บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 840 สตรีที่มุ่งร้าย
บทที่ 840 สตรีที่มุ่งร้าย
สัตว์อสูรจักรวาลเหมือนกับมวลคลื่นสีดำนับไม่ถ้วน ขณะที่พวกมันขวางอยู่บริเวณหน้าเมืองนกนางแอ่นแดง และทุกที่ที่สายตาสอดส่องไปถึง มันคือเสียงการต่อสู้ที่น่ากลัว
เมื่อเฉินซีมาถึงที่นี่ จิตสัมผัสเทพอันทรงพลังของเขาก็แผ่ขยายออกไปเพื่อค้นหาอย่างระมัดระวัง และหลังจากนั้นไม่นาน หัวใจของชายหนุ่มพลันเย็นยะเยียบ เพราะในสนามรบไม่ปรากฏร่องรอยของเวิ่นเทียนเซี่ยว!
เขาหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่ร่างจะพุ่งเข้าสู่สนามรบที่เต็มไปด้วยการต่อสู้อันดุเดือด และร่างของเขาก็ทะยานอยู่สองสามครั้งก่อนจะมาถึงตรงหน้าชายผู้หนึ่ง จากนั้นจึงระเบิดพลังหมัดออกไปอย่างรุนแรง!
ตู้ม!
ก่อนที่ชายหนุ่มผู้นั้นจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง อีกฝ่ายก็รู้สึกว่าท้องของตนถูกทุบด้วยค้อนใหญ่ ทำให้ร่างคดงอทันที และใบหน้าหล่อเหลาก็พลันบิดเบี้ยว
หลังจากนั้นเฉินซีก็กระชากผมของอีกฝ่าย แล้วตีเข่าเข้าที่ซี่โครงของคนผู้นั้นอย่างแรง
กร็อบ! กร็อบ! กร็อบ!
เสียงกระดูกที่แตกหักดังก้องออกมาขณะที่เฉินซีโจมตีหลายครั้ง ก่อนจะหยุดมือในที่สุด
ทันทีที่เฉินซีปล่อยมือ ชายหนุ่มผู้นั้นก็อยากจะร้องโหยหวนออกมา แต่คมมีดที่คอก็ทำให้เจ้าตัวต้องกล้ำกลืนเสียงร้องโหยหวนทั้งหมดกลับเข้าไป
“บอกข้ามา เวิ่นเทียนเซี่ยวอยู่ที่ไหน! หากเจ้าไม่ตอบภายในสามอึดใจ ข้าจะหลอมร่างกายของเจ้า แล้วสกัดแก่นวิญญาณของเจ้าออกมา แล้วเจ้าก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ตายดั่งปรารถนาไปตลอดกาล” เฉินซีกล่าวอย่างเย็นชา
ชายหนุ่มคนนี้คือเฉินหยวนที่ติดตามอยู่ข้าง ๆ ยายเฒ่าพันลักขี เนื่องจากเขาปรากฏตัวในสนามรบ เฉินซีจึงไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องรู้ทุกสิ่งอย่างแน่นอน
หลังจากเห็นเฉินซี เฉินหยวนก็ตกใจกลัว และเกือบจะลืมความเจ็บปวดที่รุนแรงในร่างกายทั้งหมด เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนผู้นี้จะรอดชีวิตมาได้หลังจากที่ยายเฒ่าพันลักขีได้ลงมือแล้ว!
‘นี่ไม่ได้หมายความว่าท่านยายตายแล้วหรือ?’
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ร่างกายของเฉินหยวนก็เริ่มสั่นเทาอย่างอดไม่ได้ เพราะมันไม่น่ากลัวหรือ? ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายากลับสามารถสังหารยายเฒ่าพันลักขีซึ่งมีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้าได้ หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป จะมีผู้ใดเชื่อหรือไม่?
“หนึ่ง” เฉินซีเริ่มนับ
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เฉินหยวนจู่ ๆ ก็ฟื้นจากอาการตกใจ จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างเร่งรีบว่า “เขา…เขา…เขา…” เขารู้ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงทันทีที่กล่าว และเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
“สอง” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมย
เฉินหยวนพลันรู้สึกถึงจิตสังหารที่อยู่ภายในดวงตาที่สงบนิ่งของอีกฝ่ายอย่างรุนแรง และความเย็นเยียบก็ผุดขึ้นในหัวใจของเขา ในขณะที่วิญญาณของเฉินหยวนก็แทบจะหลุดออกจากร่าง …ก่อนที่หลังจากนั้น เฉินหยวนจะไม่กล้าลังเลอีกต่อไปและรีบกล่าวว่า “เขา…ตายแล้ว…”
ทันทีที่กล่าวจบ เฉินหยวนก็เผยสีหน้าสลดใจที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและอับจนหนทางออกมา เพราะเขารู้ดีว่าเฉินซีจะไม่ปล่อยตนไปอย่างแน่นอน หลังจากรู้เรื่องทั้งหมดนี้
หัวใจของเฉินซีถูกบีบรัดแน่น เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ใครเป็นคนทำ?” น้ำเสียงของชายหนุ่มนั้นนิ่งสงบปราศจากอารมณ์ใด ๆ แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งน่ากลัว
ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ เฉินหยวนได้ละทิ้งโอกาสที่จะมีชีวิตรอดไปแล้ว และเขาหวังเพียงว่าจะสามารถตายได้เร็วกว่านี้ รวมถึงไม่ทรมาน ดังนั้นเจ้าตัวจึงกล่าวอย่างขมขื่นว่า “ข้าและศิษย์น้องปี้อิน”
“ศพของเขาอยู่ที่ใด” เฉินซีกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แต่เมื่อกล่าวคำว่า ‘ศพ’ ออกมา หัวใจของชายหนุ่มก็พลันสั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้
เฉินหยวนชี้ไปที่ระยะไกล
กร๊อบ!
ในช่วงเวลาถัดมา คอของเฉินหยวนก็ถูกบิดจนผิดรูป แม้กระทั่งแก่นวิญญาณของอีกฝ่ายก็แตกสลายด้วยแรงมหาศาล ทำให้เขาตายสนิท และบางทีเจ้าตัวอาจรู้มานานแล้วว่าจะต้องตายแน่นอน แต่เฉินหยวนอาจไม่เคยคิดมาก่อนว่า เขาจะตายอย่างกะทันหันและตรงไปตรงมาเช่นนี้?
เฉินซีโยนศพของเฉินหยวนทิ้งไปอย่างไม่แยแส ราวกับเขากำลังโยนขยะเข้าปากของสัตว์อสูรจักรวาลที่พุ่งเข้ามา ก่อนที่ในพริบตาต่อมา ชายหนุ่มจะลงมายังจุดที่อีกฝ่ายชี้ พลางเริ่มค้นหาอย่างระมัดระวัง
การต่อสู้ระหว่างเขากับยายเฒ่าพันลักขีเกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ และกินเวลาราวหนึ่งถ้วยชา จนกระทั่งเขากลับมาที่นี่ ดังนั้นแม้ว่าเวิ่นเทียนเซี่ยวจะถูกสังหาร แต่มันย่อมเกิดขึ้นไม่นานมานี้อย่างแน่นอน และบางทีแก่นวิญญาณของอีกฝ่ายอาจยังไม่สลายไป…
แต่ในไม่ช้า ความหวังในใจของเฉินซีก็พลันสลายไปหมดสิ้น
เขาเห็นเวิ่นเทียนเซี่ยวนอนโชกเลือดอยู่บนพื้น ขาของอีกฝ่ายถูกเหยียบย่ำจนแหลกเละเป็นแอ่งเศษเนื้อ แต่ร่างกายท่อนบนของเวิ่นเทียนเซี่ยวไม่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกสัตว์อสูรจักรวาลตัวอื่น ๆ เหยียบย่ำ เพราะซากศพของสัตว์อสูรจักรวาลขนาดมหึมาได้ปกคลุมร่างกายของสหายผู้นี้เอาไว้
ใบหน้าของเฉินซีสงบนิ่ง ปราศจากอารมณ์ใด ๆ ขณะนั่งลงข้าง ๆ เวิ่นเทียนเซี่ยว
ชายหนุ่มจับมือของเวิ่นเทียนเซี่ยวช้า ๆ และสังเกตเห็นแผ่นหยกถูกกำไว้ในฝ่ามือของอีกฝ่ายแน่น แม้ว่าเขาจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่นิ้วของเวิ่นเทียนเซี่ยวก็ยังคงกำแผ่นหยกนี้ไว้แน่น และเฉินซีสามารถแยกแยะได้ว่า มันคือแผ่นหยกบันทึกเสียง
“ข้า…ข้าจะคืนสิ่งที่ข้าเป็นหนี้เจ้า…ใน…ชาติหน้า…”
เฉินซีทำลายแผ่นหยก ในขณะที่เสียงแหบห้าวดังออกมาจากภายในนั้น มันเป็นเพียงไม่กี่คำเท่านั้น แต่ก็กล่าวด้วยความยากลำบากและเค้นแรงออกมาไม่น้อย
เฉินซีรู้ว่าเวิ่นเทียนเซี่ยวได้ทิ้งสิ่งนี้ไว้ให้เขาก่อนตาย แต่ชายหนุ่มไม่เคยคาดคิดว่าสหายคนนี้จะยังไม่ลืมเรื่องนี้ก่อนตาย!
เฉินซีดูจะมองเห็นเวิ่นเทียนเซี่ยวยืนอยู่ตรงหน้าเขา และตบหน้าอกด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าเวิ่นเทียนเซี่ยวเป็นผู้มีอารยะ และข้าขอยอมรับความพ่ายแพ้!”
เดิมทีพวกเขาควรจะประลองกันก่อนจะแยกจากกัน แต่มันกลับกลายเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายในชีวิตเสียอย่างนั้น!
เวิ่นเทียนเซี่ยวเป็นนายน้อยที่เอาแต่ใจและเสเพลอย่างแท้จริง เขาเป็นคนที่สบถอยู่ตลอดเวลาและติดการพนัน แต่เขาไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใด ๆ ซึ่งแตกต่างจากไป๋กู้หนานแห่งตระกูลไป๋ การเอาแต่ใจของไป๋กู้หนานเป็นเพียงการปกปิดความคิดในใจของอีกฝ่ายเท่านั้น แต่การเอาแต่ใจของเวิ่นเทียนเซี่ยวนั้นเป็นลักษณะนิสัยที่ไร้กังวลโดยสิ้นเชิง
หากคนเช่นเวิ่นเทียนเซี่ยวมองผู้อื่นเป็นมิตรสหาย เขาจะก็กลายเป็นมิตรแท้ที่ไม่มีสิ่งใดปิดบังระหว่างกัน
เวิ่นเทียนเซี่ยวเป็นสหายที่เฉินซีได้พบพานโดยบังเอิญ หลังจากเข้าสู่พิภพยันต์อักขระ แต่ตอนนี้เวิ่นเทียนเซี่ยวได้จากไปเช่นนี้ จึงทำให้เขาไม่อาจยอมรับได้
เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก ๆ และรู้สึกว่าจิตสังหารกำลังเดือดพล่านอยู่ในอกอย่างช้า ๆ เขาไม่มีพลังพอที่จะต่อกรกับตระกูลหลัว แต่เขาสามารถให้บทเรียนที่ลึกซึ้งและเจ็บปวดแก่ผู้สมรู้ร่วมคิดในเรื่องนี้ได้!
หลังจากนั้นเฉินซีจึงเผาศพของเวิ่นเทียนเซี่ยวอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะเก็บอัฐิของอีกฝ่ายลงในขวด แล้วเก็บไว้ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์อย่างระมัดระวัง
ใบไม้ที่ร่วงหล่นกลับคืนสู่ราก เหมือนคนตายกลับคืนสู่บ้านเกิด
หลังจากทำธุระทั้งหมดนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เฉินซีก็หันหลังกลับและพุ่งออกไปดุจกระสวย เคลื่อนตัวผ่านสนามรบที่เต็มไปด้วยการต่อสู้รุนแรง ในขณะที่มองทุกสิ่งรอบข้างอย่างเฉยเมยราวกับว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการต่อสู้
ในที่สุดชายหนุ่มก็หยุดลงที่มุมหนึ่งในระยะไกล
ในระยะไกล หญิงสาวที่มีท่าทางเย็นชากำลังต่อสู้กับสัตว์อสูรจักรวาล กระบวนท่าของนางไม่รวดเร็วและไม่รุนแรง แต่สัตว์อสูรจักรวาลที่อยู่ในบริเวณโดยรอบก็ไม่สามารถเข้าใกล้นางได้เลย
สีหน้าของนางดูเหมือนจะเป็นกังวล และดวงตาของหญิงสาวก็มักจะกวาดมองออกไปเป็นระยะ ๆ ราวกับว่านางกำลังรอใครบางคนอยู่
หญิงสาวคนนี้คือปี้อิน สหายของเฉินหยวน!
ใบหน้าของเฉินซีนั้นเย็นชาและไม่แยแส แต่ดวงตาที่นิ่งสงบของเขากลับคุกรุ่นด้วยจิตสังหาร แต่ในทันทีที่ชายหนุ่มตั้งใจจะลงมือ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
ก้อนหินธรรมดาบนพื้นที่อยู่ทางด้านข้างของปี้อินพลันเปล่งประกาย จากนั้นมันก็กลายเป็นร่างงามซึ่งถือดาบพระจันทร์เสี้ยวและเดินเข้าหาปี้อินอย่างเงียบ ๆ
ร่างนั้นเหมือนนักฆ่าที่ย่างกรายอยู่ในความมืด
พรวด!
ดาบจันทร์เสี้ยวแทงเข้าที่แผ่นหลังของปี้อิน และแยกหน้าอกของนางออกจากกัน ทำให้เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นออกมา
เมื่อประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน สีหน้าของปี้อินจึงซีดเผือดลงอย่างรวดเร็ว นางหันกลับมา และเห็นใบหน้าที่งดงาม เย็นชาและน่ากลัว นางอ้าปากเพื่อจะกรีดร้องอย่างน่าสังเวช แต่คนตรงหน้ากลับปิดปากของนางไว้ จากนั้นคมดาบก็เฉือนเข้าที่คอของหญิงสาวโดยตรง ทำให้ศีรษะของนางร่วงหล่นลงสู่พื้น
กระบวนการทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตา และรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนที่จะหายเป็นปกติ
“ขออภัยด้วย ตัวข้ามาสายไป” ร่างที่งดงามราวกับนักฆ่าคือเหยาลู่เวย จากนั้นนางก็โยนศพของปี้อินทิ้ง ก่อนจะเดินเข้ามาด้วยท่าทางสำนึกผิด
เฉินซียังคงเงียบ
“คุณชายน้อยเวิ่นโชคร้ายและประสบกับเภทภัย ข้าเองก็รู้สึกผิดเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะข้าแนะนำเขาให้รู้จักกับกลุ่มวิญญาณทมิฬเพื่อเล่นพนัน เหตุการณ์ที่น่ากลัวเช่นนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น” เหยาลู่เวยเดินเข้ามาและยืนอยู่ข้างเฉินซี ขณะที่นางกล่าวอย่างจริงจัง
เฉินซีหันกลับมา ทันใดนั้นเขาก็ยื่นแขนขวาออกไปราวกับสายฟ้าฟาด และคว้าเข้าที่คอของเหยาลู่เวย โดยในเวลาเดียวกัน มือซ้ายของชายหนุ่มก็ยื่นออกมาเหมือนค้อนขนาดใหญ่ แล้วกระแทกเข้าใส่ซี่โครงของนางอย่างแรง
เคร้ง!
ดาบจันทร์เสี้ยวที่เหมือนอสรพิษร้ายออกจากรัง ไม่ทันได้เข้าใกล้เฉินซีเลยด้วยซ้ำ เมื่อนางถูกทุบด้วยหมัดของเฉินซี ร่างก็ปลิวกระเด็นอย่างรุนแรงและตกลงสู่พื้น
เหยาลู่เวยตกใจอย่างมาก จากนั้นสีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนไปมา ซึ่งในขณะที่จ้องมองเฉินซี ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่อยากเชื่อว่าตนจะล้มเหลว นางจึงกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า “เจ้า…รู้ตั้งแต่แรกแล้วหรือ?”
“ข้ารู้ตั้งแต่ตอนที่ข้าตรวจดูศพเขาแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของเฉินหยวนกับปี้อินไม่มีทางสังหารเขาในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ได้หรอก” สายตาของเฉินซีดูเย็นเยียบดุจคมมีด จดจ้องไปที่ใบหน้าของเหยาลู่เวย เสียงของเขาไม่ได้มีอารมณ์ใด ก่อนที่ชายหนุ่มจะกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ข้าตรวจดูอาการบาดเจ็บของเขา และพบว่าอาการบาดเจ็บถึงตายนั้นมาจากทางด้านซ้ายของแผ่นหลัง ซึ่งมันบังเอิญคล้ายกับเคล็ดวิชาที่เจ้าใช้ในการสังหารหญิงสาวคนนั้น นอกจากนี้ มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ทำให้เขาคลายการระวังตัวได้”
เหยาลู่เวยได้สติเมื่อได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นนางก็กล่าวว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินเจ้าต่ำไป”
“เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเช่นนี้?” เฉินซีเอ่ยปากถาม
“หัวหน้ากลุ่มวิญญาณทมิฬคือลุงของข้า แต่เขาตายเพราะเจ้า เจ้าคิดว่าข้าไม่ควรแค้นหรือ?” เหยาลู่เวยกัดฟันแน่น ในขณะที่ความเกลียดชังฉายชัดในดวงตาของนาง
เพียะ!
