บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 818 ข้าไม่ยอมรับ!!
บทที่ 818 ข้าไม่ยอมรับ!!
วานรปีศาจเขาโลหิตระดับสูงสุดเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถสังหารได้กระทั่งผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหนึ่ง!
พร้อมกันนั้น มันก็เป็นสัตว์อสูรจักรวาลที่แข็งแกร่งที่สุดในบททดสอบนี้เช่นเดียวกัน
ทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินว่าเวิ่นเทียนเซี่ยวอยากท้าทายอสูรเช่นนี้ เพราะนับตั้งแต่การทดสอบเริ่มขึ้น ผู้เข้าร่วมที่แข็งแกร่งที่สุดก็ทำได้เพียงสังหารวานรปีศาจเขาโลหิตระดับสูงเท่านั้น ยังไม่มีใครกล้าท้าทายวานรปีศาจเขาโลหิตระดับสูงสุดเลยสักคน
ทางด้านเวิ่นเทียนเซี่ยว เมื่อเห็นทุกคนตกตะลึงเจ้าตัวก็พลันรู้สึกพอใจ ส่งสายตาท้าทายไปทางเฉินซีเหมือนต้องการบอกว่า ‘เจ้าหนู ดูนี่เสียก่อน!’
ทว่าเฉินซีกลับยังคงสีหน้าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คือยังทำสีหน้าสบายอารมณ์อยู่
เวิ่นเทียนเซี่ยวที่เห็นอีกฝ่ายทำท่าทางเช่นนั้นจึงคำรามลั่นออกมาอย่างขัดใจ!
ผู้แทนแห่งโถงอันดับที่เก้าพลันยกมือเป็นเครื่องหมายให้วานรปีศาจเขาโลหิตระดับสูงสุดออกมา แต่จังหวะนั้นเองก็ได้มีเสียงหนึ่งขัดขึ้นเสียก่อน “เดี๋ยวก่อน”
เงาร่างสง่างามเดินออกมาจากฝูงชน นางมีดวงตาสุกใส ฟันขาว รูปร่างสวยสดงดงาม เมื่อปรากฏตัวขึ้นก็ทำเอาฝูงชนเกิดความว้าวุ่นใจ
เห็นได้ชัดว่าทุกคนจำหญิงสาวผู้นี้ได้
ที่อีกฝั่งหนึ่ง หลังจากเฉินซีเห็นอีกฝ่าย เขาก็ทราบในทันทีว่านางคือผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาระดับชั้นยอดที่เขาเห็นมาก่อนหน้านี้นั่นเอง
“เหยาลู่เวย!” เวิ่นเทียนเซี่ยวชะงักไป จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงไม่พอใจขึ้นว่า “อันใดกัน? เจ้าคิดจะรบกวนการเดิมพันของคุณชายผู้นี้หรือ?”
หญิงสาวผู้มีนามว่าเหยาลู่เวยส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นการเดิมพัน ข้าเองก็อยากร่วมด้วยเช่นกัน ไม่รู้ว่าพี่เวิ่นจะกล้าตอบตกลงหรือไม่?”
นางท้าว่าเขากล้าหรือไม่ ไม่ได้ใช้คำว่าเต็มใจหรือไม่ ถึงน้ำเสียงจะดูสงบนิ่ง แต่การทำเช่นนี้กลับเป็นการท้าทายอย่างหนึ่ง!
และแน่นอนว่าเวิ่นเทียนเซี่ยวย่อมคำรามออกมา “ได้ยินมานานแล้วว่า เหยาลู่เวยแห่งภพบ่อวิญญาณผู้ได้รับสมญานามว่ายอดสตรีอัจฉริยะอันดับหนึ่ง คล้ายกับเป็นวีรสตรีผู้เก่งกล้า …ดูเหมือนเจ้าจะใจถึงไม่ใช่น้อย แต่ก็ยังเทียบคุณชายผู้นี้ไม่ติดหรอก ขอแนะนำว่าเจ้าอย่าเข้ามายุ่งเลยดีกว่า”
หญิงสาวยังมีสีหน้าสุขุมและถามขึ้นอีกครั้ง “ขอถามอีกครั้งว่ากล้าหรือไม่กล้า?”
เวิ่นเทียนเซี่ยวหน้าเปลี่ยนสีทันที เขาเหลือบมองคนตรงหน้าก่อนเคลื่อนสายตาไปทางเฉินซี จากนั้นส่งเสียงเยาะออกมา “อันใดกัน? คิดจะเข้าข้างเจ้าเด็กนั่นจริงหรือ?”
สิ้นคำนั้น ทุกคนพลันสัมผัสได้ถึงความนัย ใช่แล้ว เหยาลู่เวยคงไม่ออกมาขัดจังหวะนี้เพราะเป็นสหายกับชายหนุ่มคนนั้นหรอกกระมัง?
เฉินซีเองก็ประหลาดใจเช่นกัน ก่อนมาถึงที่นี่เขาไม่เคยได้ยินชื่อของภพบ่อวิญญาณมาก่อนเลย ดังนั้นเขาจะเคยรู้จักหญิงสาวตรงหน้าที่ชื่อเหยาลู่เวยได้อย่างไรกัน
เหตุใดนางถึงต้องทำเช่นนี้? หรือนั่งทนดูไม่ได้จึงต้องลุกขึ้นปกป้องข้าเพื่อความยุติธรรมอย่างนั้นหรือ?
ชายหนุ่มส่ายหน้าแล้วหยุดคิดฟุ้งซ่านในใจ
เมื่อเจอคำถามเช่นนั้นของเวิ่นเทียนเซี่ยว เหยาลู่เวยกลับเพียงคลี่ยิ้มเล็กน้อย ทว่านางไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างไร
ผู้แทนแห่งโถงอันดับที่เก้าเห็นแล้วพลันขมวดคิ้ว ขณะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นชาว่า “หากยังชักช้าข้าจะตัดสิทธิ์เจ้าทั้งสองคนเสียเลย!”
ในฐานะสมาชิกโถงอันดับที่เก้า เขาย่อมมีความมั่นใจในการกล่าวเช่นนี้ โดยไม่จำเป็นต้องสนใจว่าสองคนนั้นจะเป็นใครมาจากไหน ในเมื่อเข้ามาในพิภพยันต์อักขระ ทุกอย่างก็ต้องตกอยู่ภายใต้กฎของพิภพยันต์อักขระ!
“เอาล่ะ! ถ้าหากแพ้ก็ต้องนำสมบัติอมตะสี่ชิ้นมามอบให้ข้าเสียล่ะ!” เวิ่นเทียนเซี่ยวตวัดสายตามองเหยาลู่เวย เขารู้สึกเสียหน้าอยู่เล็กน้อย เพราะทุกคนคล้ายไม่เคยมองเขาด้วยสายตาจริงจังเลยนับตั้งแต่เข้าพิภพยันต์อักขระมา…
ตู้ม!
ผู้แทนแห่งโถงอันดับที่เก้าจึงสะบัดมือ ส่งผลให้เงาดำแวบออกมาจากประตูสีดำสนิท
มันมีความสูงราวสามจั้ง ตัวใหญ่กว่าวานรปีศาจเขาโลหิตปกติเกือบเท่าตัว เกล็ดทั่วร่างเรืองแสงสีทองออกมา ประหนึ่งมีดาบคมชั้นหนึ่งประดับไว้
เมื่อปรากฏตัวขึ้น มันก็ส่งเสียงคำรามขึ้นฟ้า ระเบิดกลิ่นอายดุร้าย แผ่ออกไปทั่วบริเวณจนทำให้ห้วงอากาศรอบข้างเกิดความผันผวน
นี่ก็คือวานรปีศาจเขาโลหิตระดับสูงสุด เมื่อมันคลั่งแล้วก็จะสามารถฉีกกระชากร่างของผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาทั้งหลายและผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหนึ่งได้!
“จะคำรามอะไรอีก! ตายไปเสียเถอะ!” เวิ่นเทียนเซี่ยวตวัดสายตามองพร้อมปลดปล่อยกลิ่นอายดุดันอันน่าเกรงขามออกมา เขาระบายโทสะในใจลงกับสัตว์อสูรจักรวาล โดยใช้กระบี่เซียนสีเงินซัดไปทางวานรปีศาจเขาโลหิตเต็มแรง!
ครืน!
กระบี่เซียนในมือเขามีชื่อว่ากระบี่ล้ำลึกเก้าจรัสแสง เป็นสมบัติอมตะอย่างแท้จริง เมื่อมันซัดพลังออกไปแล้ว ปราณเซียนพลันพุ่งออกไปผ่าร่างของศัตรูเป็นรอยยาว
“พฤกษาครามขวางวารี ขจัดความชั่วร้ายทั้งหลายเสีย!” เวิ่นเทียนเซี่ยวคำรามอีกครั้ง ในขณะที่ปราณกระบี่กระจายตัวออกไปดั่งหมอกโอบล้อมธารน้ำ จากนั้นตัวคนจึงกระโจนเข้าสู่การต่อสู้อันดุดันกับวานรปีศาจเขาโลหิตทันที
ต้องยอมรับเลยว่าถึงแม้เวิ่นเทียนเซี่ยวจะเย่อหยิ่ง แต่อีกฝ่ายก็มีความแข็งแกร่งไม่ใช่น้อย เมื่อผนวกกับสมบัติอมตะในมือ คนผู้นี้ถึงกับสามารถข้ามขอบเขตสังหารศัตรูได้ ดังนั้นการโจมตีของเขาจึงทำให้วานรปีศาจเขาโลหิตได้รับบาดเจ็บจนเลือดออกไม่หยุด ร้องเสียงโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวด
ในแดนภวังค์ทมิฬ ตัวตนเช่นนี้นับได้ว่าเก่งเหลือใครและเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง!
ฟึ่บ!
ผ่านไปไม่นานเท่าไร กระบี่เซียนพลันทะลวงเข้ากะโหลกศีรษะของเจ้าวานรจนกระทั่งสิ้นใจ ก่อนที่เลือดจะสาดกระเซ็นออกมา และร่างใหญ่ล้มลงกับพื้นเสียงดังก้อง
“ผ่าน!” ผู้แทนแห่งโถงอันดับที่เก้าซึ่งอยู่ใกล้เคียงยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ขณะประกาศผลลัพธ์ออกมา
เวิ่นเทียนเซี่ยวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่สามารถสังหารมันในการโจมตีครั้งเดียวได้ ทำให้เจ้าตัวดูมีท่าทางไม่พอใจอยู่บ้าง แต่หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกพึงพอใจขึ้นมาเล็กน้อย เพราะอย่างไรนี่ก็ถือเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดนับตั้งแต่ทำการทดสอบมา!
“พวกเจ้าสองคน ใครจะไปก่อน!” เขาเหลือบมองเฉินซีกับเหยาลู่เวย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ข้า” เฉินซียังไม่ทันตอบ เหยาลู่เวยก็ฉวยโอกาสตอบแล้ว ซึ่งพอพูดจบ นางก็กระโดดเข้าสู่สนามต่อสู้แล้วเอ่ยกับผู้แทนแห่งโถงอันดับที่เก้าว่า “วานรปีศาจเขาโลหิตระดับสูงสุดสองตัว”
วาจานี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง เพราะนี่เท่ากับการต่อกรกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหนึ่งถึงสองคนในเวลาเดียวกัน ดังนั้นจะมีใครกี่คนในใต้หล้าที่สามารถทำเช่นนี้ได้?
และก็เพราะเหตุนี้เช่นกัน ที่ทำให้ไม่มีใครกล้ากล่าวโทษที่นางเข้าแข่งขันก่อนจะถึงลำดับของตนเอง
เวิ่นเทียนเซี่ยวเองก็ชะงักไปเช่นกัน จากนั้นจึงขมวดคิ้วพร้อมกับกล่าวว่า “นี่มันอะไรกัน? อยากเอาชนะเดิมพันถึงขนาดไม่คิดเสียดายชีวิตตนเองแล้วหรือ?”
ทว่าเหยาลู่เวยกลับเอ่ยเสียงเรียบ “แค่ประโยคเดียวก็เผยให้เห็นถึงความไร้ความสามารถแล้ว เจ้าทำไม่ได้ ย่อมไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำไม่ได้เช่นกันไม่ใช่หรือไร?”
“หึ! ตัวข้าเวิ่นเทียนเซี่ยวเกลียดสตรีปากร้ายเป็นที่สุด หากอยากตายข้าก็ไม่คิดจะรั้งเจ้าหรอก” เวิ่นเทียนเซี่ยวจ้องมองหญิงสาวด้วยตาเขียวปั๊ดก่อนจะหันหลังเดินจากไป
“มั่นใจหรือว่าอยากสู้กับพวกมันสองตัว” ผู้แทนแห่งโถงอันดับที่เก้าถามขึ้น
เขาเคยเจอผู้ท้าต่อสู้กับสัตว์อสูรจักรวาลสองตัวมาก่อน แต่นี่นับเป็นครั้งแรกที่เคยเจอผู้ท้าสู้กับวานรปีศาจเขาโลหิตระดับสูงสุดสองในคราวเดียวกันอย่างเหยาลู่เวย เพราะอย่างนั้นจึงต้องถามให้มั่นใจเสียก่อน
เหยาลู่เวยพยักหน้ารับ
ชิ้ง!
ดาบโค้งปรากฏขึ้นในสองมือของนาง มันเป็นรูปทรงจันทร์เสี้ยวอาบด้วยแสงสีโลหิตเย็นยะเยือก ทันทีที่มันปรากฏก็เหมือนจันทราโลหิตสองดวงปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ซึ่งเต็มไปด้วยจิตสังหารหนาแน่น
“ดาบพิฆาตวิญญาณจันทราแฝด!”
“นี่มันสมบัติอมตะที่มีอำนาจเหนือกว่าสมบัติอมตะธรรมดาหลายเท่านี่!”
“สวรรค์โปรด! เหตุใดเดี๋ยวนี้หนุ่มสาวพวกนี้ถึงมีสมบัติอมตะเหล่านี้ได้? บรรพบุรุษของข้ายังมีสมบัติอมตะจนถึงตอนนี้เพียงชิ้นเดียวเท่านั้นเอง อีกทั้งเขายังหวงแหนมันเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่จังหวะเป็นตายก็ไม่คิดจะหยิบออกมาใช้เลยด้วยซ้ำ…”
ทุกคนส่งเสียงร้องตกใจขึ้นมา
…ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ตกตะลึงไปครั้งหนึ่ง จากตอนที่เฉินซีกับเวิ่นเทียนเซี่ยวหยิบสมบัติอมตะออกมา แต่เมื่อได้เห็นเหยาลู่เวยใช้สมบัติอมตะลงมือในตอนนี้ มันก็ยิ่งทำให้จิตใจของพวกเขาสับสนมึนงงไปหมดแล้ว!
และถึงผู้แทนแห่งโถงอันดับที่เก้าผู้นั้นจะดูไร้อารมณ์ แต่ในใจของชายวัยกลางคนก็ตกตะลึงมากเช่นกัน ด้วยรู้สึกว่าคนหนุ่มสาวที่เข้ามาในพิภพยันต์อักขระในครั้งนี้ดุดันกว่าครั้งก่อนมาก แค่ดูจากสมบัติอมตะที่พวกเขามีก็รู้ได้เลย
แต่ถึงในใจจะตกตะลึงอย่างไร ทว่าเจ้าตัวก็ยังไม่ลืมหน้าที่ของตนเอง เขาสะบัดมือและปลดปล่อยวานรปีศาจเขาโลหิตระดับสูงสุดทั้งสองออกมาทันที!
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เหยาลู่เวยพลันลงมือ ดาบในมือเปล่งกระแสปราณดาบออกมาเป็นหมอกไร้ตัวตน ดูแล้วคล้ายแสงจันทร์ มันประสานเข้าด้วยกันจนปกคลุมฟ้าและส่องสว่างจ้า ทำให้เงาร่างของนางดูงามสง่า อาภรณ์พลิ้วไหวดั่งปีกผีเสื้อ คล้ายเป็นนางสวรรค์ที่ออกมาจากตำหนักบนดวงจันทร์ เคลื่อนไหวด้วยท่วงท่าลึกล้ำพลางต่อสู้กับวานรทั้งสองตัวไปด้วย
การต่อสู้ในครั้งนี้ทั้งงดงามและนองเลือดอย่างยิ่ง จนผู้ชมได้แต่กลั้นใจและตั้งใจมอง ลืมไปแล้วว่าตนเองอยู่ที่ใดเพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับการต่อสู้
นางแข็งแกร่งเกินไปแล้ว! ใครจะไปคิดว่าหญิงสาวจะสามารถต่อสู้กับสัตว์อสูรจักรวาลที่มีพลังเทียบเท่ากับผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีระดับหนึ่งถึงสองตัวได้อย่างทัดเทียมเช่นนี้?
แค่ดูจากสิ่งนี้ นางก็แกร่งกว่าเวิ่นเทียนเซี่ยวมากแล้ว!
แต่ในเมื่อการต่อสู้ยังไม่จบ ยังไม่ตัดสินผลแพ้ชนะกัน ทุกคนจึงไม่กล้าสรุปว่าเหยาลู่เวยจะสามารถฆ่าพวกมันทั้งสองตัวได้หรือไม่ เพราะถ้าผลออกมาเป็นอื่น เขาไม่เพียงจะเสียพนัน แต่นางยังอาจเสียชีวิตจากการต่อสู้ครั้งนี้ได้ด้วย!
ในตอนนั้นเองที่สีหน้าของเวิ่นเทียนเซี่ยวดูเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย ใจเต้นไม่เป็นส่ำ อยากให้เหยาลู่เวยตายไปเสียตอนนี้
แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป หญิงสาวกลับยิ่งต่อสู้ดุดันมากขึ้นเรื่อย ๆ และกระทั่งสามารถกำราบคู่ต่อสู้ได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป!
ทันใดนั้นเวิ่นเทียนเซี่ยวก็หน้าซีดเล็กน้อย เพราะหากแพ้ ตนก็จะเสียสมบัติอมตะถึงสี่ชิ้นทีเดียว! ซึ่งสมบัติอมตะเหล่านั้นคือสิ่งที่เขาตั้งใจพกมาใช้ ณ พิภพยันต์อักขระแห่งนี้นั่นเอง!
อีกทั้งหากไม่ใช่เพราะเขามีโอกาสบ่มเพาะในพิภพยันต์อักขระจนประสบความสำเร็จ ทางนิกายก็คงไม่มอบสมบัติอมตะทั้งสี่ชิ้นไว้ให้ชายหนุ่มคอยปกป้องตนเองหรอก...
‘หรือนางปีศาจนี่รู้ว่าเขาชอบเดิมพันเป็นอย่างยิ่งก็เลยจงใจท้าสู้อย่างนั้นหรือ?’ เวิ่นเทียนเซี่ยวกัดฟันแน่น สายตาจดจ้องอยู่ที่การต่อสู้ เขาหวังให้เหยาลู่เวยรีบตายไปโดยเร็ว
ฉัวะ! ฉัวะ!
แต่ภาพถัดไปที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสิ้นหวังทันที เพราะวานรปีศาจเขาโลหิตระดับสูงสุดทั้งสองตัวต่างถูกบั่นศีรษะด้วยท่าซัดสองครา และสิ้นใจตายไป!
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!?” เวิ่นเทียนเซี่ยวเบิกตากว้างจนแทบถลน ตกตะลึงจนคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
ทางด้านฝูงชนเองก็เกิดเสียงอื้ออึงขึ้นมาเช่นกัน ทุกคนล้วนตกตะลึงยิ่ง พากันคิดว่านางสามารถทำได้จริงหรือนี่!
เฉินซีเป็นเพียงคนเดียวที่มีท่าทีสงบนิ่ง เพราะเขาคาดเดาได้ตั้งแต่เริ่มการต่อสู้แล้วว่าความสามารถของเหยาลู่เวยรวมกับพลังของสมบัติอมตะ นางย่อมคว้าชัยชนะมาครอบครองได้อย่างแน่นอน!
“คุณชายเวิ่น ต้องขอโทษด้วย แต่ข้าผิดหวังในตัวท่านนัก ทีนี้ส่งสมบัติอมตะที่พนันไว้มาเสียสิ?” เหยาลู่เวยคลี่ยิ้มให้เวิ่นเทียนเซี่ยวหลังเดินออกจากสนาม จากนั้นเงยหน้ามองเฉินซีแล้วเอ่ยว่า “คุณชายท่านนั้น หากไม่ใช่เพราะท่านก็คงไม่เกิดการเดิมพันครั้งนี้ขึ้นได้ ฉะนั้นข้าจะไม่ชิงสมบัติอมตะที่ท่านพนันไว้หรอก”
“พวกเจ้าสมรู้ร่วมคิดกัน! ร่วมมือกันหลอกลวงข้า! นี่มันไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ได้ทำตัวน่าละอายเสียหน่อย ข้าจะไม่มีทางยอมรับความอยุติธรรมเช่นนี้เด็ดขาด!” เวิ่นเทียนเซี่ยวตะโกนเสียงดังพลางขบฟันแน่น ในใจโกรธจนคล้ายมีไฟลุกโหม
“แต่ก็เห็นกันอยู่ว่าข้าชนะพนันครั้งนี้แล้ว” เหยาลู่เวยเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบาง สีหน้ายังคงความสงบนิ่งไร้การเปลี่ยนแปลง
“ในเมื่อมันเป็นเดิมพัน เช่นนั้นหลังจากข้าผ่านบททดสอบก็คงยังไม่สายเกินไปที่จะตัดสินกระมัง ด้วยมันจะได้ยุติธรรมต่อทุกฝ่าย…” จังหวะนั้นเอง เฉินซีที่นิ่งเงียบมาตลอดพลันเอ่ยขึ้น