บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 709 หญิงสาวในชุดคลุมสีม่วง
บทที่ 709 หญิงสาวในชุดคลุมสีม่วง
เมืองหลีหั่วนั้นยิ่งใหญ่และงดงามมาก เมื่อมองจากระยะไกล กำแพงสีครามของมันก็สูงถึงสองลี้ และทอดยาวผ่านพื้นที่อันกว้างใหญ่ ทำให้ตัวเมืองดูสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์เมื่ออาบแสงตะวันสีทอง
กลุ่มของเฉินซีเพียงย่ำเดินไปตามผืนดิน และไม่เหาะเหินขึ้นไปบนท้องฟ้า เนื่องจากเขาต้องการให้เด็ก ๆ จากเผ่านรมขุมที่เก้าเหล่านี้ได้รับรู้ถึงโลกอันกว้างใหญ่
บางทีโลกนี้อาจสูญเสียความลึกลับอันน่าตกใจไปตั้งนานมาแล้ว แต่ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่เป็นที่รู้จักและแปลกใหม่สำหรับเด็ก ๆ เหล่านี้ที่แยกตัวจากโลกมานานหลายปี
ยิ่งกว่านั้น ถ้าพวกเขาต้องการเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้อย่างรวดเร็ว เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ต้องดูให้มากขึ้น ฟังให้มากขึ้น และทำความเข้าใจด้วยตัวเองอย่างแข็งขัน เพราะสิ่งนี้ไม่อาจพึ่งพาให้ผู้ใดช่วยได้
“ที่นี่มีปราณวิญญาณมากมายนัก!” เจ้าดำแสดงความคิดเห็นด้วยสีหน้าจริงจัง
“กฎแห่งเต๋าสวรรค์ของที่นี่ก็น่าเกรงขามเช่นกัน ข้าสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของพวกมันได้อย่างชัดเจน” เจ้าหน้าบากลูบคางและดูราวกับกำลังครุ่นคิด
“ช่างสวยงามอะไรเช่นนี้!” เสี่ยวเฉินเห็นดอกไม้ป่าสีสันสดใสที่บานสะพรั่งอยู่ข้างถนน และนางอดไม่ได้ที่จะชื่นชม เพราะนรกขุมที่เก้านั้นแห้งแล้งจนไม่มีหญ้าแม้แต่ใบเดียว
พวกเด็ก ๆ ต่างเบิกตากว้าง พวกเขาพินิจทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไม่ว่าจะเป็นพืชพันธุ์ ภูเขา แม่น้ำ ลำธาร ปราณวิญญาณที่ฟุ้งอยู่ในอากาศ หรือกฎแห่งเต๋าสวรรค์ที่ไร้ตัวตน ล้วนกลายเป็นเป้าความสนใจของพวกเขา
ส่วนเมิ่งเหว่ยกับโม่ย่าหาได้กล่าวอะไรไม่ คนทั้งคู่ยังคงสงบนิ่งเหมือนปกติ ทว่าจิตสัมผัสเทพของพวกเขากลับค่อย ๆ ทำความรู้จักโลกนี้ทีละนิด ๆ
เมื่อเห็นทั้งหมดนี้ เฉินซีพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก เนื่องจากเขาทราบว่า หากบางคนอยู่ในสภาพแวดล้อมประเภทใดประเภทหนึ่งเป็นเวลานาน พวกเขาจะรู้สึกอึดอัดอย่างมากเมื่อมาถึงสภาพแวดล้อมใหม่อย่างกะทันหัน และมันอาจถึงขั้นทำให้เกิดความตื่นตระหนก หวาดกลัว หลีกเลี่ยง และอื่น ๆ
แต่ท่าทีของเด็ก ๆ ในขณะนี้ก็ถือได้ว่าไม่เลวเลย
มีเพียงหงซานเท่านั้นที่ไม่เข้าใจ เขารู้สึกราวกับว่าตนอยู่ท่ามกลางชนเผ่าดึกดำบรรพ์ไร้อารยธรรมอย่างไรอย่างนั้น!
“มีคนที่ไม่รู้เกี่ยวกับปราณวิญญาณจริง ๆ หรือ?”
“มีคนที่ไม่รู้เกี่ยวกับกฎแห่งเต๋าสวรรค์อยู่จริง ๆ หรือ?”
“แม้แต่เด็กน้อยน่ารักแสนสวยคนนั้น ก็ยังไม่เคยเห็นดอกไม้เลยสักดอก!”
