บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 748 การประชุมครั้งใหญ่ที่ไม่ธรรมดา
บทที่ 748 การประชุมครั้งใหญ่ที่ไม่ธรรมดา
เฉินหลิงจวิน!
แม้ชื่อนี้จะไม่คุ้นหูนัก ทว่าเฉินซีกลับรู้จักเป็นอย่างดี เพราะชื่อนี้คือนามของบิดาผู้ให้กำเนิดเขา!
ส่วนเหตุผลที่เฉินซีไม่ค่อยคุ้นเคยนัก เนื่องจากชายหนุ่มไม่เคยเห็นหน้าบิดาเลยสักครั้งนับตั้งแต่จำความได้ และตัวเขาก็ไม่รู้สึกผูกพันธ์กับบิดาเลยแม้แต่น้อย ถึงขนาดที่ว่าตัวเฉินซีเพิ่งรู้ว่าบิดาของเขาชื่อเฉินหลิงจวินเมื่อครึ่งปีก่อน!
เดิมทีเฉินซีคิดว่าบิดาของเขาเป็นคนธรรมดาที่อาศัยอยู่ในเมืองหมอกสน และพอใจกับความสะดวกสบายของโลกใบเล็ก แต่ต่อมาเมื่อการบ่มเพาะของชายหนุ่มก้าวหน้าและรู้เรื่องต่าง ๆ มากขึ้น เขาพลันรับรู้ได้อย่างบางเบาว่าบิดาของเขาไม่ธรรมดาอย่างที่เคยคิด
ถ้าบิดาของเขาเป็นคนธรรมดา แล้วอีกฝ่ายจะรู้จักกับจั่วชิวเสวี่ยจากตระกูลจั่วชิวที่แสนลึกลับได้อย่างไร?
ถ้าบิดาของเขาเป็นคนธรรมดา อีกฝ่ายจะรู้จักกับหญิงสาวที่มาจากตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วงอย่างไป๋หว่านฉิงได้อย่างไร?
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดายิ่ง!!!
เมื่อเขาได้ยินชายชราที่อุ้มแมวไว้ในอ้อมแขนกล่าวคำว่า ‘เฉินหลิงจวิน’ ในเวลานี้ ความรู้สึกตกใจในหัวใจของเฉินซีก็เด่นชัดมากขึ้นเสียจนราวกับตัวคนถูกฟ้าผ่า
แม้ชายชราจะมีท่าทางธรรมดา แต่แท้จริงแล้วเขากลับไม่ธรรมดา สถานะของคนผู้นี้ในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองนั้นยิ่งใหญ่ จนแม้แต่วิปลาสหลิ่วก็ยังแสดงความเคารพและให้เกียรติเมื่อพบหน้า อีกทั้งคนผู้นี้ก็ยังเป็นผู้อาวุโสที่ลึกลับและยากหยั่งถึง
ทว่าผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้กลับรู้จักบิดาของเขา แล้วเฉินซีจะสงบสติอารมณ์ได้อย่างไร?
เป็นครั้งแรกที่เฉินซีอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับบิดาของเขามากขึ้น ‘เฉินหลิงจวิน… เขาเป็นคนแบบไหนกัน?’
ในขณะที่ความคิดของชายหนุ่มกำลังโลดแล่น ชายชราก็เริ่มกล่าวช้า ๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำและอ่อนโยน เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
“เมื่อสามปีก่อน การประชุมครั้งใหญ่ของเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ชั้นเลิศถูกจัดขึ้นในแดนภวังค์ทมิฬ ในระหว่างการประชุมครั้งนี้ ตัวตนสำคัญระดับแนวหน้าของกองกำลังต่าง ๆ ก็ได้เข้าร่วมเช่นกัน ในเวลานั้น…มีผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมดสามสิบเจ็ดคนที่มีการบ่มเพาะสูงเทียมฟ้ามารวมตัวกันในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขนนก”
“ผู้จัดการประชุมครั้งนี้คือประมุขนิกายแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขนนก เมี่ยวอวิ๋นจี”
“จุดประสงค์ของการประชุมในครั้งนี้ก็เรียบง่ายยิ่ง นั่นคือเพื่อให้ได้มาซึ่งสมบัติศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก็คือเคหาดารา”
“ตามตำนานเล่าขานกันว่า เคหาดาราแห่งนี้คือมรดกของผู้ยิ่งใหญ่ที่บรรลุจุดสูงสุดของมหาเต๋าเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน มันไม่เพียงมีมรดกสูงสุดของผู้ยิ่งใหญ่บรรจุเท่านั้น แต่ยังมีสมบัติลึกลับอันล้ำค่าอย่างแผนภาพวารีหลากอีกด้วย”
“เจ้าคงเคยได้ยินเกี่ยวกับแผนภาพวารีหลากเช่นกัน หากได้ใช้งานมันละก็ จะทำให้ทวยเทพและอสูรในยุคบรรพกาลเข้าใจในวิถีสู่การแสวงหาเต๋าของพวกเขา กระทั่งส่งผลให้พวกเขารอดพ้นจากการเฝ้าดูของสวรรค์ คว้าความลึกล้ำของมหาเต๋า และบรรลุไปถึงจุดสูงสุดของเต๋า!”
