บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 813 ยินดีที่ได้พบ ข้าเหลียงปิง
บทที่ 813 ยินดีที่ได้พบ ข้าเหลียงปิง
ฟิ้ว!
ณ สระชำระกระบี่
ณ ริมฝั่งทะเลสาบที่ใสดุจกระจกเงา บุปผาและพืชพรรณต่างเอนไหวไปมา มีโฉมสะคราญปรากฏขึ้นที่นั่น นางมีคิ้วโก่งและผิวขาวเนียนราวกับหยกเนื้อดี สตรีผู้นี้คืออาซิ่วนั่นเอง
นางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ว่างเปล่า และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ พร้อมกับพึมพำว่า “ท่านลุงหกกล่าวถูกต้องแล้ว ผู้สืบทอดของเขาเทพพยากรณ์นั้นน่าทึ่งอย่างแท้จริง”
…
“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งยันต์อักขระ?”
“ใช่แล้ว มันเป็นโลกที่สร้างขึ้นโดยผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ที่มีพลังเลิศพบจบแดน และมันถูกสร้างขึ้นที่แนวหน้าในสนามรบของภพทั้งสาม ดังนั้นผู้บ่มเพาะจากแดนภวังค์ทมิฬจึงแทบจะไม่สามารถเข้าไปได้”
“เพราะเหตุใดหรือขอรับ?”
“เพราะแดนภวังค์ทมิฬอยู่ไกลจากที่นั่นมาก แม้ว่าเซียนสวรรค์จะทำการเคลื่อนย้ายจักรวาล แต่ก็ต้องใช้เวลาเป็นพันปี นอกจากนี้การไปถึงที่นั่นโดยไม่มีใครนำทางก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย”
“เอ่อ เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น?”
“ช่างโง่เขลา ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวในจักรวาลนั้น เต็มไปด้วยกำแพงมิติมากมายนับไม่ถ้วน และกระแสกาลเวลาที่ยุ่งเหยิงได้แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ จนแม้แต่ผู้เป็นเซียนสวรรค์ก็ยังเหมือนมดเมื่อตกลงไปในพวกมัน อีกทั้งพวกเขายังสามารถถูกกลืนกินแทบจะในทันที”
“ข้าไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ…”
“เจ้าจะเข้าใจเมื่อบรรลุสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์”
“เข้าใจแล้ว ว่าแต่ศิษย์พี่หญิงข้ายังไม่ทราบชื่อของท่านเลย…”
“เพียงเรียกข้าว่าหลียางก็พอ”
แสงดาวเย็นยะเยือกพลันส่องประกายริบหรี่อยู่ในจักรวาล มันหายวับไปในท้องฟ้าที่ดำสนิทและเต็มไปด้วยดวงดาวทันที
ร่างกายของเฉินซีถูกขดเป็นเกลียวด้วยแสงดาว และเมื่อเขามองออกไปรอบ ๆ ชายหนุ่มก็มองเห็นเพียงเงาหลากสีที่บิดเบี้ยวและแปลกประหลาดซึ่งขยายตัวครั้งแล้วครั้งเล่า นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการเปิดใช้งานพลังมิติ และมันแสดงถึงความเร็วของคนผู้หนึ่ง ซึ่งบรรลุถึงสถานะที่น่าอัศจรรย์อย่างมาก
เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายเช่นนี้เรียกว่า ‘เคลื่อนย้ายจักรวาล’ และมันก็เป็นเคล็ดวิชาที่น่ากลัวยิ่งกว่าเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายทั่วไป ซึ่งมีเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์หรือสูงกว่าเท่านั้นที่สามารถใช้มันได้
เนื่องจากเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายนี้เกี่ยวข้องกับการใช้กฎเกณฑ์ และมีเพียงเซียนสวรรค์เท่านั้นที่สามารถเข้าใจกฎเกณฑ์เหล่านั้นได้