“พวกเขามาจากที่ใดกันแน่?”
หงซานรู้สึกว่าสมองของเขาไม่อาจประมวลผลเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ได้ แต่เจ้าตัวก็ยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นต่าง ๆ ไว้ในใจ และเดินตามหลังเฉินซีไปพร้อมกับคอยแนะนำทุกอย่างเกี่ยวกับเมืองหลีหั่วให้ชายหนุ่มฟัง
ตามคำร่ำลือ เมืองหลีหั่วเป็นสถานที่ซึ่งปราชญ์มหาเพลิงได้บรรลุเต๋าในยุคบรรพกาล ตามตำนานเล่าว่า ร่างของปราชญ์มหาเพลิงนั้นน่าจะเป็นเปลวเพลิงธรรมดาของโลกมนุษย์ ที่ประสบกับทัณฑ์สวรรค์โดยบังเอิญ และโชคดีรอดชีวิตมาได้ …ยิ่งกว่านั้น เปลวเพลิงที่ว่ายังได้รับสติปัญญาและเข้าใจเคล็ดวิชาในการหยั่งถึงเต๋าจากทัณฑ์สวรรค์ ดังนั้นมันจึงได้เริ่มต้นเส้นทางเพื่อแสวงหาเต๋า
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเปลวเพลิงจากโลกมนุษย์ แต่ชีวิตของมันก็เต็มไปด้วยรสชาติแห่งตำนาน ถึงขนาดที่ว่าเรื่องเล่ามากมายที่เกี่ยวข้องกับมันยังคงถูกส่งต่อไปทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬ!
ตำนานที่ผู้คนพูดถึงมากที่สุดก็คือพลังต่อสู้ของเขา และเรื่องที่ครั้งหนึ่งปราชญ์มหาเพลิงผู้นี้เคยกวาดล้างเซียนสวรรค์ที่แท้จริงในขณะที่ยังมีฐานการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนปฐพี!
นี่คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีทางทำสำเร็จสำหรับผู้บ่มเพาะจากโลกมนุษย์ แต่ปราชญ์มหาเพลิงกลับทำสำเร็จ! ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่า ความแข็งแกร่งของเขานั้นท้าทายสวรรค์เพียงใด
“ปราชญ์มหาเพลิง…” เฉินซีกล่าวชื่นชมในใจ อีกฝ่ายสามารถสังหารเซียนสวรรค์ในขณะที่ยังคงมีฐานการบ่มเพาะในขอบเขตเซียนปฐพี ดังนั้นพลังต่อสู้ที่ท้าสวรรค์ของเขาต้องมากเพียงใดกัน?
“ผู้อาวุโส พวกท่านบังเอิญมาถูกเวลาพอดี เพราะสาวงามและอัจฉริยะรุ่นเยาว์จำนวนมากจะมารวมตัวกันที่เมืองหลีหั่วในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทำให้เมืองนี้คึกคักเป็นพิเศษ”
หงซานยิ้มกว้างเมื่อพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเจ้าตัวก็มิอาจระงับความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นได้ ด้วยการแนะนำของอีกฝ่าย เฉินซีจึงเข้าใจอย่างรวดเร็วว่า กองกำลังที่ไม่ธรรมดาและทัดเทียมกับนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิบอย่างตำหนักสำนึกสวรรค์ แท้จริงแล้วกลับตั้งรกรากอยู่ที่เมืองหลีหั่วนี่เอง!
“โอ้ คนเหล่านั้นก็คงมาดูพวกนางกระมัง?” เฉินซีกวาดสายตามองและเห็นลำแสงจำนวนมากวูบไหวอยู่บนท้องฟ้า บางคนใช้สมบัติวิเศษบินได้ บางคนใช้รถม้าสมบัติ หรือบางคนขี่สัตว์อสูรบินได้ และต่างหลั่งไหลไปยังเมืองหลีหั่วอย่างไม่รู้จบ
“ดูหรือ?” หงซานตกตะลึง จากนั้นเขาก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายกำลังพูดถึงตำหนักสำนึกสวรรค์ที่เปิดประตูรับศิษย์ แล้วเจ้าตัวก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ “พวกเขาจะดั้นด้นมาเพื่อร่วมงานและดูการรับสมัครศิษย์แค่นั้นได้อย่างไร? ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่มาเพื่อชมความงาม และหลายคนก็ได้คู่บำเพ็ญของพวกเขาผ่านงานนี้”
เฉินซีตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะเขาไม่เคยนึกเลยว่า พิธีรับศิษย์ที่ควรเคร่งขรึมและจริงจังเช่นนี้จะกลายเป็น ‘การประกวดสาวงาม’ ที่ยิ่งใหญ่แทน!
