บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 845 คำเชื้อเชิญจริงใจไม่เคยมีจริง
บทที่ 845 คำเชื้อเชิญจริงใจไม่เคยมีจริง
บทที่ 845 คำเชื้อเชิญจริงใจไม่เคยมีจริง
ชู่!
เปลวไฟขนาดเล็กลุกโชน เผาเทียบเชิญอันหรูหราจนกลายเป็นผงลอยหายไปกับสายลม
“คิดจะทำอันใด?” เถิงหลานถาม เขาเป็นคนส่งคำเชิญมาเอง ดังนั้นจึงรู้ทุกอย่างเป็นอย่างดี
“นายน้อยเฟิงส่งคำเชิญมาอย่างเป็นกันเองเช่นนี้ หากข้าไม่เข้าร่วมเขาจะไม่เหงาแย่หรือขอรับ?” เฉินซีคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“คำเชื้อเชิญที่จริงใจไม่เคยมีจริง” เถิงหลานมุ่นคิ้ว
“ข้าเข้าใจดี” เฉินซีพยักหน้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย “เพียงแต่ข้าบังเอิญมาที่มณฑลจักรพรรดิตะวันออกเป็นครั้งแรก ได้ยินว่าภัตตาคารเมฆามรกตเป็นสถานที่โด่งดังของเมือง หากไม่ไปชมสักหน่อยคงน่าเสียดายอยู่ไม่ใช่หรือขอรับ?”
“ข้าจะตามไปด้วย อย่าดูถูกหนุ่มสาวภพเซียนเชียว ถึงจะอยู่เพียงขอบเขตเซียนปฐพี แต่ก็อันตรายกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีธรรมดานัก” เถิงหลานยอมถอยก้าวหนึ่งเมื่อรู้ว่าไม่สามารถโน้มน้าวอีกฝ่ายได้
เฉินซีคิด แล้วจึงป้องมือพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เช่นนั้นต้องรบกวนผู้อาวุโสแล้ว”
เขาไม่ใช่คนที่ดูถูกตนเอง แต่ก็ไม่ใช่คนชอบทำสิ่งใดผลีผลามเช่นกัน ดังนั้นจะไปปฏิเสธเถิงหลานได้อย่างไร?
เถิงหลานส่งยิ้มให้ “เจ้าวางใจแล้วเข้าร่วมงานนั้นไปเถอะ ข้าจะเร้นกายอยู่ในเงาไม่รบกวนเจ้า หากสถานการณ์ไม่ถึงตายก็จะไม่ให้ใครรู้เด็ดขาด”
…
สามวันให้หลัง ณ ภัตตาคารเมฆามรกต
นี่คือสถานบันเทิงที่มีชื่อเสียงโด่งดังในมณฑลจักรพรรดิตะวันออก กินพื้นที่กว้างขวางมาก มีหอโบราณมากมายที่ได้รับการบูรณะและปลดปล่อยกลิ่นอายโอ่อ่าออกมาอยู่นับไม่ถ้วน หอที่สูงที่สุดแทบจะขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้าได้เลย
หากใครอยากเข้าไปเสพความบันเทิงภายในภัตตาคารเมฆามรกต จะต้องจ่ายพลังธรรมเทพจำนวนมาก เพราะสุราที่ถูกที่สุดต้องใช้พลังธรรมเทพถึงแปดร้อยดวง ซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่าสมบัติกึ่งอมตะชิ้นหนึ่งทีเดียว
เฟิงหลูหยางสวมชุดปักหรูหรา สองมือไพล่หลัง ยืนอยู่บนยอดหอที่อยู่ ณ ใจกลางสถานที่พอดี
ที่นี่มีรูปแบบเหมือนระเบียงโล่งกว้าง หมู่เมฆมากมายลอยละล่องอยู่รอบข้าง และมีลำแสงปกคลุม มีดอกไม้รวมทั้งพืชพันธุ์หายากเป็นจำนวนมาก มองเห็นบุปผางามในเงาเมฆได้เลือนราง ทำให้ดูเงียบสงบและงดงามเป็นยิ่งนัก
เมื่อมายืนอยู่ตรงนี้ก็เหมือนยืนอยู่บนท้องฟ้า เมื่อมองลงไปจะเห็นทั้งมณฑลจักรพรรดิตะวันออก เป็นทิวทัศน์ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นและชุ่มชื่นหัวใจ ให้ความรู้สึกเหนือกว่าใคร
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลากลางวัน ดังนั้นจึงยังไม่มีแขกมากนัก
เฟิงหลูหยางยืนเหม่อมองทิวทัศน์มณฑลจักรพรรดิตะวันออกอยู่เป็นเวลานาน ก่อนเก็บสายตากลับมาแล้วเอ่ยเสียงเรียกว่า “เจ้าเด็กนั่นมาจริงหรือ?”
ชายชรานามว่าเหวินจิวพยักหน้า “คงจะมาในทันที อีกทั้งยังมาคนเดียวด้วยขอรับ”
มุมปากของเฟิงหลูหยางเผยแววเย็นยะเยือก จากนั้นเขาก็เดินไปนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งแล้วหรี่ตาเล็กน้อย “ดียิ่ง เป็นมดตัวจ้อยแต่กลับกล้าหาญถึงเพียงนี้ ไม่แปลกที่อาปิงจะชอบ”
“นายน้อย เราสังหารเขาดีหรือไม่?” เหวินเผิงที่อยู่อีกด้านถามผ่านกระแสปราณด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“สังหารเขาหรือ?” เฟิงหลูหยางระเบิดเสียงหัวเราะ เอ่ยเสียงไม่รีบร้อนว่า “ไม่ได้ สังหารเขาไม่ได้ ไม่เพียงเท่านั้น ข้ายังอยากให้เขาใช้ชีวิตอยู่ให้ดีอีกต่างหาก ข้าอยากให้อาปิงเห็นว่าเด็กคนนี้น่าสมเพชแค่ไหนด้วยสองตาของนางเอง ให้ได้เห็นว่าอยู่ต่อหน้าข้าเขาก็ยังต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉาน!”
เหวินจิวกับเหวินเผิงนิ่งอึ้งไป จากนั้นจึงเข้าใจ นายน้อยคงอยากใช้วิธีบางอย่างเพื่อกำราบเด็กนั่นให้อยู่หมัด
จังหวะนั้นเอง ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติบนระเบียงพลันสว่างวาบ ก่อนเงาร่างสูงในชุดผ้าพลิ้วสีดำจะปรากฏตัวขึ้น เขาคือเฉินซีนั่นเอง!
เฟิงหลูหยางลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นอีกฝ่าย รอยยิ้มเผยที่มุมปาก เขาโบกมือให้จากที่ไกล เอ่ยเสียงกระจ่างใสค่อนข้างอบอุ่นขึ้นว่า “น้องเฉิน ทางนี้”
“ขออภัยที่ให้รอ นายน้อยเฟิง” เฉินซีเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม
“ฮ่า ๆ นั่งก่อน” เฟิงหลูหยางหัวเราะลั่นแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม
ระเบียงกว้างสูงเสียดฟ้า เมื่อนั่งลงหมู่เมฆก็ลอยคว้างรอบกาย ได้ยินเสียงคลื่นบางเบา มันไม่เพียงสร้างบรรยากาศ แต่ยังไม่รบกวนการสนทนาของแขกอีกด้วย
ในขณะเดียวกันนั้น เฉินซีก็เปิดรายการอาหารที่ผู้ช่วยส่งให้ดู จึงได้เห็นทันทีว่าที่นี่หรูหราเพียงไหน จานที่ถูกที่สุดยังใช้พลังธรรมเทพหลายร้อยดวง ที่แพงหน่อยก็พุ่งไปเป็นพันดวง
เฉินซีสั่งมาหลายจานที่ไม่ถูกไม่แพง นับว่าราคากำลังดี ก่อนจะวางรายการอาหารลง
อีกฟากหนึ่ง เฟิงหลูหยางเองก็สั่งอาหารมาจำนวนมาก ทุกจานราคาแพงเป็นที่สุด แค่อาหารมื้อนี้ก็ใช้พลังธรรมเทพไปกว่าหมื่นดวงแล้ว ทำเอาผู้ดูแลด้านข้างตาค้างไปเลยทีเดียว
หลังจากโยนรายการอาหารกลับไปให้ผู้ดูแลแล้ว เจ้าตัวก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์ว่า “ถึงอาหารเหล่านี้จะเทียบกับที่ภพเซียนไม่ได้ แต่ก็ยังกินได้ น้องเฉิน อย่าโทษที่ข้าดูแลไม่ดีเลยนะ ไว้ข้าจะพาไปกินที่ภัตตาคารหมื่นมหัศจรรย์ตอนเจ้าขึ้นภพเซียนได้แล้ว ที่นั่นจะต้องเกินจินตนาการเจ้าไปมากแน่”
เฉินซีคลี่ยิ้ม ไม่ได้แสดงความอยากหรือชื่นชมใด ๆ เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะโอ้อวดให้ฟังเท่านั้น แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ชายหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภัตตาคารหมื่นมหัศจรรย์คืออะไร ดังนั้นจึงไร้ความรู้สึกใด
เฟิงหลูหยางเห็นเฉินซีเป็นเช่นนั้นก็อึ้งอยู่บ้าง ก่อนจะรู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อย และในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าการกระทำทั้งหมดของตนเหมือนการแสดงให้คนตาบอดดูอย่างไรอย่างนั้น
มดที่อยู่เพียงขอบเขตสถิตกายา จะรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของภัตตาคารหมื่นมหัศจรรย์ได้อย่างไรกันเล่า?
สีซอให้ควายฟังโดยแท้!
ชายหนุ่มได้แต่ลอบถอนหายใจ เริ่มรู้สึกหมดความสนใจขึ้นมา ‘ดูท่าข้าจะประเมินคู่ต่อสู้สูงไปหน่อย อีกฝ่ายเป็นเพียงคนบื้อที่ไม่เคยเห็นโลกกว้างคนหนึ่งเท่านั้น คนเช่นนี้สมควรให้ข้ารับมือด้วยอย่างจริงจังอย่างนั้นหรือ?’
“นายน้อยเฟิง ภัตตาคารหมื่นมหัศจรรย์เป็นที่เช่นไรหรือ?” เฉินซีพลันถามขึ้น ซึ่งนับว่าเกาถูกจุดคันในใจเฟิงหลูหยางได้พอดี
เขาจึงรู้สึกมีพลังใจขึ้นมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายว่า “เป็นสถานที่ที่มีแต่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งในด้านฐานะและตัวตนในภพเซียนเท่านั้นที่จะไปได้ สำหรับคนธรรมดาแล้วไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสไปกินหรือไม่”
“อ้อ” เฉินซียิ้มกล่าว “ดูแล้วนายน้อยเฟิงคงเป็นลูกค้าประจำที่นั่นกระมัง?”
เฟิงหลูหยางหัวเราะลั่นแล้วพูดว่า “เรียกว่าลูกค้าประจำคงไม่ได้ เพียงแต่โชคดีเคยได้ไปลิ้มลองรสอาหารที่นั่นกับท่านพ่ออยู่หลายครั้งเท่านั้น”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ สีหน้าเจ้าตัวพลันดูเคร่งเครียด จ้องมองเฉินซีแล้วครุ่นคิด “น้องเฉิน เจ้าเองมีความสามารถไม่ได้แย่ เหตุใดไม่มาบ่มเพาะพลังอยู่ข้างกายข้าเล่า?”
เฉินซีคิดในใจ ในที่สุดก็เข้าเรื่องแล้วอย่างนั้นหรือ?
“นี่คือสมบัติอมตะ หากเจ้าตอบตกลงข้าจะมอบให้เจ้า” เฉินซียังไม่ทันตอบ เฟิงหลูหยางก็หยิบกระบี่เซียนสีน้ำเงินขนาดเท่าฝ่ามือออกมาวางตรงหน้าเฉินซีเบา ๆ
“ขอบคุณนายน้อยเฟิงมากที่หวังดี แต่ข้าติดขี้เกียจไปเสียแล้ว ต้องขออภัยด้วยที่ไม่อาจทำเช่นนั้นได้” เฉินซีคลี่ยิ้มแล้วดันกระบี่เซียนคืนเจ้าตัว
“น้องเฉินคงยังไม่รู้ถึงประโยชน์ของการติดตามข้างกายข้ากระมัง?” เฟิงหลูหยางยิ้มน้อย ๆ เหมือนคิดไว้แล้วว่าเฉินซีคงต้องตอบเช่นนี้ “หากเจ้ายอมตกลง ข้าสามารถพาเจ้าไปภพเซียนเมื่อออกจากพิภพยันต์อักขระ โดยที่เจ้าไม่จำเป็นต้องทนทุกข์อยู่ในภพมนุษย์อีก และหลังจากเข้าภพเซียนไปแล้ว เมื่อได้ข้าดูแล เช่นนี้เจ้าก็ไม่ต้องกลัวจะทำสิ่งใดไม่สำเร็จอีก”
พาเข้าภพเซียนอย่างนั้นหรือ?
เฉินซีชะงักเล็กน้อย ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถสูงส่งเช่นนั้น
“ว่าอย่างไรเล่า? ไม่เก็บกลับไปคิดหน่อยหรือ?” เฟิงหลูหยางคิดว่าข้อเสนอคงโดนใจเฉินซีเข้าแล้ว เพราะอีกฝ่ายเงียบไป กระทั่งยังเผยยิ้มออกมาด้วยรู้สึกพึงพอใจยิ่ง “เงื่อนไขของข้าง่ายมาก เจ้าแค่ทำตัวว่านอนสอนง่าย แน่นอนว่าข้าย่อมไม่ขอให้เจ้าทำในสิ่งที่มากเกินควร”
“ไม่จำเป็นต้องเก็บกลับไปคิดหรอก ข้าเป็นคนที่คุยด้วยง่าย แต่ฟังคนอื่นได้ยาก” เฉินซีส่ายหน้าด้วยสีหน้าสุขุมนุ่มลึก
สิ่งนี้ทำให้เฟิงหลูหยางขมวดคิ้ว แล้วหยิบสมบัติอมตะอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ “เช่นนั้นสมบัติอมตะสองชิ้นเป็นอย่างไร? มูลค่าเท่านี้เทียบได้กับเซียนสวรรค์ที่ทำงานในภพเซียนจนกระดูกแทบแตกเชียว หากไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าชะตาต้องกันในวันนี้ ข้าคงไม่มอบเงื่อนไขเช่นนี้ให้เจ้าแน่”
เฉินซียิ้มแล้วถามกลับ “หากข้ามอบสมบัติอมตะให้สองชิ้น นายน้อยเฟิงจะยอมติดตามข้างกายข้าหรือไม่? เงื่อนไขของข้าง่ายกว่านัก ไม่จำเป็นต้องพูดจาอะไร ขอแค่ต่อสู้เป็นก็พอ”
เฟิงหลูหยางหน้าบึ้งไปทันที เขาไม่คิดว่าเฉินซีจะตอกกลับเช่นนี้ นับว่ารนหาที่ตายโดยแท้!
แม้กระทั่งเหวินจิวกับเหวินเผิงที่อยู่ทางด้านหลังยังมีสีหน้าโกรธ ไม่ปิดบังจิตสังหารแม้สักนิด
“อ้อ ข้าลืมไปว่าสถานะเช่นนายน้อยเฟิงใช้สมบัติอมตะเพียงสองชิ้นคงเป็นการดูถูกไปหน่อย เช่นนั้นสามชิ้นเป็นอย่างไร? เพราะอย่างไรนายน้อยเฟิงก็เป็นถึงทายาทตัวตนสูงส่งแห่งภพเซียน มีฐานะเช่นนี้ย่อมมีมูลค่าเทียบเท่าได้กับสมบัติอมตะอีกสักชิ้น” เฉินซียังคลี่ยิ้มพูดต่อ เหมือนไม่รู้ว่าสีหน้าอีกฝ่ายได้เปลี่ยนไปแล้ว
เปรี๊ยะ!
