแรงบันดาลให้กับพวกเด็ก ๆ
…
หลังจากสอนเสร็จแล้ว ชายหนุ่มก็เรียกเจ้าดำ เจ้าหน้าบาก เจ้าโล้น เจ้าหิน เสี่ยวเฉิน และเด็กอีกคนที่ชื่ออาซิ่วเข้ามาในกระโจม
เจ้าดำ เจ้าหน้าบาก และเจ้าโล้น เป็นหัวหน้ากลุ่มย่อยทั้งสามของค่ายอัสนีม่วง โดยแต่ละคนจะคุมกลุ่มของตนเองที่มีสมาชิกราวสิบเก้าคน
อีกทางด้านหนึ่งคือเจ้าหิน อาซิ่ว และเสี่ยวเฉิน เป็นหัวหน้ากลุ่มย่อมสามกลุ่มของค่ายผลึกเยือกแข็งคราม แต่ละคนคุมคนอีกเก้าคน ในขณะที่เสี่ยวเฉินมีคนแค่แปดคนเท่านั้น ทั้งยังเป็นเด็กน้อยทั้งหมดเสียด้วย
ตอนนี้ทั้งหกคนกำลังยืนประหม่าอยู่ตรงหน้าเฉินซี ในสายตาของพวกเขา เฉินซีไม่ใช่คนป่วยที่พวกเขาคุ้นเคยอีกต่อไป แต่เป็นท่านหัวหน้าผู้สง่างามและน่าประทับใจ เมื่อยืนอยู่เบื้องหน้า จึงทำให้เกิดความเคารพยำเกรงขึ้นมา
“แสดงทุกอย่างที่พวกเจ้ารู้ออกมาให้หมด อย่าได้เหลือสิ่งใดไว้” เฉินซีสั่งการไม่ยาก
“ขอรับ/เจ้าค่ะ” ทุกคนตอบรับ ด้วยค่อย ๆ เรียนรู้ท่าทีของเฉินซีได้แล้วว่า แค่ทำตามที่เขาสั่ง ทำให้ได้ตามข้อกำหนดก็ทำให้อีกฝ่ายพอใจได้แล้ว
คนทั้งหมดจึงเริ่มฝึกวิชาบ่มเพาะและกระบวนท่าของตนออกมาทีละคน
จริง ๆ แล้ว วิชาที่ทุกคนบ่มเพาะอยู่ล้วนเรียนรู้มาจากเหมิงเหวย แต่เฉินซีไม่ได้สนกระบวนท่าทั้งหลายอยู่แล้ว เขาสนใจรูปแบบและลักษณะที่แต่ละคนแสดงออกมาระหว่างใช้กระบวนท่าต่างหาก
ด้วยมีแต่วิธีนี้เท่านั้น เขาจึงจะสามารถถ่ายทอดวิชาที่เหมาะกับแต่ละคนได้ …เป็นการสั่งสอนศิษย์ตามความถนัด
เมื่อทุกคนลงมือเสร็จแล้ว เฉินซีจึงหลับตาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะบอกให้ทุกคนออกไปได้
วันต่อมา เฉินซีได้เรียกหัวหน้ากลุ่มทั้งหกเข้ามาอีกครั้งในขณะที่คนทั้งเผ่าก็ยังมุ่งหน้าเดินทางต่อ ก่อนจะส่งแผ่นหยกให้ทุกคน
แผ่นหยกแต่ละชิ้นบันทึกทักษะแปรสภาพร่างกายหรือไม่ก็วิชาบ่มเพาะปราณแท้ไว้ทั้งสิ้น พวกมันล้วนเป็นวิชาชั้นยอดที่เฉินซีเตรียมไว้ให้เหมาะกับรูปร่าง นิสัย และรูปแบบการต่อสู้ของแต่ละคน
หลายปีมานี้ ชายหนุ่มได้สังหารศัตรูไปมาก อีกทั้งเขายังมาจากกองกำลังอย่างนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ดังนั้นจึงมีวิชาอยู่ในมือมากมาย
ทักษะแปรสภาพร่างกาย บ่มเพาะปราณแท้ พลังอิทธิฤทธิ์ กระบวนยุทธ์ระดับเต๋า ศาสตร์เต๋า… เขาล้วนมีอยู่มากมาย อีกทั้งยังโยนวิชาบ่มเพาะหลายอย่างเข้าเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ทันทีที่ได้รับมันมาด้วย เพราะมองก็รู้แล้วว่าไร้ประโยชน์ต่อเขา
ในที่สุดวิชาบ่มเพาะเหล่านี้ก็มีประโยชน์สักที
จากนั้นเขาก็ชี้แนะอยู่ครู่หนึ่ง อธิบายความลับภายในวิชาบ่มเพาะจนมันสลักลงในใจทุกคน ก่อนจะปล่อยให้ทุกคนออกไปได้
เฮ้อ!