“โอ้ คนป่าเถื่อนพวกนี้คลานออกมาจากมุมไหนกัน? จิ๊ จิ๊ จิ๊ พวกเขายังสวมชุดหนังสัตว์อีกด้วย หายากจริง ๆ ฮ่า ๆๆ! ทุกคนรีบมาดูนี่เร็ว คนกลุ่มนี้ช่างแปลกเสียเหลือเกิน” ในขณะนั้นเองก็มีลำแสงแวบมาจากด้านหลัง และคนคนนั้นอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เมื่อเห็นเหมิงเหวยกับคนอื่น ๆ ก่อนที่จะหัวเราะและแสดงท่าทีสนใจออกมา
“โอ้ การแต่งตัวเช่นนี้ผิดแปลกและแปลกใหม่ยิ่ง น่าเสียดายที่คุณภาพของหนังสัตว์ยังด้อยเกินไป”
“เฮ้ พวกเจ้าคิดว่าคนเหล่านี้แต่งตัวเช่นนี้เพื่อแสวงหาความนิยม และพวกเขาตั้งใจที่จะดึงดูดความสนใจของเหล่าสาวงามในเมืองหลีหั่วหรือ?”
“มันเป็นไปได้ ถึงอย่างไร ขยะที่ไร้พลังและความสามารถก็มักจะดึงดูดความสนใจของผู้อื่นด้วยลูกเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ทว่าพวกมันย่อมไม่คุ้มค่าที่จะกล่าวถึง”
หลังจากนั้นก็มีลำแสงอีกสองสามสายปรากฏขึ้น นี่คือกลุ่มชายหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าหรูหราและมีเกียรติ เห็นได้ชัดว่าพวกเขามาจากตระกูลที่ร่ำรวย และทันทีที่มาถึง พวกเขาก็เริ่มวิจารณ์เมิ่งเหว่ยและคนอื่น ๆ อย่างไม่ละอายใจ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังไม่ได้คิดปิดบังการเยาะเย้ยหรือการเสียดสีในคำพูดแม้แต่น้อย
เฉินซีขมวดคิ้วและหยุดเคลื่อนไหวทันที ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันกลับมามอง ทว่าเขาไม่ได้สนใจคนหนุ่มพวกนั้น เขาเพียงต้องการดูทีท่าของเด็ก ๆ ในเผ่านรกขุมที่เก้า
ในโลกใบนี้ที่ผู้แข็งแกร่งได้รับความเคารพและปฏิบัติตามยศศักดิ์อย่างเคร่งครัด หากมีเสียงปรบมือ ความสนใจ การให้เกียรติและการยกย่องแล้วละก็ มันย่อมมีการเยาะเย้ย ความอัปยศ และการทรมานเช่นกัน…
เด็ก ๆ จากเผ่านรกขุมที่เก้าซึ่งเติบโตมาบนดินแดนที่แยกออกจากโลก ทำให้พวกเขาเรียบง่ายเหมือนกระดาษเปล่า ดังนั้นหากเฉินซีต้องการให้พวกเขาเติบโตและตั้งหลักในโลกใบนี้โดยเร็วที่สุด การประสบกับสิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้!