ถ้วยสุราในมือของเฟิงหลูหยางพลันกลายเป็นผุยผง เขาโกรธจนหน้าเขียวไปหมด ในที่สุดก็เห็นว่ามดตัวจ้อยนี่ตั้งใจจะต่อต้านเขามาตั้งแต่แรกแล้ว!
“ดีมาก ข้าชอบฝีปากเช่นนี้ของเจ้า” น้ำเสียงของเฟิงหลูหยางกลายเป็นโหดเหี้ยม คล้ายกับเค้นออกมาทีละคำ “ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง รับสมบัติอมตะสองชิ้นนี้แล้วหายไปจากสายตาอาปิงเสีย แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ไม่เช่นนั้นเกรงว่าข้าจะไม่อาจควบคุมความโกรธได้อีก!”
เป็นน้ำเสียงที่ไม่ปิดบังแววข่มเฉินซีแม้แต่น้อย
ทว่าชายหนุ่มกลับยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม เขามุ่นคิ้วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ไม่สามารถต่อรองกันได้แล้วหรือ?”
“ไม่ได้!” นัยน์ตาของเฟิงหลูหยางเย็นชาดั่งกระบี่ที่พุ่งเข้าเฉือนหน้าเฉินซี “ข้าขอพูดตรง ๆ สักหน่อยแล้วกัน ข้าเห็นมดอย่างเจ้ามานักต่อนักแล้ว หากเป็นในสถานการณ์ปกติข้าคงไม่ใส่ใจเจ้าด้วยซ้ำ และหากเจ้ายังอย่างไร้เหตุผลต่อไปเ ช่นนี้ก็นับว่ารนหาที่ตายแล้ว!”
เฉินซียักไหล่ ลากสายตาไปมองเฟิงหลูหยางและชายชราอีกสองคนด้านหลังอีกฝ่าย ก่อนเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าขอพูดตรง ๆ บ้าง หากท่านลงมือ เกรงว่าพวกท่านทั้งหมดคงไม่ได้กลับภพเซียน”
“โอหัง!”
“รนหาที่ตาย!”
เหวินจิวกับเหวินเผิงไม่อาจยับยั้งความโกรธไว้ได้อีกต่อไป พวกเขาตวาดขึ้นมาด้วยเสียงดังลั่น เผยท่าทางดุดันข่มขวัญ คล้ายจะลงมืออยู่ทุกขณะ
ทว่าเมื่อเฟิงหลูหยางเห็นท่าทางสุขุมของเฉินซีแล้วกลับเกิดความสงสัย ยกมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณให้ทั้งสองใจเย็นลง ก่อนส่งสายตาขรึมมองเฉินซี “ถึงได้ความคุ้มครองจากอาปิงแล้ว คิดหรือว่าข้าจะไม่กล้าสังหารเจ้า?”
“หากท่านยังไม่ลงมือข้าก็ขอตัว” เฉินซีเปลี่ยนเรื่องกันซึ่งหน้า
จิตสังหารในนัยน์ตาของเฟิงหลูหยางพลันพุ่งทะยานเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีเช่นนั้น เขาโกรธเสียจนตัวแทบสั่น เหมือนกระบี่คมที่อยากพุ่งออกจากฝั่งและดื่มด่ำรสเลือดนัก
บรรยากาศกลายเป็นกดดันเคร่งเครียดทันที
จังหวะนั้นเอง ได้มีน้ำเสียงประชดประชันดังขึ้นจากด้านข้าง “อะฮ่า! ดูซิว่าข้าเจอใคร? ไม่ใช่นายน้อยเฟิงผู้เลื่องชื่อจากเขาแสงประเสริฐหรอกหรือ?”