เฉินซีไม่เคยได้ยินหรือเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน และหากเขาไม่ได้ประสบกับมันในตอนนี้ ชายหนุ่มก็คงจะไม่มีทางจินตนาการได้ว่า เขาจะท่องไปในจักรวาลและท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวได้อย่างไร ซึ่งเขาในเวลานี้ก็เป็นเหมือนเซียนสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น…
เฉินซีในขณะนี้เป็นดั่งลูกนกตัวน้อย ซึ่งทุกสิ่งที่เขาได้ยินหรือเห็นนั้นแปลกใหม่และน่าตกใจมาก อีกทั้งความรู้และประสบการณ์ที่เคยประสบในอดีตล้วนแต่ไร้ประโยชน์อย่างยิ่งในตอนนี้
โชคดีที่ศิษย์พี่หญิงของเฉินซีที่เรียกตัวเองว่าหลียางอยู่เคียงข้าง และนางได้อธิบายสิ่งต่าง ๆ มากมายให้เขาฟังตลอดทาง
เช่น ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งยันต์อักขระเป็นโลกที่สร้างขึ้นในสนามรบแนวหน้าของภพทั้งสาม แต่เนื่องจากมันอยู่ห่างจากแดนภวังค์ทมิฬอย่างมาก ผู้คนในแดนภวังค์ทมิฬจึงไม่ค่อยรู้จัก
“ศิษย์พี่หลียาง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งยันต์อักขระนั้นอัศจรรย์ยิ่งนัก ทว่ามันสามารถแก้ไขปัญหาในการบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีของข้าได้อย่างนั้นหรือ?” เฉินซีครุ่นคิดสั้น ๆ และอดไม่ได้ที่จะถาม
เขาสงสัยอย่างมาก เพราะโดยปกติแล้ว ผู้บ่มเพาะจะต้องเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์อัสนีคราม จึงจะบรรลุไปสู่ขอบเขตเซียนปฐพี ดังคำกล่าวที่ว่า มหาเต๋าเปรียบเสมือนท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ซึ่งส่งเสริมให้ทะยานขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ผู้บ่มเพาะสามารถพิชิตทัณฑ์สวรรค์ ร่างกายของมนุษย์จะเปลี่ยนเป็นร่างกายเสมือนเซียน และจะหลุดพ้นจากการเป็นผู้บ่มเพาะ อีกทั้งพลังชีวิตก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด
ปราณแท้จะกลายเป็นปราณเซียน
จิตสัมผัสเทพจะกลายเป็นญาณเทวะอมตะ
แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะพิชิตทัณฑ์สวรรค์ระลอกแรกของขอบเขตเซียนปฐพี เพราะนั่นคือทัณฑ์สวรรค์อัสนีคราม โดยเฉพาะตัวเฉินซี เนื่องจากชะตากรรมของเขาถูกปกปิดด้วยชะตาสวรรค์ เขาจึงถูกมองว่าเป็น ‘สิ่งแปลกปลอม’ เมื่อเขาพยายามจะพิชิตทัณฑ์สวรรค์ ในเวลานั้น สายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์ย่อมไม่ธรรมดาเหมือนทัณฑ์สวรรค์อัสนีคราม และมันจะเป็นสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งการพิพากษา!
มันเป็นทัณฑ์สวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด ซึ่งนำพาการเข่นฆ่าและการพิพากษามา แม้แต่เซียนทองคำก็ไม่สามารถต้านทานได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับเฉินซีที่เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา ดังนั้นเมื่อเขาเผชิญกับมัน ชายหนุ่มจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!
แต่หากเป็นไปตามที่ศิษย์พี่หลียางกล่าวไว้ว่า มีวิธีแก้ปัญหาอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งยันต์อักขระ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เฉินซีจะอยากรู้อยากเห็น
หากมีวิธีแก้ปัญหาเช่นนั้นจริง ๆ มันก็ไม่ต่างจากการขโมยพลังชีวิตจากสวรรค์ และมันจะเป็นการกระทำที่ท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง!
“ไม่ต้องกังวลหรอก มันมีเคล็ดวิชามากมายในโลกที่สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจจับของเต๋าแห่งสวรรค์ได้ และเส้นทางที่ข้าเลือกให้เจ้านั้นมีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะในอนาคตของเจ้าอย่างมาก” หลียางกล่าวพร้อมกับยิ้มบาง ๆ
เฉินซีพยักหน้าและไม่ถามอะไรอีก
“ว่าแต่ศิษย์น้อง เจ้าหลอกสาวน้อยจากตระกูลเซวียนหยวนให้มาอยู่เคียงข้างเจ้าได้อย่างไร? ภูมิหลังของสาวน้อยคนนั้นไม่ธรรมดาเลย” ทันใดนั้น หลียางก็หันกลับมา นางจ้องมองเฉินซีด้วยดวงตาที่ใสแวววาวพร้อมกับยิ้ม และรอยยิ้มของนางก็เต็มไปด้วยท่าทางเย้าแหย่
“เซวียนหยวน?” เฉินซีตกตะลึง จากนั้นครุ่นคิดอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “ศิษย์พี่ ท่านกำลังกล่าวถึงอาซิ่วหรือ?”
สหายทั้งหมดที่อยู่เคียงข้างเขาในตอนนี้ หากกล่าวถึงคนที่รู้จักเพียงผิวเผิน ก็คงมีแค่อาซิ่วคนเดียวที่ทั้งลึกลับและน่าเกรงขามยิ่ง
หลียางพยักหน้า “ถูกต้อง หากข้าเดาไม่ผิด นางคงแอบหนีออกจากตระกูลมา ไม่ฉะนั้น… ฮ่า ๆ”
เฉินซีถามด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่ ภูมิหลังของอาซิ่วนั้นเป็นอย่างไรหรือ?”
หลียางกะพริบตาและยิ้ม “ หากข้าบอกเจ้า มันก็คงน่าเบื่อเกินไป เจ้าไม่คิดอย่างนั้นหรือ?”
เฉินซีกล่าวไม่ออก และหลังจากผ่านไปนาน เขาจึงกล่าวว่า “ตอนนี้ข้ารู้สึกว่ามันน่าเบื่อนัก”
หลียางยิ้มขณะที่นางตบไหล่เฉินซี “ไม่เป็นไร ข้าจะแนะนำเจ้าให้รู้จักกับหญิงงามอีกคนในภายหลัง และเมื่อมีนางเป็นผู้นำทางในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งยันต์อักขระ ข้าก็สามารถจากไปได้อย่างสบายใจ”
“ศิษย์พี่ ท่านไม่ไปกับข้าหรือขอรับ?” เฉินซีประหลาดใจ
“โลกกำลังจะตกสู่ความโกลาหล…” ดูเหมือนหลียางจะนึกถึงอะไรบางอย่าง ทำให้รอยยิ้มของนางเลือนหายไป ขณะที่ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “ท่านอาจารย์จากไปนานแล้ว และไม่ได้กลับมาตั้งแต่ตอนนั้น ส่วนตัวประหลาดเฒ่าบางคนในภพทั้งสามก็กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวและวางแผน ดังนั้นในฐานะศิษย์ ข้าก็ควรทำอะไรสักอย่างเช่นกันใช่หรือไม่?”
ก่อนที่เฉินซีจะทันได้กล่าว นางพลันฉีกยิ้มกว้างและกล่าวว่า “อย่าได้กังวล กลียุคของทั้งสามภพในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ถูกลิขิตล่วงหน้ามานานแล้ว และแม้ว่าสวรรค์จะพังทลาย แต่ก็จะมีคนหยุดมัน สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือปล่อยวางและบ่มเพาะซะ”
…
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานสักเท่าใด เฉินซีรู้สึกว่าร่างกายของเขาสั่นไหว ก่อนที่ภาพเบื้องหน้าของเขาจะสว่างจ้าอย่างกะทันหัน
ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวมากมายสะท้อนอยู่ในดวงตาของชายหนุ่ม ดวงดาวนับไม่ถ้วนโคจรอยู่บนท้องฟ้า และพวกมันได้ก่อตัวเป็นแม่น้ำแห่งดวงดาว กลุ่มดาวซึ่งโคจรอย่างไม่มีสิ้นสุดดูราวกับฝนดาวตก… พวกมันทั้งยิ่งใหญ่และงดงามมาก!
