บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 864 ทักษะลับของบรรพบุรุษ
บทที่ 864 ทักษะลับของบรรพบุรุษ
บทที่ 864 ทักษะลับของบรรพบุรุษ
หลียางแต่งกายด้วยเสื้อผ้าบุรุษสีขาว ร่างสูงโปร่ง คิ้วคมและดวงตางดงาม ความหล่อและสง่างามนี้ราวกับภาพวาดที่มีชีวิต
แต่เมื่อนางกล่าวประโยคที่ว่า ‘ทุกคนที่ทำให้เจ้าต้องขุ่นเคืองในวันนี้จะไม่มีใครหลบหนีไปได้’ หัวใจของทุกคนนอกจากเฉินซีล้วนหนาวเหน็บ พวกเขารู้สึกราวกับว่ากำลังถูกโลกทอดทิ้ง โดดเดี่ยวและหมดหนทาง
ความรู้สึกนี้ดั่งคนบาปที่ถูกสวรรค์พิพากษา ให้ถูกผู้คนนับพันประณาม ถูกเต๋าปฏิเสธและทอดทิ้ง!
เพราะพวกเขาสัมผัสได้อย่างรุนแรงว่า กระแสลม ช่องว่าง ฝุ่นละออง และแม้แต่ชั้นที่ทับซ้อนกันของข้อจำกัดบนบันไดในชั้นแปด ดูราวกับกำลังโกรธเคือง ต่อต้านและปฏิเสธพวกเขา เหมือนว่าตั้งใจจะฉีกพวกเขาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!
นี่มันเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะประเภทใดกัน?
เพียงประโยคเดียวก็สามารถทำให้สวรรค์และโลก ยอมจำนนและเชื่อฟังเจตจำนงของนางได้ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ตัวตนขอบเขตเซียนลึกลับจะสามารถทำได้เลย!
ในเวลาเพียงชั่วพริบตา หลัวจื่อเซวียน หลัวจ้านเป่ยและคนอื่น ๆ ก็พากันหรี่ตาลงในขณะที่ท่าทีของพวกเขากลายเป็นจริงจัง
หญิงสาวที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันคนนี้ ไม่เพียงขึ้นไปบนยอดเจดีย์เมื่อสามพันปีก่อนได้ด้วยตัวเองเท่านั้น ยามนี้นางยังสามารถช่วยเฉินซีจากหลัวจ้านเป่ยได้อย่างง่ายดาย ความแข็งแกร่งของหญิงสาวต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
ถึงขนาดที่หลัวจ้านเป่ยและผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับคนอื่น ๆ ก็ไม่อาจตรวจจับความแข็งแกร่งของนางได้!
ในทางกลับกัน ตั้งแต่อึดใจที่หลียางปรากฏตัว เหลียงปิงและเถิงหลานก็สัมผัสได้ถึงปราณอันหนาแน่นที่ไม่มีใครเทียบได้ กำลังหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของพวกเขาราวกับโอสถล้ำค่า หล่อเลี้ยงและซ่อมแซมอาการบาดเจ็บ จนแม้แต่อาการที่สาหัสยิ่งของเถิงหลานก็ยังค่อย ๆ ฟื้นตัวทีละน้อย
ถึงอย่างไร ยามนี้ทั้งสองคนนั้นนับเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับที่ได้รับบาดเจ็บหนัก และด้วยความสามารถของพวกเขา แม้จะใช้เวลาสามถึงห้าปี พวกเขาก็ยังไม่อาจฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์
แต่ตอนนี้หลียางผู้ไม่กล่าวอะไรแม้คำเดียว อาการบาดเจ็บบนร่างกายของพวกเขากลับเริ่มรักษาตัวเองในทันใด ความสามารถพิเศษดังกล่าวทำให้ทั้งคู่รู้สึกตกใจไม่น้อย
สิ่งนี้น่ากลัวยิ่งกว่าการทำให้สรรพสิ่งเป็นไปด้วยคำพูดเพียงหนึ่งคำเสียอีก ด้วยความคิดเพียงหนึ่ง ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามเจตจำนงของนาง ก้าวข้ามเหนือกฎเกณฑ์ทั้งมวล!