เฉินซีถอนหายใจโล่งอก แต่เขาก็ไม่ได้คิดเสียเวลา จากนั้นก็หยิบหม้อหยกขึ้นมา เทสุราศักดิ์สิทธิ์ออกมาหยดหนึ่ง และเริ่มฝึกปรือทักษะขัดเกลากายาอีกครั้ง
จากที่นักบวชชราว่าไว้ ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพยังไม่หยุดยั้งการไล่ล่าพวกเขา หรือก็คือแม้ว่าจะเคลื่อนตัวห่างไกลออกไปในทุกวัน แต่ก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะไม่พบศัตรูจากต่างพิภพ
สิ่งที่ทำให้เฉินซีมุ่นคิ้วหนักที่สุดคือ นักบวชชราเองก็ไม่มั่นใจว่าประตูทางออกสู่โลกภายนอกอยู่ที่ใดกันแน่ บอกเพียงว่าพวกเขาน่าจะออกมาสู่โลกภายนอกได้หากเดินเลียบทางไปตามแม่น้ำนรกที่แสนอันตรายนี้
แต่แม่น้ำนรกสายนี้ยาวเท่าไรกันแน่? ปลายสายไหลไปที่ใดกัน?
นักบวชชราไม่อาจรู้ เพราะแม่น้ำสายนี้ยาวมาก ไหลผ่านทั่วทั้งนรกขุมที่เก้า กระทั่งบรรพบุรุษยังไม่เคยพบปลายน้ำมาก่อน
อันตรายคืบคลาน อนาคตไม่แน่นอน ความปลอดภัยของคนในเผ่า ฟื้นฟูพลังบ่มเพาะของตนเอง… เรื่องทั้งหมดนี้ทำให้เฉินซีทั้งประหม่าและเหนื่อยล้า ไม่กล้าเสียเวลาอีก
…
เจ้าดำและคนอื่น ๆ เดินเหม่อกลับไปยังที่พัก ในหัวเต็มไปด้วยวิชาอันลึกล้ำ ดึงความสนใจทั้งหมดของพวกเขาไป
ทำให้ท่าทีของทุกคนดูเหมือนถูกผีเข้า หากไม่มุ่นคิ้วก็จะพึมพำ หรือไม่ก็เดินวนไปมา ไม่ว่าการกระทำหรือท่าทางล้วนให้ความรู้สึกแปลกประหลาดทั้งสิ้น
ซึ่งเป็นภาพที่ทำให้คนอื่นรู้สึกสนใจขึ้นมา
“ฮ่า! ดูเจ้าดำสิ เจ้านั่นกำลังเกาเท้าตนเองอยู่ ทั้งยังทำลงไปอย่างไม่รู้ตัวอีก”
“หึ ไม่เห็นเจ้าโล้นหรือ? นั่นก็ตบหน้าผากซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนบวมหมดแล้ว แต่เหมือนไม่รู้สึกเจ็บเสียอย่างนั้น”
“นี่ พวกเจ้าคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกนั้น? ทำท่าทางประหลาดยิ่ง หรือท่านลุงเฉินซีจะใช้วิชาอะไรดึงวิญญาณพวกเขาออกไปแล้วหรือ?”
“อย่ามาไร้สาระ! ท่านลุงเฉินซีดีกับพวกเรามาก เขาจะทำร้ายพวกเราได้อย่างไร? หากยังพูดอะไรไร้สาระอีก ข้าจะตีเจ้าให้!”
“เหตุใดต้องจริงจังเช่นนั้น? ข้าเพียงหยอกเล่นเท่านั้น”
เมื่อมองเจ้าดำและคนอื่น ๆ อีกห้าคน หนุ่มน้อยเหล่านั้นก็อดรู้สึกสงสัยและกระซิบกระซาบถามกันไม่ได้
สถานการณ์เป็นเช่นนั้นอยู่ทั้งวัน ถึงตอนที่ต้องออกเดินทางอีกครั้ง เจ้าดำและคนอื่น ๆ ถึงได้หลุดออกจากภวังค์ประหลาดนั่น
ทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกสดชื่น นัยน์ตากระจ่างใส ใบหน้าตื่นเต้น ยากจะปกปิดความยินดีเอาไว้ได้
นี่มันจะน่าเกรงขามเกินไปแล้ว!