บางทีนี่อาจเป็นรูปแบบหนึ่งของการเติบโตไปตามสถานการณ์
ซึ่งสิ่งที่เห็นตรงหน้าในขณะนี้ มันก็ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจนัก เพราะเจตจำนงของเด็ก ๆ เหล่านี้ ช่างแข็งแกร่งและเหนียวแน่นกว่าที่เขาจินตนาการไว้อย่างเห็นได้ชัด
ด้วยเมื่อเผชิญกับการเยาะเย้ยเช่นนี้ ในตอนแรกพวกเด็ก ๆ ต่างตกตะลึง ก่อนที่พวกเขาจะกัดฟันแน่น... จากนั้นจึงคล้ายกับว่าจะคิดบางอย่างได้ ทำให้สีหน้าของพวกเขากลับมาหนักแน่นและสงบนิ่งอีกครั้ง ทำตัวเฉยเมยต่อเสียงเสียดสีเหล่านั้น
พวกเขาไม่ได้ลงมือ เพราะพวกเขามีสำนึกและระเบียบวินัยมากพอ
และที่พวกเขาไม่รู้สึกโกรธ เป็นเพราะพวกเขาประสบกับการนองเลือดมานับครั้งไม่ถ้วน ผ่านภูเขาดาบทะเลเพลิงจนกระทั่งมาถึงที่นี่ได้ ดังนั้นพวกจึงไม่ใส่ใจการเยาะเย้ยเล็กน้อยเหล่านี้
ถึงอย่างไร พวกเขาก็เป็นเหมือนฝูงหมาป่าที่จู่ ๆ ก็ก้าวเข้าไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ดังนั้นพวกเด็ก ๆ จึงเรียนรู้วิธีที่จะอดทน เพราะพวกเขารู้ว่าสิ่งสำคัญสำหรับการอยู่รอดคือ การเลือกอดทนอย่างเงียบ ๆ เสียก่อน และมันก็เป็นวิธีที่ดีที่สุด ด้วยพวกเขากำลังปรับตัวให้เข้ากับทุกสิ่งในโลกนี้!
ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า ตราบใดที่เฉินซีออกคำสั่ง พวกเขาจะไม่แสดงความเมตตา และฟาดฟันศัตรูทุกคนที่กล้ายั่วยุศักดิ์ศรีของพวกเขาในทันที!
เมื่อเห็นว่าการเยาะเย้ยของพวกตนไร้ประโยชน์ ชายหนุ่มในชุดหรูหรากับคนอื่น ๆ จึงรู้สึกเบื่อ จากนั้นพวกเขาก็ส่ายศีรษะ ก่อนที่ตัวคนจะเปลี่ยนเป็นลำแสงที่พุ่งไปยังเมืองหลีหั่วที่อยู่ห่างไกล
“พวกเจ้าทุกคนทำได้ดีมาก!” เหมิงเหวยพูดกับเหล่าเด็ก ๆ
“ไอ้หนู อย่าเพิ่งเศร้าใจไป หากผู้ใดกล้ารังแกเราหลังจากที่เราตั้งหลักได้ในโลกนี้แล้ว เราจะให้มันรับผลกรรมที่ตามมาอย่างแน่นอน!” โม่ย่าเหวี่ยงกำปั้นของนาง ในขณะที่ให้กำลังใจพวกเขา
พวกเด็กทุกคนต่างยิ้มอย่างมีความสุขและดีใจเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนเฉินซีอดไม่ได้ที่จะยิ้มเมื่อเห็นสิ่งนี้ จากนั้นเขาก็มองไปที่หงซานที่อยู่ข้างเคียงแล้วถามว่า “เจ้ารู้จักพวกเขาหรือไม่?”
ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ดวงตาของหงซานหดตัวลงอย่างกะทันหัน ก่อนที่จะปรากฏความยำเกรงเมื่อพวกเขาปรากฏตัว และนี่คือเหตุผลที่เขาถามคำถามนี้
“เรียนท่านผู้อาวุโส พวกเขาเป็นศิษย์ของหนึ่งในสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ นิกายจรดนภา และพวกเขาก็มีสถานะที่น่านับถือยิ่ง ซึ่งความฝันของข้าเมื่อครั้งยังเป็นเด็กก็คือ การเข้าร่วมนิกายจรดนภาเพื่อบ่มเพาะนี่ล่ะขอรับ” หงซานกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน “แต่น่าเสียดาย เมื่อข้าเติบใหญ่ขึ้น จึงตระหนักได้ว่า มันยากเกินไปสำหรับคนที่มีสถานะอย่างข้าที่จะเข้าร่วมกับนิกายที่ยิ่งใหญ่เช่นนิกายจรดนภา”
เฉินซีถาม “แล้วความฝันของเจ้าในตอนนี้คืออันใด?”
หงซานยักไหล่และกล่าวด้วยสีหน้าที่ทำอะไรไม่ถูก “คงสะสมเงินออมจำนวนมาก ก่อนจะลาออกจากงานแล้วไปเข้าร่วมนิกายเล็ก ๆ เพื่อบ่มเพาะอย่างสงบ”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของหงซานก็แข็งกร้าวขึ้นทันตา เจ้าตัวกำหมัดแน่นขณะที่กล่าวว่า “แต่ข้าจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ ต่อให้เป็นนิกายเล็ก ๆ ตราบใดที่ข้าทุ่มเทบ่มเพาะ สักวันข้าจะสามารถบรรลุความฝันของข้าได้อย่างแน่นอน!”
