บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 783 ตำหนักอ๋องเวิน
บทที่ 783 ตำหนักอ๋องเวิน
ภูเขาร้างเต๋านภาตั้งอยู่ในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแคว้นหวงเหลียง มันทอดตัวยาวเป็นแสนลี้ และมีความอุดมสมบูรณ์ยิ่ง
เมื่อเทียบกับราชวงศ์ซ่งแล้ว แคว้นหวงเหลียงนั้นกว้างใหญ่ไพศาลกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย มันครอบคลุมอาณาเขตกว้างใหญ่และอุดมไปด้วยทรัพยากรมากมาย ทั้งยังเป็นดินแดนที่เหมาะสมแก่การบ่มเพาะอย่างยิ่ง บรรดานิกายภายในแคว้นนี้ค่อนข้างเป็นที่เลื่องลือ เพราะพวกเขาจำแนกระดับพลังขั้นสูงเป็นยี่สิบระดับ ซึ่งล้วนแต่มีความแตกต่างกัน ทำให้การบ่มเพาะของพวกเขาค่อนข้างก้าวหน้า
เมืองวารีเมฆาตั้งอยู่ไม่ห่างกับภูเขาร้างเต๋านภา มันเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่เจริญที่สุดในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของแคว้นหวงเหลียง ซึ่งตำหนักของอ๋องเวินน้อยก็อยู่ในเมืองนี้เช่นเดียวกัน ท่านอ๋องเวินเทียนซั่วได้ชื่อว่าเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่มีชื่อเสียงอย่างมากของที่นี่
เร็ว ๆ นี้ ในเมืองวารีเมฆากำลังจะมีงานฉลองวันเกิดปีที่สิบสี่ของอ๋องเวินหัว ที่นี่จึงคึกคักอย่างมาก เต็มไปด้วยผู้บ่มเพาะมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
สำหรับคนแคว้นหวงเหลียง อายุสิบสี่ปีหมายถึงการบรรลุเป็นผู้ใหญ่
อ๋องเวินหัวซึ่งกำลังจะย่างเข้าวัยสิบสี่นั้นเกิดมาพร้อมกับร่างดาราทองคำ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีฝีมือเลื่องชื่อ ด้วยเหตุนี้ พิธีฉลองการบรรลุนิติภาวะของเขาจึงยิ่งใหญ่และได้รับความสนใจจากนิกายมากมาย
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ท่านอ๋องเวินเทียนซั่วได้ตัดสินแล้วว่าเมื่อบุตรชายอายุครบสิบสี่ปี เขาจะเลือกเฟ้นสำนักหรือนิกายให้อ๋องเวินน้อยได้เข้าร่วม และจะหยุดการอบรมด้วยตัวเองไว้เพียงเท่านี้
ด้วยเหตุนี้ ที่นี่จึงเต็มไปด้วยผู้บ่มเพาะจากนิกายต่าง ๆ ที่มาทันทีที่รู้ข่าว ด้วยพวกเขาหวังว่าจะมีโอกาสได้รับอ๋องเวินหัวเป็นศิษย์ อย่างไรเสีย หากพวกเขาต้องการให้นิกายของตนยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง ทางเลือกหนึ่งที่ควรค่าคือการเอาคนรุ่นเยาว์ที่มีฝีมือเข้ามาเป็นศิษย์!
สำหรับอ๋องเวินหัวนั้น นอกจากจะเกิดมาพร้อมกับร่างดาราทองคำแล้ว เขายังเป็นชายที่ฉลาดเฉลียว เด็ดเดี่ยว และมีความคิดความอ่านที่โตเกินวัย เด็กหนุ่มที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมเช่นนี้นับเป็นของดีหายาก แล้วนิกายใดจะไม่หวั่นไหวจนอยากได้มาเป็นส่วนหนึ่งกัน?
แน่นอนว่า นิกายที่สมควรจะรับอ๋องเวินน้อยเป็นศิษย์มีเพียงแค่นิกายชั้นสูงหรือนิกายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น …ถึงอย่างไร นิกายธรรมดา ๆ ก็ไม่มีทางได้รับการยอมรับจากท่านอ๋องสักเท่าไรนัก
แน่ล่ะ เขาเป็นถึงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเชียวนะ จะให้บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนไปอยู่ในนิกายระดับล่างได้อย่างไร?
…
ณ ภูเขาร้างเต๋านภา
ฟิ้ว!