“เจ้าคิดจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับความคับข้องใจระหว่างตระกูลใหญ่ทั้งสี่ของเราหรือ?” หลัวจ้านเป่ยตะโกนเสียงดังสนั่น ทำให้ทุกคนกลับมามีสติอีกครั้ง
หลียางเงยหน้าขึ้น สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์สงบนิ่งเหมือนผิวสระน้ำ “ไม่ต้องกังวล ถึงตระกูลใหญ่ทั้งสี่ของเจ้าจะถูกกวาดล้างหายไปทั้งหมดข้าก็ไม่สนใจ ทว่าน่าเสียดายที่เจ้ายั่วยุคนที่ไม่ควร ผู้ที่ไม่อาจทำให้ขุ่นเคือง และเพื่อชดเชยความรู้สึกผิดในใจของข้า ข้าจึงทำได้เพียงสังหารพวกเจ้าทุกคน”
“ไร้สาระ!”
หลัวจื่อเซวียนที่ไม่รู้ว่ารวบรวมความกล้ามาจากไหน ตะโกนกลับไป “เมื่อสามพันปีก่อน เจ้าขึ้นไปบนยอดเจดีย์ได้แล้วอย่างไร? ตัวตนจากตระกูลใหญ่ทั้งสี่ของพวกข้าได้ขึ้นไปบนยอดเจดีย์กันมานับไม่ถ้วน นับตั้งแต่ที่พิภพยันต์อักขระถือกำเนิด เจ้าก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้น ใครกันที่ทำให้เจ้ากล้าพูดคำอุกอาจไร้สาระเช่นนี้!?”
หลียางไม่แม้แต่จะเหลือบมองหลัวจื่อเซวียน นางเพียงหันไปหาเฉินซีและไถ่ถามเขา “น้องชายตัวน้อย ยามนี้เจ้าคงเข้าใจถึงต้นกำเนิดของเจดีย์ต้าเหยี่ยนแล้วใช่หรือไม่?”
เฉินซีพยักหน้า แน่นอนว่าเขาทราบดี และหากพิจารณาให้ดี เจดีย์แห่งนี้ก็ถือเป็นสมบัติของนิกายพวกเขา!
หลียางยิ้ม “แล้วเจ้าคิดว่าเขาทำตัวน่าขันหรือไม่?”
เฉินซีหัวเราะเบา ๆ จากนั้นพยักหน้า “พูดตามตรง นับตั้งแต่ที่ข้าบ่มเพาะมา ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดทำตัวไร้สาระได้น่าขันเช่นนี้มาก่อนเลย”
ทั้งสองพูดคุยกันราวกับว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ ประหนึ่งว่าทุกคน ณ ที่นั้นไม่ได้มีตัวตนอยู่เลย ทำให้ใจของหลัวจ้านเป่ยและผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับคนอื่น ๆ รู้สึกโกรธเคือง
จะมากเกินไปแล้ว!
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ผู้บรรลุขอบเขตเซียนลึกลับเช่นพวกเขา ต้องมาถูกผู้อื่นเพิกเฉยเช่นนี้?
ขณะที่หลัวจื่อเซวียนถึงกับตกตะลึง พร้อมกับความอับอายที่ผุดขึ้นบนใบหน้า เขากัดฟันและคำราม “ลุงสาม! ฆ่า ฆ่าไอ้สารเลวสองตัวนี้! เรามีผู้เยี่ยมยุทธ์ตั้งมากมาย เราจะจัดการนางแค่คนเดียวไม่ได้ได้ยังไงกัน!?”
ทันใดนั้นหลียางก็หันศีรษะของนาง ไปจ้องมองหลัวจื่อเซวียนอย่างเย็นชา พริบตานั้นราวกับว่าสายฟ้าเย็นยะเยือกสองสายผ่าท้องฟ้าและทะลุผ่านอากาศไป
หลัวจื่อเซวียนรู้สึกว่าหนังศีรษะของเขาด้านชา ในขณะที่วิญญาณรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า หลังจากที่ถูกจ้อง มันก็รู้สึกราวกับว่ามังกรเงินสองตัวพุ่งเข้าสู่หัวใจ ทำให้เลือดลมปั่นป่วน จนตัวคนไอออกมาเป็นเลือด ซวนเซถอยหลังจนเกือบจะล้มลงกับพื้น
นี่เป็นเรื่องที่น่าสะพรึงยิ่ง เพียงแค่การจ้องมองครั้งเดียว ก็ทำให้หลัวจื่อเซวียนตกใจจนกระอักเลือด นี่มันพลังประเภทไหนกัน? หัวใจของหลัวจ้านเป่ยกระตุกในขณะที่เขารู้สึกหวาดกลัวมากขึ้น
ถึงอย่างไร พวกเขาก็เป็นถึงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับ ทว่ากลับยังไม่อาจทำเช่นนางได้เลย!