หากข้าบ่มเพาะต่อไป เช่นนั้นพลังบ่มเพาะคงจะรุดหน้าขึ้นมากทีเดียว!
ทุกคนร้องตะลึงอยู่ในใจ เมื่อทำความเข้าใจในวิชาบ่มเพาะของเฉินซีแล้ว ทุกคนล้วนมีความรู้สึกเดียวกันว่า มันช่างเป็นวิชาที่แข็งแกร่ง…แกร่งยิ่ง… ทั้งยังแกร่งเกินไป!
หากเป็นแต่ก่อน มีหรือพวกเขาจะรู้ว่ายังมีวิชาที่ลึกล้ำเช่นนี้อยู่ด้วย?
คนทั้งหมดกลับไปยังกลุ่มของตนเอง นำวิชาภายในแผ่นหยกถ่ายทอดให้คนอื่นโดยไม่คิดปิดบัง ถึงขนาดกล่าวคำที่เฉินซีใช้ชี้แนะให้คนอื่นฟังด้วย
เพราะทุกคนจำคำที่เฉินซีพูดได้อย่างแม่นยำว่า หากพวกเขาสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้มันยังไม่เพียงพอ มีแต่ต้องทำให้คนในกลุ่มและในค่ายแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้รับรางวัลที่เตรียมไว้ได้!
อีกครึ่งวันผ่านไป
เหมิงเหวยกับโม่ย่าต่างตกใจที่เหล่าเด็ก ๆ ในเผ่าดูเหมือนกำลังมึนเมา ทุกคนล้วนหรี่ตาลง หากไม่ครุ่นคิดอะไรอยู่อย่างตั้งใจก็จะดูเหม่อลอย หรือก็คือไม่มีใครปกติสักคน!
ขนาดความเร็วในการเดินทางยังลดลงเพราะสาเหตุนี้ด้วยซ้ำ
“เกิดอะไรขึ้น?” โม่ย่าดึงคนองค์รักษ์ผู้หนึ่งมาถามพลางมุ่นคิ้ว น้ำเสียงมีแววกังวล
ก่อนหน้านี้นางไปเปิดทางเดินข้างหน้าให้ ในขณะที่เหมิงเหวยคอยเฝ้าอยู่ด้านหลังกลุ่ม ดังนั้นจึงไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้เลย ทำให้นางนึกว่าเด็ก ๆ ไปติดโรคอะไรมาหรือไม่
เหมิงเหวยเองก็มองหน้าองค์รักษ์เช่นกัน ดูไม่พอใจอยู่เล็กน้อย กลุ่มที่เคยเป็นระเบียบกลับกลายเป็นวุ่นวาย พอเห็นแล้วเขาชักทนไม่ได้!
“พวกเขากำลังทำความเข้าใจวิชาบ่มเพาะที่เฉินซีส่งต่อให้อยู่ ดู ๆ แล้วไม่ธรรมดาเลย!” องค์รักษ์คนนั้นพูดด้วยความอิจฉา
ทำความเข้าใจวิชาบ่มเพาะหรือ?
เหมิงเหวยกับโม่ย่าเหลือบมองกัน ดูตกตะลึงไป วิชาบ่มเพาะใดที่ทำให้พวกเด็ก ๆ ดูเหม่อลอยได้เช่นนี้?
ทั้งสองทนความสงสัยไม่ไหว เรียกเจ้าดำและอีกห้าคนเข้ามา พอถามเล็กน้อยแล้วจึงได้เข้าใจทุกอย่าง อีกทั้งยังได้แผ่นหยกที่เฉินซีมอบให้เจ้าดำและเด็กคนอื่น ๆ มาอยู่ในมือเสียด้วย
“มันมหัศจรรย์ขนาดนั้นเลยหรือ?” โม่ย่าถาม
เจ้าดำและคนอื่น ๆ พยักหน้าหงึกหงัก ไม่ปิดบังแววความเคารพชื่นชมที่มีต่อเฉินซีสักนิด
“หึ! พวกเจ้าระวังไว้ หากกล้าหลอกข้า ข้าจะอัดเด็ก ๆ เช่นเจ้าให้เละเลย!” โม่ย่าเหลือบตามองทุกคน ก่อนจะยื่นมือไปรับแผ่นหยกมา “ไหนให้ข้าดูสักหน่อยว่ามันลึกล้ำขนาดไหน ถึงได้สร้างเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา…”
“เอ๋!?” นางพูดยังไม่ทันจบ เหมิงเหวยที่อยู่ใกล้เคียงก็ราวกับถูกฟ้าผ่า ร้องขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตกตะลึง