บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 768 ศิษย์พี่ แท้จริงแล้ว…ท่านคือใคร?
บทที่ 768 ศิษย์พี่ แท้จริงแล้ว…ท่านคือใคร?
ณ ชั้นที่สามสิบสี่ของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต
บรรยากาศของที่นี่เต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาลและกลิ่นคาวเลือดที่หนาแน่นจนเกือบจะจับต้องได้ อีกทั้งสายน้ำที่เหมือนกับหินหลอมเหลวที่อยู่ด้านข้างก็กำลังเดือดพล่าน มันสร้างกระแสน้ำวนจำนวนมากที่กำลังหมุนอย่างบ้าคลั่งและเปล่งเสียงดังกึกก้อง
หากเป็นคนธรรมดาเข้ามายังที่นี่ ก็คงถูกบดขยี้ด้วยแรงกดดันที่แผ่ซ่านออกมามาตั้งแต่เริ่มต้น และคงกลายเป็นแอ่งเลือดแอ่งหนึ่ง ซึ่งแม้จะสามารถต้านทานแรงกดดันในระดับนี้ได้ แต่ก็คงไม่อาจต้านทานแรงดูดของกระแสน้ำวนในลำธารได้อยู่ดี
ฟางเริ่นหวาดกลัวจนตัวสั่น ในขณะที่สีหน้าของเขาได้ซีดไปนานแล้ว และถ้าไม่ใช่เพราะการพยายามฝืนบังคับให้สุขุม ฟางเริ่นก็คงไม่ต้องสิ่งใดนอกจากเกาะขาของเฉินซีให้แน่นและไม่ยอมปล่อยเด็ดขาด
สำหรับฟางเริ่นซึ่งมีการบ่มเพาะในขอบเขตเคหาทองคำ ที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรจากนรกอเวจี และภยันตรายถึงชีวิตนั้นมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เขามั่นใจว่าหากเฉินซีไม่อยู่ที่นี่ด้วย ตนเองจะต้องตายอย่างแน่นอน
ครืน!
ฟ้าดินในเวลานี้พลันสั่นสะเทือน ขณะที่คลื่นเสียงกัมปนาทดังขึ้นจากระยะไกล ดูราวกับกองทัพมหึมากำลังพุ่งมาที่นี่ด้วยอานุภาพที่น่าตกใจ
ในเวลาเดียวกัน กลิ่นอายที่หนาแน่น รุนแรง และอำมหิตจนราวกับจับต้องได้ พลันไหลทะลักและสั่นสะเทือนบริเวณโดยรอบ เกิดเป็นเสียงแหลมคมที่เสียดแก้วหูอย่างรุนแรงดังขึ้นจากภายใน
คิ้วของเฉินซีขมวดเข้าหากัน เขาประหลาดใจเล็กน้อย ภายในจิตสัมผัสเทพของชายหนุ่มมีวิญญาณโลหิตเกือบร้อยตนได้พุ่งเข้ามาจากระยะที่ห่างไปไม่กี่พันลี้ วิญญาณโลหิตเหล่านี้ดูแข็งแกร่งกว่าที่ชายหนุ่มเคยพบอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายของพวกมันเปล่งแสงสีเลือดสาดส่องขึ้นไปบนท้องฟ้า และกำลังเคลื่อนตัวราวกับหมอกโลหิตด้วยความเร็วที่ไม่ธรรมดา แรงกดดันมหาศาลของวิญญาณโลหิตพวกนี้ ดูเหมือนกองทัพของผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติที่กำลังส่งเสียงเสียงกู่ร้องมาจากระยะไกล
“วิญญาณโลหิตในถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตนี้สามารถรวมฝูงขนาดใหญ่ในระดับกระแสสัตว์อสูรได้หรือไม่?” เฉินซีเอ่ยถาม
“เป็นไปไม่ได้ วิญญาณโลหิตเหล่านี้ไร้สติปัญญา อีกทั้งพวกมันทุกตัวล้วนกระหายเลือดและปรารถนาการเข่นฆ่า พวกมันจะเคลื่อนไหวด้วยกันได้อย่างไร? เว้นแต่ว่า…” ฟางเริ่นส่ายศีรษะไปมา และดูราวเขาจะนึกอะไรบางอย่างได้ ทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มแสดงอาการตกใจ ขณะที่อุทานออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ “อันใด? หรือว่าวิญญาณโลหิตจำนวนมากกำลังพุ่งมาทางนี้!?”
ทันใดนั้น ร่างกายของอีกฝ่ายพลันเริ่มสั่นเทา ในขณะที่ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาก็หดเล็ก และเผยให้เห็นใบหน้าที่สิ้นหวัง
เนื่องจากชายหนุ่มทราบถึงสถานการณ์ภายในถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตเป็นอย่างดี และเพราะความเข้าใจนี้เองที่ทำให้ฟางเริ่นรู้ดีถึงความหมายของฝูงวิญญาณโลหิต
…เมื่อศิษย์ทั่วไปต้องเผชิญหน้ากับพวกมัน เว้นแต่ศิษย์เหล่านี้จะทำลายยันต์เคลื่อนย้ายมิติของพวกเขาทันเวลา มิฉะนั้นจะไม่มีโอกาสรอดชีวิตอย่างแน่นอน!
ฟางเริ่นเคยมาที่ถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตมากกว่าหนึ่งครั้ง และเขาได้ใช้คะแนนผลงานจำนวนมากกับนิกายทุกครั้ง ทว่าหากครั้งนี้กลับไปมือเปล่า คะแนนผลงานที่ฟางเริ่นเหลืออยู่ ก็จะไม่เพียงพอสำหรับการมาเยือนครั้งถัดไปแล้ว!
นั่นหมายความว่าหนอนไหมจักรพรรดิสมบัติที่ได้รับมาจะไม่มีโอกาสรอดชีวิต...
ความไม่เต็มใจพลันพุ่งเข้าสู่หัวใจของฟางเริ่น เขาเริ่มรู้สึกว่าตนโชคร้ายอย่างยิ่ง อุตส่าห์มาถึงชั้นที่สามสิบสี่ของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตด้วยความยากลำบาก แต่กลับเผอิญพบกับฝูงวิญญาณโลหิต ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ฟางเริ่นตื่นตระหนกจนอยากจะร้องไห้ออกมา!
เฉินซีตบไหล่ของชายหนุ่มเป็นการปลอบใจ เพราะเขารับรู้ได้ว่า ฟางเริ่นที่มีการบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำคนนี้ยังเด็ก และจิตใจก็ยังไม่มั่นคง ดังนั้นการที่อีกฝ่ายจะตื่นตระหนกบ้างบางครั้ง จึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ในเวลาไม่นาน ฝูงวิญญาณโลหิตที่มีกลิ่นคาวเลือดและปราณที่ชั่วร้ายพลันปรากฏตัวในระยะสายตาของพวกเขา
ฟางเริ่นยอมแพ้ทันทีเมื่อเห็นฉากนี้ และเขากล่าวด้วยความเศร้าโศกว่า “ศิษย์พี่ หนีกันเถอะ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้านทานได้…”
“หนีหรือ?” เฉินซีตกตะลึง จากนั้นก็เข้าใจว่าฟางเริ่นกำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงอดหัวเราะไม่ได้
ฟางเริ่นรู้สึกโกรธเคือง “ศิษย์พี่ ยามคับขันเช่นนี้แล้ว ท่านยังคงหัวเราะอยู่ได้อย่างไร!?”
เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดข้าถึงหัวเราะไม่ได้?”
ฟางเริ่นรู้สึกขุ่นเคืองยิ่งขึ้น และเขายังสงสัยอีกว่า มีบางอย่างผิดปกติกับศิษย์พี่ของตนคนนี้ นอกเหนือจากผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งแล้ว ผู้ที่ยังสามารถหัวเราะได้ในขณะที่เผชิญหน้ากับวิญญาณโลหิตมากกว่าร้อยตัวก็คือ…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ตกตะลึงเพราะตระหนักได้ถึงปัญหา ศิษย์พี่ที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนจะไม่เคยบอกว่ามีระดับการบ่มเพาะที่ขอบเขตใด!!
ฟิ้ว!
ในขณะที่ชายหนุ่มตกตะลึง จู่ ๆ เฉินซีก็ยื่นมือออกไป และรวบนิ้วเป็นลักษณะของกระบี่ จากนั้นเขาก็กวาดนิ้วไปบนท้องฟ้า ทำให้ปราณกระบี่ระเบิดออกมา!
ปราณกระบี่สายนี้ดูจะสามารถแยกฟ้าดินออกจากกัน และอนุมานได้ถึงความลึกล้ำไร้ขอบเขตเมื่อมันพุ่งพาดผ่านฟ้าดิน ทำให้ทุกที่ที่มันผ่านไป เหล่าวิญญาณโลหิตจะเป็นเหมือนเศษกระดาษที่ถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ แขนขาขาดกระเด็นไปทุกทิศทุกทาง!
ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว วิญญาณโลหิตกว่าร้อยตัวที่อยู่ห่างออกไปกว่ายี่สิบห้าลี้พลันตายทันที!
เฮือก!
ฟางเริ่นอ้าปากค้างราวกับตัวโง่งม และก็ไม่กล้าเชื่อสายตาของตนเอง
อย่างไรเสีย พวกมันก็คือวิญญาณโลหิตกว่าร้อยตัวที่มีความแข็งแกร่งเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ แม้ว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาจะอยู่ที่นี่ แต่จะมีสักกี่คนที่ทำสิ่งนี้ด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายได้?
“ศะ…ศิษย์พี่… ทะ…ท่านคือใครกันแน่?” ฟันของฟางเริ่นกระทบกันจนดังกึก ๆ ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่า ชายหนุ่มร่างสูงที่อยู่ตรงหน้าย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน และบางทีอาจเป็นศิษย์พี่ที่มีความอาวุโสสูงล้ำจนน่าตกใจ!
“ข้าไม่ใช่ผู้อาวุโส กล่าวตามตรง เราเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันจริง ๆ” ขณะที่กล่าว เฉินซีก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างได้ “ข้าลืมไปเลย เจ้ามาที่นี่เพราะต้องการรวบรวมวิญญาณโลหิต”
การกล่าวถึงวิญญาณโลหิตได้กระตุ้นความสนใจของฟางเริ่นเช่นกัน และเมื่อเขาเห็นศพของวิญญาณโลหิตที่กองเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น ซึ่งค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นหมอกเลือดก่อนที่จะหายไป เจ้าตัวก็รู้สึกเจ็บปวด เพราะวิญญาณโลหิตมากมายเหล่านี้ย่อมเพียงพอที่เลี้ยงหนอนไหมจักรพรรดิสมบัติเป็นเวลาหลายวัน…
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะขอใหม่ให้เจ้าในภายหลัง” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่สายตาของเขามองไปยังระยะไกล เพราะก่อนหน้านี้เขาสังเกตเห็นว่า วิญญาณโลหิตเหล่านี้ดูผิดปกติอย่างมาก และเมื่อค้นหาด้วยจิตสัมผัสเทพ ชายหนุ่มพลันสังเกตเห็นกลุ่มคนที่วิ่งมายังที่นี่จากระยะไกล!
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การปรากฏตัวของฝูงวิญญาณโลหิตนี้ น่าจะเกิดจากฝีมือของคนเหล่านี้!!
“ขอหรือ?” ฟางเริ่นตกตะลึงและงงงวย
ในขณะนี้ คลื่นเสียงโห่ร้องพลันดังขึ้นจากระยะไกล จากนั้นกลุ่มลำแสงหลากสีส่งเสียดหวีดหวิวและปรากฏขึ้น
“บัดซบ! วิญญาณโลหิตเหล่านั้นอยู่ที่ใดกัน?”
“ใช่ ๆ เราไล่ตามพวกมันมาตลอดทาง แล้วพวกมันจะหายไปโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร”
“บัดซบ! พวกเราพยายามอย่างมาก หลังจากเข้ามาที่นี่เพื่อค้นหาถ้ำวิญญาณโลหิต จากนั้นใช้เคล็ดวิชาลับเพื่อล่อพวกมันออกมาโดยหมายจะจับพวกมัน ก่อนที่จะขัดเกลาพวกมันให้เป็นสมบัติวิเศษ ทว่าตอนนี้พวกมันกลับหายตัวไปแล้วจริง ๆ!”
“ค้นหาต่อไป พวกมันอาจจะอยู่ใกล้ ๆ นี้”
“ดูเหมือนจะเป็น… ศิษย์ชั้นสูงของยอดเขาจรัสตะวันออก!” ฟางเริ่นประหลาดใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า ศิษย์อาวุโสจำนวนมากจะปรากฏตัวอย่างกะทันหัน และจากสถานการณ์ ดูเหมือนพวกเขาจะมาเพื่อฝูงวิญญาณโลหิตเมื่อครู่
“ใช่แล้ว พวกเขาเป็นศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออก” เฉินซีพยักหน้า เพราะสังเกตเห็น ‘ใบหน้าที่คุ้นเคย’ มากมาย
“ศิษย์พี่ ท่าน…ท่าน…คงไม่คิดจะขอวิญญาณโลหิตจากพวกเขาใช่หรือไม่?” ฟางเริ่นดูจะนึกถึงอะไรบางอย่างและกล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกัก
“มีสิ่งใดแปลกหรือ?” เฉินซีตอบคำถาม
“เอ่อ…” ฟางเริ่นกล่าวไม่ออก “หรือว่าศิษย์พี่คนนี้ไม่รู้ว่าปรมาจารย์แห่งยอดเขาจรัสตะวันออก เยว่ฉือได้ทรยศต่อนิกาย และที่สำคัญกว่านั้น ศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกก็มีกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่สี่ยอดเขา?”
“มีคนอยู่ตรงนั้น!”
“เร็วเข้า เร็วเข้า รีบถามว่าพวกเขาเห็นวิญญาณโลหิตเหล่านั้นหรือไม่!”
“เอ๊ะ! ช้าก่อน! เหตุใดรูปร่างหน้าตาของคน ๆ นั้นถึงดูคุ้นหน้าคุ้นตายิ่งนัก”
“มารดามันเถอะ! เป็นเขาจริง ๆ!”
กลุ่มศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกต่างกำลังตะโกนในขณะที่ทะยานเข้ามา ใบหน้าของพวกเขาแข็งค้างเมื่อเห็นเฉินซี ในขณะที่เสียงทั้งหมดของพวกเขาหยุดนิ่งทันที ดวงตาของทุกคนพลันฉายแววสยดสยองและหวาดกลัวอย่างสุดซึ้งออกมา
แม้จะผ่านมาสี่ปีแล้ว บทเรียนอันหนักหน่วงที่พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานในครั้งล่าสุด ยังคงเป็นเหมือนฝันร้ายที่ผุดขึ้นในใจอยู่บ่อยครั้ง และทุกคนก็ไม่สามารถลืมมันได้จนถึงตอนนี้ ดังนั้นเมื่อเห็นตัวตนที่ร้ายกาจนี้ในเวลานี้ ร่างกายของคนทั้งหมดพลันรู้สึกอ่อนแรง เกือบจะดิ่งลงมาจากกลางอากาศ
บรรยากาศพลันแปรเปลี่ยนเป็นเงียบกริบ เงียบสนิทจนแม้แต่เข็มหล่นก็ยังได้ยิน!
“พวกเจ้าทุกคนมารวบรวมวิญญาณโลหิตที่นี่ด้วยหรือ?” เฉินซีเอ่ยถาม
ทุกคนพยักหน้า และหวาดกลัวอย่างยิ่งว่าการที่ตนเชื่องช้าแม้แต่น้อย อาจทำให้ตัวตนที่เหมือนกับปีศาจตรงหน้าต้องขุ่นเคืองใจอีกครั้ง
“เอาล่ะ มอบวิญญาณโลหิตที่พวกเจ้าครอบครองอยู่มา แล้วครั้งนี้ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป” เฉินซีสั่งอย่างสบาย ๆ
…ก่อนหน้านี้ หากเป็นคนอื่นที่อยู่ที่นี่ คนผู้นั้นอาจถูกวิญญาณโลหิตเหล่านั้นปิดล้อมจนต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง
ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของเหล่าศิษย์จากยอดเขาจรัสตะวันออก เพราะหากไม่ใช่พวกเขา วิญญาณโลหิตจะมารวมกันเป็นฝูงและสร้างความหายนะไปทั่วได้อย่างไร?
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทุกคนต่างลังเลอย่างมากในทันที เพราะพวกเขาได้ใช้ความพยายามไม่น้อย และเสี่ยงชีวิตเพื่อจับวิญญาณโลหิตเหล่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงค่อนข้างไม่เต็มใจที่จะมอบมันให้แก่อีกฝ่าย
“พวกเจ้าไม่เต็มใจหรือ?” เฉินซีขมวดคิ้วและถามอย่างเฉยเมย
คนทั้งหมดตัวสั่นด้วยความกลัวทันที ก่อนจะเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่อฟังและส่งกระเป๋ามิติใบแล้วใบเล่าให้กับเฉินซี
ด้วยการตวัดนิ้วเพียงครั้งเดียว เฉินซีก็ส่งกระเป๋ามิติทั้งหมดให้กับฟางเริ่น “เจ้าควรรีบออกจากที่นี่ทันทีที่ได้รับสิ่งนี้” ทันทีที่กล่าวจบ ชายหนุ่มพลันกวาดตามองศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกเหล่านั้น จากนั้นก็พุ่งออกไปในระยะไกล
ก่อนจะจากไป เฉินซีได้วางชั้นพลังคุ้มกายไว้บนร่างของฟางเริ่น ซึ่งสามารถรับประกันได้ว่า อีกฝ่ายจะไม่ถูกบดขยี้จากแรงกดดันของที่นี่
ฟางเริ่นตกตะลึงอย่างมาก เขาถือกระเป๋ามิติกองใหญ่ไว้ในมือ ขณะที่เหม่อมองอย่างว่างเปล่า
“ศิษย์พี่คนนี้… คือใครกันแน่?
“เขาทำให้เหล่าศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกต้องยำเกรง หวาดกลัว และไม่สบายใจ นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”
หลังจากนั้น จู่ ๆ ฟางเริ่นก็ฟื้นจากอาการตกใจ และมองไปที่เหล่าศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกที่ยังไม่จากไปด้วยสายตาระแวดระวัง จากนั้นก็กระชับกระเป๋ามิติที่อยู่ในอ้อมแขน ขณะที่ในใจรู้สึกขัดแย้ง
“ศิษย์พี่คนนั้นจากไปแล้ว ถ้าพวกเขาขอคืนสิ่งของเหล่านี้ ข้าควรจะคืนให้พวกเขาหรือไม่?”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เหล่าศิษย์จากยอดเขาจรัสตะวันออกพลันรู้สึกโกรธจนแทบกระอักเลือด พวกเขาไม่เพียงจะสูญเสียกองวิญญาณโลหิตจำนวนมากโดยเปล่าประโยชน์ แต่ยังถูกจดจ้องราวกับพวกเขาเป็นหัวขโมย กระทั่งไม่ได้รับแม้แต่คำขอบคุณเลยสักคำ นี่มัน…ใจดำเกินไปแล้ว!
พวกเขาย่อมไม่กล้าถามฟางเริ่นอย่างแน่นอน แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียงศิษย์ชั้นนอกที่มีระดับการบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ แต่เมื่อชายหนุ่มมีเฉินซีเป็นที่พึ่ง แล้วพวกเขาจะกล้าเคลื่อนไหวได้อย่างไร?
“อนิจจา เราทุ่มเทแรงกายโดยเปล่าประโยชน์จริง ๆ สุดท้ายผู้อื่นก็ได้รับผลประโยชน์จากการทุ่มเทของเราไป”
“ชู่! กล่าวเบา ๆ หน่อย! นี่เจ้าอยากรนหาที่ตายหรือ?”
“ไปกันเถอะ ไปกันเถอะ! ไว้เราค่อยไปจับพวกมันมาเพิ่มในภายหลัง ครั้งนี้เราโชคดีแล้วที่สามารถหลีกเลี่ยงจากการถูกสั่งสอนหลังจากที่เผชิญกับตัวตนที่ร้ายกาจเช่นเฉินซี”
ทุกคนล้วนถอนหายใจ และไม่แม้แต่จะสนใจฟางเริ่น ก่อนที่จะหันหลังกลับพร้อมจากไป
“ศิษย์พี่ผู้นั้น แท้จริงแล้ว… เขาคือใคร?” ฟางเริ่นไม่อาจระงับความอยากรู้อยากเห็นในใจของเขาได้ ก่อนจะถามด้วยเสียงที่ดัง
เสียงนี้ทำให้ศิษย์จากยอดเขาจรัสตะวันออกเซอยู่กลางอากาศและเกือบจะร่วงลงสู่พื้น “คนผู้นี้ไม่รู้จักเฉินซีจริง ๆ หรือ!?
“เฉินซี!” ก่อนจะจากไป หนึ่งในศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกได้ให้คำตอบแก่ฟางเริ่น
“เฉินซี?” ฟางเริ่นพึมพำ จากนั้นเขาก็ราวกับถูกฟ้าผ่า ทำให้ร่างกายของเจ้าตัวแข็งทื่อในขณะที่ร้องออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ “เขาคือศิษย์พี่เฉินซี! เขา…เขา…” หลังจากกล่าวคำว่า ‘เขา’ เป็นเวลานาน ชายหนุ่มก็นิ่งเงียบไป ในขณะที่ใบหน้าแดงก่ำและตื่นเต้นยิ่ง ในที่สุดคำพูดไม่กี่คำก็หลุดออกจากปากของฟางเริ่น “น่าเกรงขาม! น่าเกรงขามเสียจริง!”