“พี่หลัว เราลังเลไม่ได้อีกต่อไปแล้ว มาร่วมมือกันฆ่าผู้หญิงคนนี้ก่อน!” ชายในชุดดำพูดขึ้นทันที ด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งและต่ำที่ฟังดูเหมือนงูพิษกำลังแลบลิ้น จนทำให้คนอื่นต้องรู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลัง
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา จิตสังหารในดวงตาของหลัวจ้านเป่ย กู่จิ่วเจิน อินปี้อวิ้น พวกเขาตัดสินใจลงมือโจมตีอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย!
ผู้ที่สามารถถึงจุดยืนนี้เช่นพวกเขาเกือบทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นดั่งสัตว์ร้ายที่เดินออกมาจากภูเขาซากศพและทะเลเลือด ทุกคนต่างเปี่ยมประสบการณ์ในการต่อสู้มากมาย ดังนั้นก่อนจะลงมืออย่างเด็ดขาด มันจึงไม่จำเป็นต้องมีการพูดคุยอีก
ครืน!
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับทั้งสี่คนรวมตัวโจมตีพร้อมกัน ควบคุมพลังแห่งกฎและระเบิดปราณเซียนที่มีพลังน่าสะพรึงกลัวออกมา ในขณะที่พลังของกฎเกณฑ์ที่พวกเขาปล่อยออกมาเชื่อมต่อกัน ราวกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์สี่ลูกตั้งตระหง่านอยู่ ณ ที่นั้น ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม ดุจเทพเจ้าที่ต้องการปราบกบฏที่ต่อต้านพวกเขาทั้งหมดในโลกใบนี้ทิ้ง
แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ข้างหลังหลียาง เฉินซีก็ยังตกใจและรู้สึกถึงช่องว่างที่หาที่เปรียบมิได้
ช่องว่างนั้นใหญ่เกินไปจริง ๆ ช่องว่างระหว่างขอบเขตสถิตกายากับขอบเขตเซียนลึกลับ ดุจระยะห่างระหว่างมดกับเหยี่ยว มันไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลย
แต่ถึงแม้จะเผชิญกับสถานการณ์นี้ ท่าทีของหลียางก็ยังคงสงบนิ่ง
ด้วยการขยับมือเปล่าของนางเพียงครั้งเดียว โลกก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน ทันใดนั้น รัศมีอันไร้ขอบเขตก็เปล่งออกมาพร้อมกับเสียงกึกก้อง ทำให้เกิดอักขระยันต์อันลึกลับแพรวพราวนับไม่ถ้วน พวกมันต่างเปี่ยมไปด้วยรัศมีของวิญญาณ และถูกปกคลุมด้วยแสงอันเจิดจ้า
เมื่อมองจากระยะไกล ก็จะมองดูเหมือนกับอักขระยันต์ที่มีความหนาแน่นสูงซึ่งซับซ้อนยิ่ง และเต็มไปด้วยพลังสายฟ้าที่ทรงพลังมากพอที่จะทำลายล้างโลก!
ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ไม่เพียงจะกำจัดการโจมตีของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับทั้งสี่เท่านั้น แต่อักขระยันต์ที่หนาแน่นดุจหมู่เมฆยังจับตัวกู่จิ่วเจินไว้ด้วย
“นี่… ” กู่จิ่วเจินตกใจ เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายที่เล็ดลอดออกมาจากมัน จากนั้นสีหน้าของเจ้าตัวก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“ลูกหลานของกู่หยวนซุนช่างไร้ค่ามากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกรุ่น เขาดูจะยังจำยันต์เทวะอสนีบาตทมิฬที่สืบทอดมาในตระกูลของพวกเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ?” หลียางพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา
ยันต์เทวะเปล่งแสงขณะที่มันผสมผสานกัน เพื่อสร้างพลังสายฟ้าที่พร่างพรายและเจิดจรัส ปกคลุมไปรอบ ๆ ทำให้กู่จิ่วเจินรู้สึกหวาดกลัวและโกรธแค้นยิ่งขึ้น เขาพยายามต่อสู้ด้วยกำลังทั้งหมด แต่เจ้าตัวก็ยังคงถูกกดข่มให้ไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อต้านอยู่ดี
หลียางก้าวไปข้างหน้า และเคลื่อนตัวไปพร้อมกับท่าทีไม่แยแสต่อสิ่งใด เสื้อผ้าของนางพลิ้วไหว ทำให้ตัวคนดูราวกับเป็นผู้อยู่เหนือมวลมนุษย์ หญิงสาวยกนิ้วขึ้นและชี้ไปที่ยันต์เทวะอสนีบาตทมิฬจากระยะไกล ทันใดนั้น มันก็ก่อตัวเป็นราวกับภูเขาสายฟ้านับแสนบดขยี้กู่จิ่วเจิน
ปัง!