“ด้วยเหตุนี้ ทุกครั้งที่แผนภาพวารีหลากปรากฏขึ้น มันจึงมักมาพร้อมกับสายฝนโลหิต ทำให้ภพทั้งสามต้องสั่นคลอน! แม้กระทั่งหกวิถีสังสารวัฏก็ยังกระสับกระส่ายเพราะมัน!! ด้วยเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายต่างต่อสู้เพื่อแย่งชิงมัน และเหตุการณ์ที่ดูเหมือนกับวันโลกาวินาศนี้ ก็ไม่ต่างอันใดกับหายนะที่แท้จริงของภพทั้งสาม!!”
เสียงของชายชราทั้งทุ้มต่ำและมีร่องรอยของอารมณ์หวนรำลึก ในขณะที่เขากล่าวอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ทว่าเมื่อเฉินซีได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้ มันกลับทำให้เกิดพายุปั่นป่วนขึ้นในใจของเขา พานให้ชายหนุ่มนึกถึงสิ่งต่าง ๆ มากมายในอดีต
เคหาดารา!
‘นั่นมันไม่ใช่เคหาที่อยู่ภายในจี้หยกที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้กับข้าหรอกหรือ?’
‘ภายในนั้น ข้าเห็นตราประทับวิญญาณที่ท่านแม่ของข้าทิ้งไว้เป็นครั้งแรก ได้พบกับผู้อาวุโสจี้อวี๋เป็นครั้งแรก ได้ครอบครองรูปปั้นเทพเจ้าฝูซีเป็นครั้งแรก เริ่มบ่มเพาะทักษะขัดเกลากายาของข้าเป็นครั้งแรก…’
อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นจุดเปลี่ยนในชะตาชีวิตของเขา และนับจากนั้นเป็นต้นมา เฉินซีก็เริ่มเดินบนเส้นทางที่แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง
อีกทั้งเฉินซีก็คุ้นเคยกับแผนภาพวารีหลากเช่นกัน!
เขาในตอนนี้มีแผนภาพวารีหลากอยู่สี่ชิ้นแล้ว ชิ้นหนึ่งมาจากฐานภูเขากำราบธาตุในเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ ชิ้นหนึ่งมาจาก ‘ศิษย์พี่หญิง’ ผู้ลึกลับของเขา และอีกชิ้นหนึ่งมาจากแท่นบูชาภายในดินแดนเต๋าแห่งการต่อสู้ ณ นครหลวงธารสายไหม
ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากทั้งสามนี้ได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้วในตอนนี้ และมันลอยอยู่ในห้วงสำนึกของเขา ในขณะที่ชิ้นที่สี่ที่ได้มาจากภายในด่านแห่งความลึกล้ำของเหวเงาทมิฬ เฉินซีได้เก็บไว้ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์และยังไม่ได้ขัดเกลามัน
และตามการอนุมานของเขา มีเพียงต้องรวบรวมชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากทั้งเก้าชิ้นเท่านั้น จึงจะสร้างแผนภาพวารีหลากที่สมบูรณ์ได้!