ตอนนี้เฉินซีเพิ่งสังเกตเห็นว่า หากนับตามอายุแล้ว หงซานเป็นเพียงชายหนุ่มอายุสิบหกหรือสิบเจ็ดปีเท่านั้น ซึ่งบางทีเขาอาจประสบกับความยากลำบากและโชคไม่ดีที่บีบคั้นจิตใจ จึงทำให้คนผู้นี้มีลักษณะดังที่เห็น
“เจ้าย่อมบรรลุความฝันของเจ้าได้อย่างแน่นอน” เขาตบไหล่ของอีกฝ่าย
“ข้าจะทำอย่างแน่นอน ผู้อาวุโส ข้ามักจะย้ำเตือนเรื่องนี้กับตัวเองบ่อย ๆ” หงซานหัวเราะเบา ๆ ขณะที่เกาศีรษะ เขาเป็นชายหนุ่มที่ฉลาดเฉลียว และรู้ขีดจำกัดของสิ่งที่ตนเองควรพูดและสิ่งที่ไม่ควรพูด
ในเวลาไม่นาน ประตูทางเข้าอันสูงส่งของเมืองหลีหั่วก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา
ในขณะนี้ มีผู้คนจำนวนมากกำลังเดินไปทางตัวเมือง มีทั้งชายและหญิงที่รวมตัวกันเป็นหมู่เป็นคณะ อีกทั้งยังมีผู้สูงศักดิ์ที่นั่งรถม้าหรูหราล้ำค่า และเข้าไปในเมืองภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์ ทำให้เมืองดูคึกคักอย่างมาก
ซึ่งการมาถึงของเฉินซีและคนอื่น ๆ ทำให้เกิดความวุ่นวายในฝูงชนที่ใกล้กับประตูทางเข้าเมืองทันที แต่สิ่งนี้ก็ช่วยไม่ได้ เนื่องจากการแต่งตัวของเหมิงเหวยและคนอื่น ๆ นั้นดูโดดเด่นเกินไป จึงไม่มีทางที่จะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คน
ทว่าเมิ่งเหว่ยกับคนอื่น ๆ กลับดูสงบและสบายใจแทน
“ดูเหมือนว่าข้าต้องช่วยพวกเจ้าทุกคนเลือกเสื้อผ้าก่อน” เฉินซีกล่าวพลางยิ้มเล็กน้อย
“อันที่จริง มันควรจะเป็นเช่นนี้ การเป็นที่สะดุดตาของผู้อื่น จะทำให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็นได้”
เหมิงเหวยพยักหน้าและเห็นด้วยกับคำพูดของเฉินซีเป็นอย่างมาก เมื่อมาถึงสภาพแวดล้อมใหม่ ก็จำต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ไม่ควรยึดถือทิฐิของตนอย่างดื้อรั้น และไม่ควรประพฤติตนไม่เหมาะสม เพราะพวกเขาจะตั้งหลักในแดนภวังค์ทมิฬได้อย่างไร หากไม่สามารถปรับตัวได้?
“เฉินซี!” ในขณะนี้ เสียงที่เย็นเหมือนน้ำแข็งก็พลันดังก้องขึ้นมาทันที และมันได้เผยร่องรอยความประหลาดใจที่น่ายินดี ซึ่งไม่สามารถปกปิดได้
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็หันกลับมาและอดไม่ได้ที่จะแสดงความประหลาดใจเล็กน้อย
มีหญิงสาวสวยกลุ่มหนึ่งในชุดคลุมสีม่วงยืนอยู่ที่หน้าประตูเข้าเมืองที่ห่างออกไป และหญิงสาวที่อยู่ตรงกลางนั้นงดงามที่สุดในหมู่พวกนาง ผมสีดำขลับของนางปล่อยสยายลงมาปานน้ำตกจนถึงเอวที่เพรียวบาง ซึ่งช่วยขับเน้นโครงร่างที่สง่างามออกมาจนเด่นชัด
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือ นางเดินเท้าเปล่า เล็บเท้าของหญิงสาวขาวราวกับหยก ส่วนข้อเท้าที่ขาวเนียนราวหิมะของนาง ก็มีเชือกสีแดงเพลิงผูกติดอยู่