เลยเข้าไปจากพื้นที่ของดวงดาวอันไร้ขอบเขตนั้นมีม่านแสงที่พร่างพราวปรากฏขึ้น มันเหมือนกับไข่ไก่มหึมาที่มีดวงดาวนับไม่ถ้วนโคจรอยู่โดยรอบ และพวกมันที่ส่องแสงริบหรี่ก็ทำให้จักรวาลนี้สว่างไสว
“นั่นคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งยันต์อักขระ หรือเรียกอีกอย่างว่า ‘พิภพยันต์อักขระ’ มันถูกสร้างขึ้นโดยสี่ผู้ยิ่งใหญ่ในยุคบรรพกาลที่เรียกว่า จักรพรรดิตะวันออกไท่เจิน จักรพรรดิแห่งความมืดหยวนสวิน ราชินีวิหคอมตะอินเกอ และบรรพบุรุษอสูรหลัวซาง” หลียางชี้ไปยังโลกกว้างใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป ซึ่งมีรูปร่างเหมือนเปลือกไข่และกล่าวช้า ๆ
เฉินซีตกตะลึง …มีเพียงการต้องเห็นจากสองตาของตนเองเท่านั้น เขาจึงจะกล้าเชื่อ เพราะความสามารถในการสร้างโลกเช่นนี้ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง! …มันเหมือนกับตัวตนที่เป็นเหมือนจ้าวแห่งการรังสรรค์!
วูบ!
มือขวาที่เรียวยาวและขาวนวลของหลียางโบกสะบัดไปมาเพื่อใช้เคล็ดวิชาที่ลึกล้ำ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นลำแสงที่เจาะเข้าไปในท้องฟ้าโดยตรงและหายวับไป
“เอาล่ะ จะมีคนมารับเจ้าในอีกไม่ช้า” หลียางหันกลับไปจ้องที่เฉินซี และกล่าวว่า “ศิษย์น้อง ไม่ว่าเหตุผลคืออันใดก็ตาม เมื่อเจ้าได้ย่างก้าวสู่วิถีแห่งการบ่มเพาะแล้ว เจ้าอย่าได้ลืมความตั้งใจเดิมของเจ้า”
ใบหน้าของเฉินซีกลายเป็นเคร่งขรึม ในขณะที่เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง
ในขณะนี้ จู่ ๆ ชายหนุ่มก็นึกถึงเสียงอันยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม ซึ่งได้ยินเมื่อครั้งเข้าไปในด่านแรกของบททดสอบแห่งสรวงสรรค์ที่อยู่ในเคหาบ่มเพาะของจี้หยกเป็นครั้งแรก “มหาเต๋านั้นลึกล้ำและพลังอิทธิฤทธิ์ก็เกิดจากธรรมชาติ มันเกิดจากการได้รับความลับอันไร้ขอบเขตของสวรรค์ จะเป็นความโชคดี? หรือเป็นความโชคร้าย? เพื่อเข้าใจในเต๋าสวรรค์ เราต้องซื่อสัตย์ต่อหัวใจของตนเอง บ่มเพาะอย่างยากลำบากและหมั่นเพียร อย่าได้ปล่อยใจให้โหยหาเต๋า…”
เพื่อทำความเข้าใจกับเต๋าสวรรค์ เราต้องซื่อสัตย์ต่อหัวใจ!
เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ และประสานมือคำนับ พร้อมกับกล่าวว่า “ขอบพระคุณศิษย์พี่ สำหรับคำแนะนำของท่าน”
หลียางยิ้มและเอื้อมมือออกไปหยิกแก้มของเฉินซี “เจ้าน่ะจริงจังอยู่เสมอ ข้าล่ะสงสัยว่าเหตุใดสาวน้อยเหล่านั้นถึงชื่นชอบเจ้านัก”
เฉินซีรู้สึกเขินอายยิ่ง
“อาหลี นี่คือศิษย์หลานของเจ้าหรือ?” ในเวลานี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นจากระยะไกล จากนั้นสมบัติวิเศษรูปทรงกระสวยก็ทะยานเข้ามาพร้อมกับทิ้งลำแสงยาวเป็นทาง
สมบัติวิเศษสว่างวาบ ปรากฏเป็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง
นางมีรูปร่างที่สูงยาวและสมส่วน ในขณะที่ผมยาวสีทองที่โดดเด่นของนางถูกมัดเป็นมวยไว้ด้านหลังศีรษะ และด้วยเหลี่ยมมุมที่เฉียบคม จึงเผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ หน้าผากของหญิงสาวขาวสะอาดหมดจด ในขณะที่จมูกของนางเรียวตรง ริมฝีปากสีแดงของอีกฝ่ายอวบอิ่มและเย้ายวนใจ ส่งผลให้ตัวคนงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้!