ร่างกายของกู่จิ่วเจินถูกบดขยี้เป็นชิ้น ๆ และจมอยู่ในอักขระยันต์สายฟ้า มีเพียงศีรษะของเขาเท่านั้นที่ถูกโยนออกมา สีหน้าสุดท้ายของเจ้าตัวก็เผยให้เห็นความตื่นตระหนก ไม่เต็มใจ ความกลัว และไม่เชื่อ
ขอบเขตเซียนลึกลับถูกกำจัดด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวไปเช่นนั้น!
ตุบ!
ศีรษะของเขาตกลงไปที่พื้น ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับจบชีวิตลง พร้อมกับรูม่านตาที่ขยายออก และใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสนระคนหวาดกลัว แม้จะเป็นอมตะ แต่ก็ไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ได้อีกตลอดไป และย่อมไม่อาจพักผ่อนได้อย่างสงบสุข
หลัวจ้านเป่ยและคนอื่น ๆ หยุดชะงักไปในทันที พลางพยายามหายใจอย่างลำบาก พวกเขาแทบจะรับไม่ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? เหตุการณ์ดังกล่าวเกินความคาดหมายของพวกเขาไปมาก!
นั่นคือผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับ ที่ลึกลับและน่าเกรงขาม ผู้คว้าพลังของกฎแห่งสวรรค์ อยู่เหนือภพมนุษย์ ท่องไปในจักรวาล เปลี่ยนสิ่งธรรมดาให้กลายเป็นสิ่งพิเศษ แล้วจะอ่อนแอจนถูกทำลายอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร?
เฉินซีเองก็ตกใจเช่นกัน เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าศิษย์พี่หญิงของเขาจะร้ายกาจขนาดนี้ เพียงแค่การสะบัดมือเบา ๆ นางก็สามารถกำจัดชีวิตของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับได้แล้ว ต้องใช้การบ่มเพาะแบบใดกันจึงจะสามารถทำเช่นนี้ได้?
ไม่ต้องพูดถึงเฉินซี แม้แต่เหลียงปิงกับเถิงหลานก็ยังเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คืออาหลีที่พวกเขาคุ้นเคย
“ยันต์เทวะอสนีบาตทมิฬ! นั่นคือวิชาลับที่ส่งต่อกันภายในตระกูลกู่ มันไปอยู่ในมือเจ้าได้อย่างไร?”
หลัวเจิ้นเป่ยพูดด้วยเสียงต่ำ ดูราวกับเขา อินปี้อวิ้นและชายชุดดำจะแน่ใจแล้วว่า พวกตนได้เผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขามยิ่งเข้าให้แล้ว ดังนั้นทุกคนจึงโคจรปราณในร่าง ทำให้ทั่วกายย้อมไปด้วยแสงจ้า ดุจภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุสามลูก!
พวกเขาสังเกตเห็นแล้วว่า สถานการณ์ในตอนนี้เลวร้ายและดูค่อนข้างผิดปกติเล็กน้อย ความสามารถของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าน่าสะพรึงเกินไป ทั้งยังอยู่เหนือความคาดหมาย จนทำให้พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคามที่รุนแรงได้จากนาง!
