บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 812 ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งยันต์อักขระ
บทที่ 812 ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งยันต์อักขระ
ณ ริมสระชำระกระบี่
หญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่ริมทะเลสาบสีคราม นางสวมชุดคลุม เห็นได้ชัดว่าเป็นสตรีที่ปลอมเป็นบุรุษ ทว่ากลับไม่อาจบดบังเสน่ห์ตามธรรมชาติที่มี ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายขยับยกมือและเท้า มันก็ราวกับทั่วทั้งโลกกำลังสรรเสริญ ตะโกน และโลดเต้นตามท่วงท่าของนาง เผยเสน่หาที่หาได้ยากในโลกหล้าออกมา
ระหว่างทาง เฉินซีสงสัยว่าเหตุใดพวกศิษย์พี่ถึงหายไป แม้กระทั่งอาซิ่ว เสวี่ยเหยียน และไป๋คุยก็ไม่เว้น แต่เมื่อพบกับสตรีซึ่งปลอมเป็นบุรุษนางนี้ เขาก็เข้าใจเหตุผลในทันที
“ศิษย์น้อง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” หญิงสาวยิ้มแล้วกล่าวออกมา …ริมฝีปากแดงดุจกุหลาบ ฟันขาวดั่งกระเบื้องเคลือบ ทำให้นางงดงามมีเสน่ห์ราวกับสามลมอบอุ่น จนทำให้ทุกคนอดที่จะประทับใจกับท่าทางของนางไม่ได้
“ศิษย์พี่” เฉินซีประสานมือ ในใจเปี่ยมด้วยอารมณ์ที่อธิบายได้ยาก
ตอนที่เห็น ‘ศิษย์พี่’ คนนี้เป็นครั้งแรก เป็นที่ภูเขาทางด้านหลังของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ในตอนนั้น หญิงสาวได้มอบผลดอกบัววิญญาณเพลิงกับชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากให้แก่เขา
ตอนที่พวกเขาพบกันเป็นครั้งที่สอง มันคือแหล่งน้ำท่ามกลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่ ในตอนนั้น ชิงซิ่วอี้กับฟ่านอวิ๋นหลานต่างพ่ายแพ้ให้กับเขา ซึ่งคนทั้งคู่ต่างเดือดดาลจนอยากสับชายหนุ่มเป็นชิ้น ๆ ทว่าโชคยังดีที่หญิงสาวลงมือได้ทันเวลา ด้วยความช่วยเหลือดังกล่าว ทำให้ชายหนุ่มรอดพ้นหายนะมาได้
ทว่าการพบกันสองครั้งแรกเหมือนเพียงชั่วขณะ พวกเขาเพียงสนทนากันไม่กี่คำเท่านั้น แม้กระทั่งในตอนนี้ เฉินซีก็ยังไม่ทราบชื่อของ ‘ศิษย์พี่’ ผู้นี้เลย
ทว่าเขามั่นใจว่านางคือศิษย์ของฝูซีผู้เป็นปรมาจารย์แห่งเคหาบ่มเพาะ ดังนั้นในใจของชายหนุ่มจึงนับว่านางเป็นศิษย์พี่
เมื่ออยู่ต่อหน้านาง ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแต่อย่างใด เขาไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะคิดร้าย …และนี่คือความรู้สึกเชื่อใจที่ไม่อาจบรรยายได้
อาจจะเป็นเพราะรากฐานการบ่มเพาะของอีกฝ่ายสูงเกินไป มันสูงเสียจนแม้แต่ตอนนี้ชายหนุ่มก็ทำได้เพียงเงยหน้ามองเท่านั้น และหากตัวตนเช่นนั้นต้องการจะทำร้ายเขา …อีกฝ่ายย่อมไม่จำเป็นต้องคิดหาวิธีการให้มากมาย
“ใช่แล้ว ๆ หายากนักที่จะสามารถบ่มเพาะถึงระดับนี้ได้เพียงไม่กี่ทศวรรษ” หญิงสาวเอามือไพล่หลัง นางมองเฉินซีพร้อมกับยิ้มออกมา ดวงตากระจ่างใสเต็มไปด้วยความชื่นชม
“ศิษย์พี่อย่าล้อเล่นสิขอรับ” ตอนนี้ เฉินซีคล้ายกับอายเล็กน้อย
หญิงสาวยื่นมือเรียวราวกับหยกออกไป จิ้มที่แก้มของเฉินซี หัวเราะคิกคักแล้วกล่าวว่า “เจ้ากำลังจะก้าวข้ามภัยพิบัติขอบเขตเซียนปฐพี จะอายไปทำไม”