นี่เป็นความงามอย่างแท้จริง นางงดงามอย่างไม่ธรรมดา และได้รับพรความงามจากธรรมชาติ ทว่าสีหน้าของหญิงสาวกลับเย็นชายิ่ง นางก้าวยาวเข้ามาอย่างฉับไว เผยให้เห็นถึงบุคลิกอันเด็ดเดี่ยว
แต่เฉินซีกลับรู้สึกสงสัย เพราะเสื้อผ้าของหญิงสาวที่งดงามและเย็นชาผู้นี้ แตกต่างจากที่เขาเคยเห็นในอดีตอย่างสิ้นเชิง ท่อนบนของนางดูจะเข้ารูปสมส่วน ทำให้หน้าอกอวบอิ่มคู่นั้นเผยความเย้ายวนออกมา กระทั่งเห็นผิวสีขาวราวหิมะของนาง
ในขณะนี้ท่อนล่างของหญิงสาวสวมกระโปรงสั้น และเผยให้เห็นต้นขาเรียวไร้ที่ติคู่หนึ่ง ซึ่งเร่าร้อนและขาวนวลราวกับงาช้าง แม้แต่รองเท้าที่นางสวมก็ยังแวววาวและแหลมคมเหมือนไม้ระแนง
สรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉม รูปร่าง หรือแม้กระทั่งการแต่งกาย หญิงสาวที่งดงามและเย็นชาที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ ช่างเร่าร้อนและเย้ายวนใจอย่างยิ่ง นางเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่อธิบายไม่ได้ ราวกับการหลอมรวมของน้ำแข็งและไฟ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสายตาของผู้คนอย่างรุนแรง
“ว่าอย่างไรเล่า? นางงดงามมากใช่หรือไม่?” หลียางเชิดคางของตนเอง พร้อมกับยิ้มที่มุมปาก กระทั่งผิวปากออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
เฉินซีลูบจมูก ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
“หากไม่มีเรื่องใดแล้ว งั้นข้าขอตัว” หญิงสาวที่งดงามและเย็นชากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะราวกับไข่มุกที่ร่วงหล่นบนถาดหยก และนางก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมายิ่ง
“ช้าก่อน” หลียางรีบกล่าวว่า “นี่คือศิษย์หลานของข้า เฉินซี”
หญิงสาวที่งดงามและเย็นชาพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ
“เฉินซี นี่คือเหลียงปิง โฉมงามผู้ยิ่งใหญ่จากภพต้นกำเนิด แม้ภายนอกนางจะดูเย็นชา แต่ภายในใจกลับอบอุ่นยิ่ง และถ้าเจ้าสามารถกุมหัวใจของนางได้ ศิษย์พี่ใหญ่จะมอบทุกอย่างที่เจ้าต้องการให้เป็นแน่” หลียางกล่าวด้วยรอยยิ้ม และเสียงของนางก็ไม่ได้ปกปิดแม้แต่น้อย ทำให้ทั้งคู่ได้ยินอย่างชัดเจน
เฉินซีที่ได้ยินเช่นนั้นพลันกล่าวอะไรไม่ออก เพราะผู้ไม่ทราบสถานการณ์อาจจะเข้าใจว่า นางเป็นแม่สื่อแม่ชักที่กำลังจับคู่พวกเขาเข้าด้วยกัน…
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดสำหรับชายหนุ่มก็คือ แม้จนถึงตอนนี้ หลียางคล้ายจะปกปิดตัวตนของนาง และเรียกเขาว่า ‘ศิษย์หลาน’ ไม่ใช่ ‘ศิษย์น้อง’ …เหตุผลนี้คืออันใดกัน?
“ยินดีที่ได้พบ ข้าเหลียงปิง” ใบหน้าของหญิงสาวที่งดงามและเย็นชายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่นางยื่นมือขวาออกมา
“นางอยากจับมือกับข้าหรือ?”
เฉินซีตกตะลึง ไม่เข้าใจว่านี่คือมารยาทของการพบปะเช่นใด…