“หนึ่งล้านปีก่อน แผนภาพวารีหลากได้หายไปอย่างสมบูรณ์ และถูกกาลเวลาลบเลือนไปจากหน้าประวัติศาสตร์ เหล่าผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมากในภพทั้งสามต่างค้นหามันอย่างยากลำบาก และท้ายที่สุด พวกเขาก็ต้องกลับมามือเปล่า กอปรกับหายนะของทวยเทพและอสูรที่อุบัติขึ้นในช่วงเวลานั้น จึงทำให้ทั้งสามภพตกอยู่ในกลียุค และไม่มีใครให้ความสนใจกับแผนภาพวารีหลากอีกต่อไป”
“แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่ทราบได้ เมื่อสามร้อยปีที่แล้ว ประมุขแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขนนกเมี่ยวอวิ๋นจีกลับได้รับข้อมูลบางอย่างมาโดยบังเอิญ ความว่าเคหาดาราได้ปรากฏขึ้นเหนือมหาสมุทรใต้พิภพทางตอนเหนือ และแผนภาพวารีหลากถูกซ่อนอยู่ภายในนั้น ดังนั้นเขาจึงจัดการประชุมครั้งใหญ่และส่งเทียบเชิญให้แก่สหายนักพรตเต๋าทั่วทุกหนทุกแห่ง โดยหมายจะค้นหาและรับโชคลาภก้อนใหญ่นี้ไปด้วยกัน”
“เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสมบัติล้ำค่าอย่างแผนภาพวารีหลาก …หากข่าวนี้ถูกเปิดเผยออกไป มันย่อมทำให้เกิดความปั่นป่วนในภพทั้งสามอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงมีเพียงสามสิบเจ็ดผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครเทียบได้เท่านั้นที่ได้เข้าร่วมการประชุมในเวลานั้น”
“แต่ไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อนว่า เมื่อมาถึงมหาสมุทรใต้พิภพทางตอนเหนือ พวกเขากลับพบกับชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งแทน!”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ชายชราก็หยุดกล่าวทันควัน และมองไปยังเฉินซีที่อยู่ใกล้เคียง “เจ้าคงเดาได้ว่าสองคนนั้นเป็นใครกระมัง”
เฉินซีพยักหน้า ความรู้สึกที่ซับซ้อนมากมายก็ผุดขึ้นมาในหัวใจของเขา ชายหนุ่มสามารถคาดเดาได้ว่า เมี่ยวอวิ๋นจีและคนอื่น ๆ ไม่ได้รับเคหาดารา และต้องกลับมามือเปล่าในท้ายที่สุด…
“ถูกต้อง พวกเขาคือบิดามารดาของเจ้า เฉินหลิงจวินและจั่วชิวเสวี่ย” เสียงของชายชรามีร่องรอยอารมณ์และน้ำเสียงก็กลายเป็นซับซ้อนอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเอ่ยถึงชื่อทั้งสองนี้
“ในตอนนั้น มารดาของเจ้า จั่วชิวเสวี่ยได้รับเคหาดาราไป และมันได้กระตุ้นความโกรธของเมี่ยวอวิ๋นจีกับคนอื่น ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงร่วมมือกันและช่วงชิงมันมาจากมารดาของเจ้า แต่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อน …ว่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามสิบแปดคนที่มีการบ่มเพาะที่ไม่ธรรมดากลับไม่ใช่คู่มือของมารดาเจ้า!”
เฉินซีตกตะลึง ปรากฏว่ามารดาของเขาถูกศัตรูถูกปิดล้อมและรุมโจมตี เพื่อหมายมั่นแย่งชิงเคหาไปจากมือของนาง…
เรื่องนี้ทำให้ชายหนุ่มทั้งโกรธและตกใจในเวลาเดียวกัน “ผู้ร่วมงานประชุมใหญ่เมื่อหลายปีก่อนคือผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามสิบแปดคนในแดนภวังค์ทมิฬทั้งหมด แต่พวกเขากลับไม่ใช่คู่มือของท่านแม่เลยสักคนเดียวหรือขอรับ?”
“การบ่มเพาะของท่านเมื่อหลายปีก่อนนั้น จะทรงพลังถึงเพียงใดกัน?”
“เซียนสวรรค์?”
“หรืออาจจะสูงกว่าเซียนสวรรค์ด้วยซ้ำ?”
“มารดาของเจ้า จั่วชิวเสวี่ยมีต้นกำเนิดที่ลึกลับมาก นางมาจากตระกูลจั่วชิวแห่งภพเซียน เป็นตระกูลลึกลับที่ไม่มีใครรู้จัก แม้แต่เมี่ยวอวิ๋นจีและคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้รู้เรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมด มิฉะนั้นพวกเขาคงจะไม่กล้ากระทำอย่างหุนหันพลันแล่นเช่นนั้น” ดวงตาของชายชรามองไปยังท้องฟ้าอันไกลโพ้น มันช่างลึกล้ำ กว้างใหญ่ และมีร่องรอยของความทรงจำ “ในตอนนั้น เมี่ยวอวิ๋นจีและคนอื่น ๆ พ่ายแพ้ และต่างบาดเจ็บสาหัสใกล้ตาย โดยในช่วงเวลาคับขัน เฉินหลิงจวินบิดาของเจ้าได้ออกหน้าและขอให้มารดาของเจ้าปล่อยพวกเขาไป”
“เมี่ยวอวิ๋นจีและคนอื่น ๆ รู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของบิดาเจ้า พวกเขาทุกคนจึงต่างสาบานว่า พวกเขาจะไม่ปล่อยให้ข่าวนี้รั่วไหลเป็นอันขาด แต่ในที่สุด…” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ชายชราก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
ม่านตาของเฉินซีหดลงเล็กน้อย “มันยังคงรั่วไหลออกมาในที่สุด?”
“ถูกต้อง!” ชายชราพยักหน้าและไม่ปฏิเสธ “ต่อมาบิดามารดาของเจ้าต้องทนทุกข์ทรมานจากการตามล่าของกองกำลังลึกลับ และพวกเขาก็หายตัวไปพร้อมกับอาการบาดเจ็บสาหัส ยิ่งกว่านั้น…ร่องรอยทั้งหมดของพวกเขาก็หายไปจากแดนภวังค์ทมิฬ”
เฉินซีถามทันที “สิ่งนี้เกิดขึ้นมากี่ปีแล้วขอรับ?”
ชายชราครุ่นคิดสั้น ๆ “เมื่อประมาณร้อยปีที่แล้ว แต่ข้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับช่วงเวลาที่แน่นอน”
เฉินซีพลันจ้องมองอย่างว่างเปล่า ในขณะที่เขาจมดิ่งสู่การไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง
“แต่ข้าจำได้อย่างชัดเจนว่า จู่ ๆ บิดาของเจ้าก็ปรากฏตัวเมื่อหกสิบปีที่แล้ว และเขาได้มุ่งหน้าไปยังนิกายอสูรตาข่ายโลหิตเพียงลำพัง จากนั้นก็ลงมือสังหารประมุขนิกาย หลังจากนั้นก็เข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขนนกและหายตัวไป” ชายชรากล่าวช้า ๆ “ประมุขหวังเฟยเฉียวแห่งนิกายอสูรตาข่ายโลหิตเป็นคนที่ปล่อยข่าวลือเมื่อหลายปีก่อน และถ้าไม่ใช่เพราะการตายของคนผู้นี้ คงจะไม่มีใครในโลกรู้ว่าบิดาของเจ้าเฉินหลิงจวินได้ปรากฏตัวในแดนภวังค์ทมิฬอีกครั้ง”
เฉินซีเงียบไป แต่เขากลับสรุปในใจอย่างรวดเร็ว
‘เมื่อร้อยปีก่อน ท่านพ่อได้รับบาดเจ็บสาหัสและหายตัวไปในแดนภวังค์ทมิฬ ตอนนั้นเขาย่อมกลับไปที่บ้านเกิดอย่างแน่นอน นั่นคือเมืองหมอกสน แล้วคงมีข้ากับเฉินฮ่าว …ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาที่เฉินฮ่าวเพิ่งเกิดพอดี ที่ท่านแม่ถูกคนตระกูลจั่วชิวลักพาตัวไป ในขณะที่บิดาหายตัวไปอีกครั้ง…’
‘หกสิบปีก่อน ท่านพ่อได้ปรากฏตัวอีกครั้งในแดนภวังค์ทมิฬ และมันบังเอิญตรงกับเวลาที่ท่านหายตัวไป ในขณะที่ข้าอายุแค่เกือบสี่ขวบในตอนนั้น…’
ก่อนหน้านี้ เฉินซีไม่แน่ใจว่าการคาดเดาของเขาถูกต้องหรือไม่ แต่คำกล่าวนี้ของชายชราได้พิสูจน์การคาดเดาของชายหนุ่ม และในที่สุดมันก็ทำให้เขาเข้าใจลำดับเหตุการณ์ทั้งหมด
‘สามร้อยปีก่อน ท่านพ่อกับท่านแม่ได้ปรากฏตัวที่มหาสมุทรใต้พิภพทางตอนเหนือ จากนั้นพวกเขาก็ได้รับเคหาดารา ก่อนที่จะเอาชนะเมี่ยวอวิ๋นจีและคนอื่น ๆ ที่ตั้งใจจะช่วงชิงเคหาไป หลังจากนั้นข่าวนี้ก็รั่วไหลโดยใครบางคน ทำให้พวกเขาถูกตระกูลจั่วชิวตามล่า และคนทั้งสองก็หนีกลับไปที่เมืองหมอกสน’
‘แต่หลังจากที่เฉินฮ่าวเกิด กองกำลังของตระกูลจั่วชิวก็ปรากฏตัวอีกครั้งในเมืองหมอกสน พวกเขาได้พาตัวท่านแม่ไป ทำให้ท่านพ่อโกรธมากและไล่ตามพวกเขาไปที่แดนภวังค์ทมิฬ แต่เขาตามท่านแม่ไม่ทัน ดังนั้นจึงพุ่งเป้าไปที่นิกายอสูรตาข่ายโลหิต และฆ่าหวังเฟยเฉียวเพื่อระบายความโกรธแค้น’
ส่วนสาเหตุที่บิดาของเขามุ่งหน้าไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขนนกทำไม …เรื่องนี้เฉินซีไม่สามารถคาดเดาได้
ทันใดนั้น ชายชราก็ได้ไขข้อความสงสัยที่ว่าให้แก่เขา “มีประตูที่นำไปสู่ภพเซียนอยู่ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขนนก และบิดาของเจ้าตั้งใจจะอาศัยประตูนี้เพื่อมุ่งหน้าไปยังภพเซียน”
“อะไรนะ!?”