เมื่อถูกหญิงสาว ‘ลวนลาม’ เช่นนี้ เฉินซีพลันรู้สึกอายขึ้นมา ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อ
“เอาล่ะ ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว” หญิงสาวโบกมือ นางยิ้มแล้วกล่าวว่า “ศิษย์น้อง ข้ามาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพื่อพาเจ้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง”
“ท่านจะพาไปที่ใด?” สีหน้าของเฉินซีจริงจังขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว
“เมื่อไปถึงเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
หญิงสาวยิ้ม ริมฝีปากแดงคลี่ออกเล็กน้อย นางเปลี่ยนเรื่องแล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “เจ้าน่าจะเข้าใจแล้วว่า โชคชะตานั้นถูกบดบังด้วยความลับแห่งสวรรค์ ดังนั้น เมื่อเจ้าก้าวข้ามภัยพิบัติเพื่อเข้าสู่ขอบเขตเซียนปฐพีในครั้งนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น?”
เฉินซีตกตะลึงสักพัก เขารู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่เขาไม่คาดคิดว่ามันจะข้องเกี่ยวกับการก้าวข้ามภัยพิบัติ
“ง่ายมาก เจ้านับว่าเป็น ‘สิ่งแปลกปลอม’ ของวิถีสวรรค์ สายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์จึงถูกส่งมาเพื่อฆ่าเจ้าในอึดใจเดียว ไม่มีโอกาสที่จะรอดชีวิตมาได้”
ดวงตาของหญิงสาวกระจ่างใสราวทะเลสาบ นางจ้องมองท้องนภาไกลออกไป แล้วจึงกล่าวว่า “เจ้ายังไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจในตอนนี้ ทว่าสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์นี้ แม้กระทั่งเซียนทองคำขั้นสมบูรณ์ในอาณาจักรเบื้องบนที่ได้รับการตราหน้าจากวิถีสวรรค์ว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม ยังถูกกวาดล้างจนสิ้นเลย”
เฉินซีตกตะลึงด้วยความหวาดกลัว สายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์? เซียนทองคำขั้นสมบูรณ์? นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยได้ยินคำพูดเหล่านั้น ซึ่งมันทำให้ชายหนุ่มตกตะลึงกับคำพูดของหญิงสาว
สิ่งแปลกปลอม!
กลายเป็นว่าเขาคือสิ่งแปลกปลอมมาโดยตลอด…
เฉินซีสับสนเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี สิ่งที่เรียกว่า สิ่งแปลกปลอมคือตัวตนที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ส่วนจะดีหรือไม่นั้น คงมีเพียงทวยเทพที่ล่วงรู้
“แต่ศิษย์น้องไม่ต้องกังวลไป สถานที่ที่ข้าจะพาเจ้าไปสมารถคลี่คลายปัญหานี้ได้” หญิงสาวยิ้มเล็กน้อย ดวงตากระจ่างใสเต็มไปด้วยความหวัง นางกล่าวอย่างราบเรียบว่า “เมื่อเจ้ายืนอยู่ในสามภพได้อย่างภาคภูมิ เจ้าจะเข้าใจเองว่าสิ่งที่เรียกว่าวิถีสวรรค์นั้นไม่ได้ไร้เทียมทาน”
เฉินซีสูดหายใจเข้า เขาพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณศิษย์พี่ที่ช่วยชี้แนะ”
เขาสงสัยยิ่งว่า ศิษย์พี่ลึกลับผู้นี้เข้าใจสถานการณ์ของตนได้อย่างไร ทั้งยังเข้าใจความจริงที่ตัวเขากำลังจะบรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพีอีก!
แต่ชายหนุ่มไม่คิดจะถาม มีหลายสิ่งในโลกที่อธิบายไม่ได้มากเกินไป มันอาจจะเป็นดังที่ศิษย์พี่ว่า เมื่อเขาแข็งแกร่งขึ้น ทุกสิ่งในใจจะเด่นชัดขึ้นเอง
“ศิษย์น้องเตรียมตัวให้พร้อม ข้าจะมารับเจ้าในอีกสามวัน”
หญิงสาวยิ้ม นางไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอีก ก่อนที่ทั่วทั้งร่างจะเปล่งแสงดาราเจิดจ้า จากนั้นจึงหายไปอย่างไร้ร่องรอย
กลายเป็นว่าตอนมาก็ไม่รู้ ตอนไปก็ไม่ทราบ ไม่มีความชัดเจนดั่งโอกาสมหาวิถี ภูตผีทวยเทพไม่อาจทราบได้ เซียนและอสูรทั้งหลายไม่อาจรับรู้
“ถึงจะไม่ทราบว่าเป็นสถานที่แบบใด แต่หากคิดจะเอาลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ ขอเพียงบรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพีได้ อย่างไรตัวข้าก็จำเป็นต้องไป!”
หลังหญิงสาวจากไปแล้ว เฉินซีพลันถอนหายใจยาวออกมา แววตาเผยความมุ่งมั่น ไม่ว่าตัวเองจะเป็น ‘สิ่งแปลกปลอม’ จากวิถีสวรรค์หรือไม่ แต่ในวิถีของเขาย่อมไม่หวาดกลัวสิ่งใด!
…
ตกกลางคืน
กองไฟบนยอดเขากำลังโหมกระหน่ำ ศิษย์พี่หั่วโม่เลยและคนอื่น รวมถึงอาซิ่ว เสวี่ยเหยียน เหมิงเหวย โม่ย่า และบรรดาเด็กหนุ่มเด็กสาวจากเผ่านรกขุมที่เก้าต่างมารวมตัวกัน
กลิ่นเนื้อหอมเย้ายวนอบอวลในอากาศ ทุกคนดื่มกินกัน สนทนาและหัวเราะ เห็นได้ชัดว่ามีความสุข
ขณะนั้นหลิงไป๋ ไป๋คุย และหมีน้อยขนทองอาหมานกำลังรวมตัวกัน พากันดื่มกินอย่างเต็มที่ ทั้งยังแข่งกันอีกว่าใครกินได้เยอะที่สุด ซึ่งในหมู่ผู้ชม มีเพียงเด็กน้อยสามคนที่คล้ายมีความสุขที่สุด
อาซิ่วแตะศีรษะของหลิงไป๋เป็นครั้งคราวแล้วชื่นชมซ้ำไปมาว่า ‘รูปหล่อ ๆ’ จากนั้นลูบท้องของหมีน้อยขนทองอาหมานเอ๋อร์พร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุข “ไอหยา ช่างเป็นท้องที่เล็กและนุ่มเหลือเกิน ถ้าได้นอนหนุนต้องสบายแน่ ๆ…”
เด็กน้อยทั้งสามคนต่างให้ความร่วมมือกับอาซิ่วเป็นอย่างดียิ่งเช่นกัน เพราะนางดูจะมีผลไม้วิญญาณนานาชนิดอยู่ในมือที่ไม่สามารถหากินที่ไหนได้อีก อย่าว่าแต่ความอร่อยเลย พวกมันล้วนเป็นของหายากนัก ดังนั้นพวกมันจึงยินยอมพร้อมใจทำทุกอย่างจนแทบจะเรียกได้ว่าขายวิญญาณ!
แต่เฉินซีกลับรู้สึกว่าอาซิ่วในวันนี้ค่อนข้างจะผิดปกติอยู่บ้าง นางตกอยู่ในห้วงความคิดเป็นครั้งคราวราวกับมีเรื่องบางอย่างในใจ
จนกระทั่งงานเลี้ยงช่วงเย็นสิ้นสุดลง เฉินซีจึงประกาศว่าเขาจะไปข้างนอกเป็นเวลาสามวัน พร้อมกับบอกทุกคนว่าไม่ต้องห่วง แค่บ่มเพาะอยู่ในยอดเขาเงียบ ๆ ก็พอ
ทุกคนย่อมไม่คัดค้านแน่นอน สถานะของยอดเขาจรัสตะวันตกในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในตอนนี้คล้ายกับแซงหน้ายอดเขาอื่นจนกลายเป็นอันดับหนึ่งไปแล้ว ซึ่งเหตุผลส่วนใหญ่ก็มาจากเฉินซี แต่ทุกคนในที่นี่เองก็มีส่วนร่วมอย่างมากเช่นกัน
เหมือนกับเหมิงเหวยและโม่ย่า รวมถึงเด็กหนุ่มเด็กสาวจากเผ่านรกขุมที่เก้า ที่ความแข็งแกร่งของพวกเขาพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงที่ฝึกฝนหลายปีมานี้
แม้แต่เจ้าเด็กขี้มูกโป่งที่อายุน้อยที่สุดก็ยังมีการบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ ส่วนคนที่มีการบ่มเพาะสูงกว่าก็เริ่มทำการทะลวงขอบเขตเข้าสู่ขอบเขตสถิตกายาแล้ว!
จากจุดนี้พวกเขาสามารถรู้ได้ว่าคุณสมบัติและพรสวรรค์ของเด็กหนุ่มสาวจากเผ่านรกขุมที่เก้าเหล่านี้น่าทึ่งแค่ไหน
เช่นเดียวกัน เหมิงเหวยกับโม่ย่าในตอนนี้กำลังวางแผนเลือกที่จะเก็บตัวเพื่อทะลวงขอบเขตเซียนปฐพี เนื่องจากการขัดเกลากายาของทั้งสองสั่งสมอยู่ในขอบเขตสถิตกายามานาน ซึ่งกล่าวได้ว่าพวกเขาสั่งสมความพร้อมมากมาย และพร้อมจะทะลวงข้ามขอบเขตแล้ว!
ส่วนพวกศิษย์พี่หั่วโม่เลย การบ่มเพาะของพวกเขาเองก็พัฒนาอย่างรวดเร็วเช่นกัน แต่พวกเขาไม่ได้ฝักใฝ่การบ่มเพาะถึงเพียงนั้น จึงเลือกที่จะจดจ่อกับงานอดิเรกมากกว่า
ชิงอวี่ฝึกฝนกลยุทธ์ทั้งวันทั้งคืนพร้อมกับเด็กหนุ่มเด็กสาวจากค่ายอัสนีม่วงและค่ายผลึกเยือกแข็งคราม ศิษย์พี่หั่วโม่เลย ศิษย์พี่รองหลูเซิง ศิษย์พี่สามอี้เฉินจื่อ ศิษย์พี่สี่ต้วนอี้ และศิษย์พี่ห้าอาจิ่วช่วยกันหลอมอุปกรณ์ กำหนดรหัสลับในการสื่อสาร จัดกำลังพล ศึกษากลยุทธ์ค่ายกล… และอื่น ๆ อีกมากมาย
ส่วนเสวี่ยเหยียนกับอาซิ่ว คนหนึ่งเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหนึ่ง อีกคนก็มีพลังอันไร้เทียมทาน พวกนางเองก็พำนักอยู่บนยอดเขาจรัสตะวันตกเช่นกัน!
ถ้านับรวมไป๋คุย หลิงไป๋ มู่ขุยและหมีน้อยขนทองอาหมาน กำลังพลจากทั่วทั้งยอดเขาจรัสตะวันตก ย่อมมากพอจะเหยียดหยันต่อยอดเขาจรัสตะวันออก ยอดเขาจรัสใต้ และยอดเขาจรัสเหนือได้!
ไป๋คุยสืบเชื้อสายมาจากสัตว์มงคลปี่เซียะ ซึ่งภายใต้การฝึกฝนของอาซิ่ว มันก็เติบโตขึ้นมาก จากที่เคยมีขนาดเท่ากำปั้น มาตอนนี้มันมีขนาดตัวเท่ากับแมวตัวหนึ่ง!
ส่วนหลิงไป๋กับมู่ขุย ตั้งแต่ออกจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเมื่อห้าปีก่อน พวกเขาก็เติบโตขึ้นมากในโลกภายนอกจนได้รับโอกาสมากมาย และตอนนี้ความแข็งแกร่งของมู่ขุยได้เข้าสู่ขอบเขตสถิตกายาขั้นกลางแล้ว ความคืบหน้าดังกล่าวก็นับว่ารวดเร็วยิ่ง
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือมู่ขุยได้กระตุ้นเต๋าโดยกำเนิดของ ‘หมาป่าจันทรคราส’ จนสามารถปลุก ‘จันทราคำรามแห่งความตาย’ ในสายเลือดได้สำเร็จ!
แต่ทั้งหมดนี้กลับไม่อาจเทียบได้กับความคืบหน้าของหลิงไป๋ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่า ร่างกายเดิมของเขาเป็นร่างของสมบัติวิเศษ กอปรกับเป็นผู้สืบทอดมรดกวิถีกระบี่สูงสุดแห่งนิกายกระบี่แดนนิพพาน มาตอนนี้การบ่มเพาะของเขาก็บรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายาขั้นสมบูรณ์แล้ว!
จากที่อีกฝ่ายกล่าว หากไม่ใช่เพราะรอโชคครั้งใหญ่ เขาก็คงบรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพีตั้งแต่ช่วงต้นปีที่แล้ว!
หรือก็คือ ถ้าเฉินซีคือ ‘สิ่งแปลกปลอม’ เช่นนั้นบรรดาศิษย์พี่ สหาย รวมถึงสิ่งมีชีวิตรอบข้างเขา ก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นพวกตัวประหลาดพอกัน!!!
หากมีพวกเขาอยู่บนยอดเขาจรัสตะวันตก ชายหนุ่มก็ไม่กังวลเกี่ยวกับเหตุร้ายใด ๆ หลังจากออกเดินทางไปแล้ว
ยิ่งกว่านั้น สำหรับนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในตอนนี้ สถานะและชื่อเสียงของชายหนุ่มได้สูงดั่งท้องนภาไปแล้ว จึงไม่มีผู้อาวุโสคนใดกล้าสร้างปัญหาให้กับยอดเขาจรัสตะวันตก
สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกไม่วางใจคือเวลาที่ต้องใช้ในการเดินทางครานี้ เนื่องจากระยะเวลาห้าปีคือเส้นตายที่จะได้พบกับไป๋หว่านฉิง และหากล่าช้าไปกว่านี้ เขาจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิตอย่างแน่นอน!
ถึงอย่างไร ทั่วทั้งโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ เห็นทีคนที่รู้จักตระกูลเฉินของเขาดีที่สุดย่อมเป็นไป๋หว่านฉิง …มีเพียงนางที่สามารถตอบทุกข้อสงสัยของเขาได้!
สามวันต่อมา
เฉินซีผลักประตูก่อนเดินออกมาจากลานบ้าน
แน่นอนว่าศิษย์พี่ลึกลับผู้ปลอมเป็นผู้ชายกำลังรอเขาอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้น นางก็อดที่จะยิ้มแล้วกล่าวไม่ได้ว่า “ดูท่าเจ้าจะเตรียมพร้อมแล้วสินะ”
เฉินซีพยักหน้า ก่อนจะถามว่า “ศิษย์พี่ พวกเราต้องใช้เวลาเดินทางจากที่นี่นานเท่าไรหรือขอรับ?”
หญิงสาวยิ้มแล้วตอบว่า “สำหรับเจ้า คงใช้เวลาราวสามปีได้”
เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก สามปีหรือ? เกินพอแล้ว!
“ไปกันเถอะ ศิษย์น้อง ปลายทางของเราคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งยันต์อักขระที่ผู้ทรงอำนาจทั้งสี่คนจากทั่วทั้งสามภพเปิดไว้ …และมันก็เป็นดินแดนที่คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถเข้าไปได้” หญิงสาวขยิบตาก่อนยิ้มแล้วกล่าวออกมา
โดยขณะกล่าวเช่นนั้น นางก็ได้ยื่นฝ่ามือสีขาวเรียวออกไปอย่างไม่ลังเล คว้ามือขวาของเฉินซีเอาไว้ ก่อนที่ร่างของคนทั้งคู่จะกลายเป็นแสงดาราเลือนราง หายไปอย่างเงียบงัน