เฉินซีตบนางอย่างแรง ทำให้เลือดไหลออกจากปากและจมูกของนาง ส่วนใบหน้างามของหญิงสาวก็บวมปูดในทันที
ในเวลานี้ เฉินซีกำลังบีบคอของนาง ทำให้หญิงสาวหายใจลำบาก และเมื่อรวมการตบครั้งนี้ มันก็กระแทกนางจนผมเผ้ากระเซิง ใบหน้าของหญิงสาวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ทำให้เหยาลู่เวยดูน่าสังเวช
สิ่งนี้ทำให้ร่างกายของนางสั่นสะท้าน ในขณะที่เหยาลู่เวยทั้งโกรธแค้นและหวาดกลัว นางอยากจะกรีดร้องออกมา แต่เมื่อพบกับจิตสังหารในดวงตาของเฉินซี ซึ่งไม่มีเศษเสี้ยวของอารมณ์ใด ๆ อยู่ นางจึงหุบปากแน่นทันที
“ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้? อย่าได้โทษข้าที่ต้องใช้เคล็ดวิชาพิเศษเพื่อบีบบังคับเจ้า หากเจ้าโกหกอีกครั้ง” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมย
เหยาลู่เวยตกตะลึง ในขณะที่ใบหน้าบวมเป่งของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ หญิงสาวขบกรามและกล่าวหลังจากนั้นไม่นาน “เพราะเจ้าเป็นคนที่อยู่เคียงข้างเหลียงปิง เจ้ารู้หรือไม่? เวิ่นเทียนเซี่ยวจึงตายเพราะเจ้า!”
หัวใจของเฉินซีดิ่งวูบ ในขณะที่ใบหน้าของเขายังคงไร้อารมณ์
“เจ้าคงไม่เคยคิดมาก่อนว่าข้าจะเป็นองค์รักษ์ลับของฝ่ายนายน้อยหลัวคนที่สอง และข้าได้รับคำสั่งให้เข้าหาเจ้าตั้งแต่ที่เหลียงปิงพาเจ้าเข้ามาในเมืองพยัคฆ์กระโจน…”
“ขณะที่เราอยู่ที่หมู่บ้านจินซาง ข้ารู้ดีว่าไม่สามารถจับตัวเจ้าได้ ดังนั้นข้าจึงมุ่งหน้าไปยังเมืองนกนางแอ่นแดงก่อน เดิมทีข้าตั้งใจจะใช้พลังของกลุ่มวิญญาณทมิฬเพื่อจับตัวเจ้าและส่งเจ้าไปที่ตระกูลหลัว ก่อนที่จะใช้เจ้าเพื่อบีบบังคับเหลียงปิง”
“แต่ข้าไม่เคยคาดคิดว่าสถานการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่เกินความคาดหมายของข้า นังนั่นได้เตรียมผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ไร้เทียมทานให้อยู่เคียงข้างเจ้า และมันทำลายแผนการทั้งหมดของข้า ดังนั้นข้าทำได้เพียงต้องเสี่ยงและดำเนินแผนการต่อในเวลานี้”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ หญิงสาวก็หัวเราะเบา ๆ ขณะที่ความเยาะเย้ยปรากฏขึ้นบนใบหน้า “เข้าใจแล้วกระมัง? เวิ่นเทียนเซี่ยวเป็นเพียงคนธรรมดาที่เข้ามาระหว่างเราโดยบังเอิญ และต้องมาตายก็เพราะเจ้า”
ดวงตาของเฉินซีพลันหรี่ลง ในขณะที่มีประกายเย็นยะเยือกปรากฏขึ้นเงียบ ๆ ในตัวพวกเขา และเขาเกือบจะควบคุมจิตสังหารของตัวเองไม่ได้แล้ว