‘ประตูนำไปสู่ภพเซียน?’
เฉินซีตกตะลึงเพราะเรื่องนี้น่าตกใจเกินไป ผู้บ่มเพาะทุกคนต่างบ่มเพาะและแสวงหาเต๋า เพื่อบรรลุสู่ความเป็นเซียนและเข้าสู่ภพเซียน แต่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า แท้จริงแล้วไม่จำเป็นต้องบรรลุความเป็นเซียนในภพมนุษย์ก่อน และใคร ๆ ก็สามารถมุ่งหน้าไปยังภพเซียนได้ผ่านทางประตูมิติ …ถ้านี่เป็นความจริง แล้วจุดประสงค์ของการบ่มเพาะคืออันใดกันแน่?
ชายชราดูจะเข้าใจความคิดของเฉินซี เจ้าตัวจึงกล่าวพร้อมกับส่ายศีรษะว่า “เจ้าคิดผิดแล้ว การมีอยู่ของประตูนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม และมันอันตรายมาก แม้ว่าจะเป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขนนก เว้นแต่จะไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาก็จะไม่กล้าก้าวผ่านประตูบานนั้นโดยเด็ดขาด”
“แต่บิดาของเจ้าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องผ่านประตูนี้เพื่อมุ่งหน้าไปยังภพเซียน ส่วนเหตุผลนั้น เจ้าจะเข้าใจเมื่อเริ่มสัมผัสกับกฎแห่งเต๋าสวรรค์อย่างแท้จริง การมีอยู่ของบิดาของเจ้าถูกกฎแห่งเต๋าสวรรค์ลิขิตให้เป็นคนนอกรีตและอาชญากร จึงไม่มีทางที่เขาจะก้าวเข้าสู่ภพเซียนได้ตลอดชีวิต อีกทั้งตราบใดที่กฎแห่งเต๋าสวรรค์ตรวจพบการมีอยู่ของเขา เขาจะต้องประสบกับภัยพิบัติอย่างแน่นอน”
“คนนอกรีต? อาชญากร?”
ทั่วทั้งร่างของเฉินซีพลันแข็งทื่อ ในขณะที่เขานึกถึงสิ่งที่จี้อวี๋เคยกล่าวไว้ จี้อวี๋ก็เป็นอาชญากรในภพทั้งสามเช่นเดียวกัน ซึ่งการมีอยู่ของคนผู้นี้ก็ไม่ได้ถูกยอมรับจากกฎแห่งเต๋าสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงอยู่ในโลกใบเล็ก เพื่อหลีกเลี่ยงจากการถูกกฎแห่งเต๋าสวรรค์พตรวจพบเข้า
ตอนนี้ บิดาของเขาเองก็ถูกกฎแห่งเต๋าสวรรค์นี้จับตาว่าเป็นอาชญากรเช่นกัน และนั่นทำให้เฉินซีสับสนเล็กน้อย ความคิดบางอย่างที่ไม่อาจยับยั้งได้พลันผุดขึ้นอยู่ภายในใจของชายหนุ่ม “ทั้งหมดนี้คงไม่ใช่เพราะตระกูลจั่วชิวกระมัง?”
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ร่างกายของเขาพลันรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างช่วยไม่ได้ เพราะผลการคาดเดานี้น่าตกใจเกินไป ด้วยหากมันเป็นความจริง ก็หมายความว่าตระกูลจั่วชิวได้บรรลุถึงสถานะที่สามารถควบคุมกฎแห่งเต๋าสวรรค์ได้!
“นี่… พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวเช่นใดกันนะ?”