เรือเหาะสมบัติล่องผ่านท้องฟ้าก่อนจะหยุดลงในหมู่เมฆ เฉินซียืนตระหง่านกลางลำเรือขณะมองภูเขาสูงระฟ้าที่ทอดตัวยาวจนลับตา ก่อนอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา …ภูเขาร้างเต๋านภานี้มีทัศนียภาพที่งดงาม แม่น้ำสายกว้างไหลยาวเคียงหุบเขา หลอมรวมพลังแห่งฟ้าดินเข้าด้วยกัน เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การแสวงโชคยิ่ง
หากไม่ใช่เพราะตำหนักเต๋านภาถูกทำลายในชั่วข้ามคืน บริเวณรอบ ๆ ภูเขาก็คงจะเฟื่องฟูยิ่งกว่านี้ และมันคงจะกลายเป็นสวรรค์ชั้นยอดสำหรับการบ่มเพาะในสายตาของผู้เยี่ยมยุทธ์ทุกคนอย่างแน่นอน!
ขณะเดียวกัน เฉินซีได้กวาดสายตามองเบื้องล่าง ทำให้ภาพของเมืองที่โอ่อ่าสะท้อนอยู่ในแววตาคมกริบคู่นั้น
‘อ๋องเวินหัว? ขอข้าดูหน่อยเถิดว่าเป็นคนอย่างไร หวังว่าเขาจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง…’ เฉินซีเก็บเรือเหาะสมบัติของตนขณะพูดพึมพำ ก่อนจะร่อนลงไปเบื้องล่างเพื่อเดินทางเข้าเมือง
ทันทีที่เขาเข้าไปในเมือง เสียงอึกทึกมากมายก็กระทบสู่โสตประสาท รอบกายของชายหนุ่มในยามนี้เต็มไปด้วยร้านรวง ภัตตาคาร โรงน้ำชา โรงหมอ หอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่า และอื่น ๆ ที่บรรยายเท่าไรก็ไม่จบสิ้น พวกมันล้วนแต่ถูกตกแต่งด้วยความวิจิตร คับคั่งไปด้วยผู้คนที่หลั่งไหลไปมาไม่ขาดสาย นับว่าเจริญยิ่งกว่านครหลวงธารสายไหมหลายขุมนัก
“เจ้ารู้หรือไม่ วันเกิดปีนี้ของอ๋องเวินน้อยไม่ได้มีแค่นิกายในแคว้นหวงเหลียงเท่านั้นนะที่ส่งผู้เยี่ยมยุทธ์มา แม้แต่นิกายเลื่องชื่อบางนิกายก็มาที่นี่ด้วย”
“เหอะ ๆ! มีอะไรน่าแปลกใจกัน อ๋องเวินหัวของพวกเราเกิดมาพร้อมกับร่างดาราทองคำ ทั้งยังมีความสามารถโดดเด่นอย่างหาตัวจับยาก พลังที่เขามีนั้นน่าทึ่งมาก จนแม้แต่นิกายเซียนใหญ่ ๆ ทั้งสิบนิกายก็ใช่ว่าจะมีคนที่ครอบครองพลังเช่นนี้”
“ข้าล่ะอยากรู้นักว่า ท่านอ๋องน้อยจะเลือกนิกายใด น่าเสียดาย หากตอนนี้ตำหนักเต๋านภายังอยู่คู่เมืองวารีเมฆาของเรา เขาก็คงจะเข้าร่วมไปแล้ว ไม่ต้องมาเลือกให้ยุ่งยากวุ่นวายเช่นนี้”
“อย่าพูดไร้สาระน่า นี่มันก็ผ่านมาตั้งกี่ปีแล้ว ถ้าหากตำหนักเต๋านภายิ่งใหญ่และน่าเกรงขามดังคำขานจริง ก็คงไม่มีทางจะพังพินาศในชั่วข้ามคืนเช่นนี้สิ”
ท้องถนนเต็มไปด้วยบทสนทนาเกี่ยวกับอ๋องเวินหัว และวันเกิดอายุครบสิบสี่ปีของเขา เห็นได้ชัดว่าทุกคนในเมืองวารีเมฆาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก
เฉินซีเดินเอามือไพล่หลังท่ามกลางเส้นทางที่จอแจ เขาได้ยินเรื่องราวที่คล้าย ๆ กันนี้มาตลอดทาง ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มย่นคิ้วอย่างอดไม่ได้
…นิกายต่าง ๆ ได้ส่งผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายมาเพื่อรับเขาเป็นศิษย์อย่างนั้นหรือ? หากเป็นเช่นนี้ หนทางในการรับเวินหัวมาเป็นศิษย์ของเฉินซีก็คงจะลำบากขึ้นพอควร
ไม่นานชายหนุ่มก็ส่ายหัวเพื่อสลัดความคิดนั้นออกไป จริงอยู่ที่เขาออกมาจากนิกายในครั้งนี้ก็เพื่อทำบททดสอบทั้งสองประการให้ลุล่วง แต่ก็ใช่ว่าเขาจะต้องรับศิษย์โดยไม่คิดไตร่ตรองเสียหน่อย
อย่างไรก็เถอะ ตราบใดที่เจ้าเด็กนั่นมีฝีมือจริง เขาย่อมยินดีและพร้อมจะรับเด็กคนนั้นให้มาเป็นศิษย์ แต่ถ้าจะให้รับเด็กเกเรนิสัยเสียมาดูแล ชายหนุ่มก็ขอขีดเส้นไว้เลยว่าไม่เอาด้วยเด็ดขาด!
‘ช่างเถอะ ได้ยินก็เรื่องหนึ่ง ได้เห็นกับตาก็เรื่องหนึ่ง ข้าจะไปเยือนตำหนักเวินอ๋องดูเสียหน่อย จะได้รู้ว่านิสัยใจคอของเวินหัวเป็นอย่างไร หากเขาไม่สามารถทำให้ข้ายอมรับได้ หรือแย่ยิ่งกว่าที่ข้าคิดไว้ ข้าก็แค่ต้องถอย…’ เฉินซีครุ่นคิดกับตัวเอง ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังตำหนักเวินอ๋อง
ณ ตำหนักเวินอ๋อง
กลุ่มองครักษ์จำนวนมากยืนเฝ้าเวรยามอยู่หน้าประตูใหญ่ของตำหนัก พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติ จากพลังที่เปล่งประกายออกมา ในหมู่พวกเขาดูเหมือนจะมีคนที่มีความสามารถโดดเด่นกว่าใครรวมอยู่ด้วย
โดยเฉพาะชายชราที่เป็นผู้นำคนนั้น เขาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายา สีหน้าของอีกฝ่ายเรียบเฉยขณะที่ยืนอย่างผ่าเผยอยู่ตรงหน้าทางเข้า ท่าทางของชายชรานั้นองอาจดังหินผา แน่นอนว่าเพียงได้เห็น ก็ไม่มีใครกล้าแหย่เท้าสร้างเรื่องให้คนผู้นี้ต้องขุ่นเคือง
ในขณะนี้ ผู้คนกำลังเดินเข้าออกกันไปมาอยู่ที่หน้าประตูตำหนัก พวกเขามาเพื่อแสดงความยินดีกับอ๋องเวินน้อยโดยเฉพาะ ทำให้ที่ตำหนักในยามนี้ดูคึกคักอย่างมาก
“ขอถามสหายเต๋า เจ้ามาที่ตำหนักเวินอ๋องด้วยเหตุอันใด?” เฉินซีถูกคนเฝ้าประตูปรามไว้ เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะก้าวเข้าไป ช่วยไม่ได้ เฉินซียังดูหนุ่มเกินไปจริง ๆ อีกทั้งเขายังมาเพียงลำพังไร้ผู้ติดตาม ซ้ำร้ายยังมีหน้าตาที่ไม่ใช่คนคุ้นเคยกันในแถบนี้อีกต่างหาก จึงไม่แปลกหากชายหนุ่มจะกลายเป็นที่สะดุดตาขององครักษ์
“ข้ามารับศิษย์” เฉินซีพูดอย่างใจเย็น
“เจ้าน่ะรึ…จะมารับศิษย์?” องครักษ์เบิ่งตากว้าง ขณะกวาดมองเฉินซีตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าแคลงใจ
ชายหนุ่มเริ่มหัวเราะ “ไม่ได้หรือ?”
“ผู้มาเยือนทุกคนล้วนแต่เป็นแขกทั้งสิ้น ให้เขาเข้าไป!” ชายชราผู้เป็นหัวหน้าพูดพร้อมกับโบกมือ
องครักษ์ตกตะลึง ก่อนจะยอมถอยด้วยสีหน้าบึ้งตึง
เฉินซีประสานมือให้ชายชราและเดินเข้าไป
“ผู้ดูแลอู่ เจ้าหนุ่มนั่นเป็นใคร ข้ายังไม่ทันได้ตรวจสอบ เหตุใดท่านจึงยอมให้เขาเข้าไปได้เล่า” องครักษ์คนนั้นงงงวย เขาหันไปถามชายชราอย่างไม่เข้าใจ
“เจ้าหนุ่มคนนั้นเป็นผู้บ่มเพาะ ระดับการบ่มเพาะของเขาอย่างน้อยก็อยู่ที่ขอบเขตสถิตกายา บางทีเขาอาจจะเป็นยอดฝีมือที่มาจากนิกายยิ่งใหญ่ก็เป็นได้” ชายชราตอบด้วยเสียงไม่ยี่หระ
“ไม่ได้ล้อกันเล่นใช่หรือไม่?” อีกฝ่ายถามอย่างประหลาดใจ
“ข้าน่ะมองคนมาทั้งชีวิต และก็ไม่เคยมองผิดสักครั้ง ผิดกับเจ้า… เฮ้อ เจ้ายังไร้เดียงสาเกินไปจริง ๆ” ชายชราส่ายหน้า เขาอมยิ้มเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไรต่อ
องครักษ์คนนั้นเม้มริมฝีปากทั้งสีหน้าคาดเดาได้ยาก
…
เมื่อเฉินซีเข้าไปภายในตำหนักเวินอ๋อง หญิงสาวนางหนึ่งพร้อมกับข้ารับใช้ชราอีกสองคนก็มาถึงที่หน้าตำหนักในเวลาไล่เลี่ยกัน
นางคือองค์หญิงไป๋หลี่ ทว่าอาภรณ์ของนางในยามนี้ดูเรียบง่ายสบายตากว่าแต่ก่อนมาก หญิงสาวสวมชุดสีม่วงซึ่งตัดกับเส้นผมดำยาวสลวยที่ปล่อยลงมาเคลียบ่าได้เป็นอย่างดี ใบหน้าของนางงดงามประหนึ่งดอกฝูหรง*[1] ที่ผลิบานกลางธารน้ำใส เป็นความงามที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นมาอย่างบรรจง
“ดูเหมือนสหายผู้นี้มีแผนจะรับเวินหัวเป็นศิษย์…” องค์หญิงไป๋หลี่ครุ่นคิดอยู่หนึ่ง ก่อนจะสาวเท้าไวเข้าไปในตำหนักของเวินอ๋องทันที
แม้ว่าการแต่งกายของนางจะดูเรียบง่าย ทว่ามันก็ไม่อาจปกปิดความงามที่มีแต่กำเนิดได้ กลิ่นอายสูงส่งที่ได้รับการบ่มเพาะมาตั้งแต่เยาว์วัย ทำให้ทุกท่วงท่าของนางเปี่ยมไปด้วยความทระนง ยิ่งเมื่อยืนอยู่ท่ามกลางข้ารับใช้ที่มีท่าทางผ่าเผย ก็ยิ่งทำให้นางดูสูงศักดิ์ยิ่งกว่าใคร แม้แต่ชายชราผู้ดูแลตำหนักก็ยังตื่นตระหนกทันทีที่ได้เห็นหญิงสาวปรากฏตัวขึ้น
ในที่สุด นางก็สามารถเดินเข้าไปในตำหนักโดยไม่มีปัญหาอะไร
“ให้ตายเถิด! ให้ตายเถิด! พวกข้ารับใช้ที่ตามนางมาทำเอาข้าอกสั่นขวัญแขวนไปหมด เหมือนว่าพวกเขาจะอยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ นี่พวกเขาเป็นใครกันแน่ หรือว่าจะเป็นแขกที่มาจากหนึ่งในสิบนิกายเซียนชั้นสูง?” เมื่อองค์หญิงไป๋หลี่ผละจากไป ชายชราแซ่อู่ก็ยังไม่คลายจากอาการตกใจ เขาในตอนนี้เหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ฟุ้งซ่าน
“ผู้ดูแลอู่ ในฐานะที่ท่านมองดูคนมานับไม่ถ้วน ช่วยชี้แนะได้หรือไม่ว่าพวกเขามีที่มาที่ไปอย่างไร” องครักษ์อดถามไม่ได้
“พูดมากเสียจริง!” ผู้ดูแลอู่โพล่งกล่าวเสียงเย็น ทว่าไม่นานก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ “เป็นแขกที่มีเกียรติยิ่ง พวกเขาเป็นแขกที่สูงศักดิ์ที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้พบพาน แค่ท่าทางของพวกเขา ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาที่ไหนจะเรียนรู้ได้”
องครักษ์รู้สึกประหลาดใจอย่างมากเมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะตอบโต้ด้วยเสียงที่เบาราวกระซิบ “ผู้ดูแลอู๋ ท่านคิดว่าพวกเขามาที่นี่ทำไม?”
ผู้ดูแลอู่ขมวดคิ้ว เขาพยายามเค้นความคิดเพื่อจะหาคำตอบสำหรับเรื่องนี้ หากสุดท้ายก็ไม่พบคำอธิบายใดที่พอจะสมเหตุสมผล
อย่างไรเสีย ตำหนักอ๋องแห่งนี้ก็มีแต่ท่านอ๋องเวินเทียนซั่วเท่านั้นที่มีการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตเซียนปฐพี แต่ข้ารับใช้ทั้งสองของหญิงสาวนางนั้นดูเหมือนจะมีขอบเขตที่เท่ากันกับท่านอ๋องของเขา ดังนั้นหากจะกล่าวว่าคนกลุ่มนี้มาเพื่อรับนายน้อยเวินเป็นศิษย์ละก็ คงเป็นเรื่องที่ไกลเกินฝัน…
“ไปรายงานเรื่องนี้ให้ท่านอ๋องทราบ” ผู้ดูแลอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสั่งการอย่างเร่งด่วน
องครักษ์มีสีหน้าเคร่งเครียด เขารีบวิ่งไปโดยไม่กล้าพูดอะไร
ตำหนักเวินอ๋องมีขนาดกว้างใหญ่ กินพื้นที่เมืองไปหลายส่วน หลังจากเฉินซีเข้ามาในตำหนัก เขาก็เดินไปตามทางซึ่งผ่านป่าโบราณ ก่อนจะเข้าไปยังภายในสวนพร้อมกับแขกเหรื่อคนอื่น ๆ
เมื่อมาถึงตรงนี้ พฤกษานานาพันธ์ุก็เริ่มบางตา พื้นดินที่นี่ปกคลุมด้วยพรมหญ้าที่อ่อนนุ่มราวฟูก เบื้องหน้าปรากฏทะเลสาบกว้างใหญ่ที่ใสสะอาด ประหนึ่งลานเพชรแวววาวกลางหญ้าเขียวขจี
ตอนนี้เอง แขกเหรื่อจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ พวกเขาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มาจากนิกายต่าง ๆ ท่าทางของพวกเขาสง่างาม บางคนเป็นผู้อาวุโสที่มีชื่อเสียงในแถบนี้ ทว่าส่วนใหญ่นั้นคือผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ มีตั้งแต่อายุสิบขวบไปจนถึงยี่สิบกว่าปี บรรดาคนเหล่านั้นล้วนแต่ไม่ธรรมดา หลายคนเพียงมองแค่ปราดเดียวก็สัมผัสได้ถึงความโดดเด่น ในขณะที่บางคนนั้นมีกลิ่นอายพลังที่แข็งแกร่งอย่างมาก
“คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดในเมืองวารีเมฆา เพราะการฉลองวันเกิดของอ๋องเวินน้อย ทำให้พวกเขามีโอกาสได้มารวมตัวกันที่นี่ และพวกเขาจะได้รับการคัดเลือกจากนิกายต่าง ๆ หรือไม่ ก็ล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเขาเอง” ชายวัยกลางคนหัวเราะเบา ๆ ขณะกำลังคุยกับคนข้าง ๆ
เฉินซีเข้าใจได้ทันที เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว เวินเทียนซั่วคนนี้จะกล่าวว่าเป็นคนใจกว้างก็ไม่ผิดนัก เนื่องจากวันเกิดอายุครบสิบสี่ปีของบุตรชายนั้นสามารถดึงดูดนิกายต่าง ๆ ให้มารวมตัวกันได้ อีกฝ่ายจึงได้ใช้โอกาสนี้ในการรวบรวมคนที่มีฝีมือทั้งหมดในเมืองมาที่นี่เพื่อสร้างสถานการณ์ให้พวกเขาได้เจอกันโดยบังเอิญ หากใครโชคดี ก็อาจได้จับผลัดจับผลูไปอยู่ในนิกายดี ๆ และมีชีวิตที่รุ่งโรจน์ได้
“สู้เขา! เสิ่นเหยียน เจ้าทำได้!” ในตอนที่เฉินซีกำลังสำรวจไปรอบ ๆ เสียงแว่วที่แทบจะไม่ได้ยินพลันกระทบเข้าหูของชายหนุ่ม
เฉินซีตกใจก่อนจะหันตามต้นเสียง เขาจึงเห็นเด็กหนุ่มผิวคล้ำร่างกายผอมบางยืนอยู่ไม่ไกล หมัดที่โผล่พ้นแขนเสื้อสีเรียบตัวโคร่งกำลังกำแน่นด้วยความแน่วแน่
เมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นสังเกตเห็นสายตาของเฉินซี เจ้าตัวก็มีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลงด้วยเก้อเขิน
‘เขาช่างดูเรียบง่ายนัก’ นี่เป็นความรู้สึกแรกที่เฉินซีมีต่อเสิ่นเหยียน
[1] ดอกฝูหรง คือ ดอกชบา