เดิมทีพวกเขาต้องการจะบดขยี้เฉินซี และช่วงชิงเคล็ดวิชาในชั้นที่สิบมา แต่ตอนนี้พวกเขากลับตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายและเสี่ยงที่จะจบชีวิตลงที่นี่ ทำให้พวกเขารู้สึกหนักใจอย่างช่วยไม่ได้
“มันเป็นมรดกของนิกายข้าเสมอมา แล้วเหตุใดข้าจึงจะครอบครองมันไม่ได้กัน?” หลียางกล่าวอย่างเฉยเมย แม้ว่านางจะตัดสินใจสังหารคนเหล่านี้ แต่ใบหน้าของหญิงสาวก็ยังคงไร้ซึ่งร่องรอยอารมณ์ของมนุษย์ ทั้งห่างเหินและไม่แยแส
“อะไรนะ? เป็นไปไม่ได้!”
หลัวเจิ้นเป่ยตกตะลึง แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นสมาชิกของตระกูลกู่ แต่ก็รู้ดีว่ายันต์เทวะอสนีบาตทมิฬนั้นสืบทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลกู่ จักรพรรดิแห่งความมืดหยวนสวิน ดังนั้นมันจะเป็นมรดกของนิกายที่อยู่เบื้องหลังหญิงสาวคนนี้ไปได้อย่างไร?
มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่คาดเดาบางอย่างได้ เมื่อเขาได้ยินคำว่ายันต์เทวะอสนีบาตทมิฬ เพราะตัวเขาเองก็มียันต์เทวะทั้งห้านี้เช่นกัน แต่มันแตกต่างจากยันต์เทวะเหล่านี้อยู่เล็กน้อย
“ถ้าเช่นนั้นเรามาดูกันว่านี่เป็นเคล็ดวิชาใด” หลียางกล่าวอย่างสงบ
ขณะที่พูด มือเรียวขาวที่งดงามของนางก็พลิกอีกครั้ง ยันต์ที่หนาแน่นและลึกลับได้ควบแน่นกลางอากาศอีกครา พวกมันประสานเข้าด้วยกัน และม้วนตัวเป็นสีดำสนิททอแสงศักดิ์สิทธิ์ที่สง่างาม
“ยันต์เทวะวิญญาณอสูร!” หลัวเจิ้นเป่ยโพล่งออกมา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมา นี่เป็นวิชาลับที่สืบทอดภายในตระกูลหลัว ดังนั้นเขาจะจำมันไม่ได้…ได้อย่างไร?
“เมื่อเจ้าจำมันได้ เช่นนั้นก็จงตายอย่างสงบด้วยอานุภาพของมันเสีย!” ขณะที่กล่าว หญิงสาวพลันสะบัดแขนเสื้อสีขาวของตน ทำให้เกิดกระแสปราณสีดำสนิทอันน่าเกรงขามที่ดูเหมือนมหาสมุทรอักขระยันต์ตรงเข้าสังหารเป้าหมาย
ทว่าหลัวเจิ้นเป่ยจะยอมจำนนต่อความตายได้อย่างไร? ทั้งร่างของเขาเปล่งแสงดุจมังกรทอง ในขณะที่ถือกระบี่สะบั้นเต๋า และโจมตีออกไปอย่างเต็มกำลัง ด้วยความตั้งใจที่จะเข่นฆ่าเพื่อเอาชีวิตรอด!
โอม!
กระบี่สะบั้นเต๋าทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับลำแสงที่ทะลุผ่านดวงอาทิตย์ พุ่งเข้าปะทะคลื่นอักขระยันต์อันลึกซึ้งนับไม่ถ้วน ต้องบอกเลยว่าหลัวเจิ้นเป่ยได้ใช้กำลังทั้งหมดในการโจมตีครั้งนี้แล้ว มันจึงเป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับ ยิ่งกว่านั้น เมื่อมันถูกใช้ออกด้วยกระบี่สะบั้นเต๋า พลังของมันอาจเพิ่มขึ้นถึงสามเท่า!
อย่างไรก็ตาม หลียางกลับส่ายหัว มือขาวของนางพลิกกลับ และสร้างอักขระยันต์ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะเข้าควบคุมยันต์เทวะเพื่อต่อสู้กับการโจมตีของหลัวเจิ้นเป่ย!
ครืน!
ในชั่วพริบตาที่การโจมตีทั้งสองเข้าปะทะกัน และระเบิดแสงจ้าราวกับดาวหางสองดวงชนกันออกมา แสงศักดิ์สิทธิ์ที่เจิดจ้าได้แผ่กระจายไปทั่วบริเวณของชั้นแปด!