บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 876 เส้นตายแห่งทัณฑ์สวรรค์
บทที่ 876 เส้นตายแห่งทัณฑ์สวรรค์
บทที่ 876 เส้นตายแห่งทัณฑ์สวรรค์
การที่จู่ ๆ หม้อใบจิ๋วพูดเช่นนั้น มันทำให้เฉินซีตกใจไม่น้อย เมื่อสวรรค์ปลดปล่อยจิตสังหาร ยามนั้นภพทั้งสามจะเกิดกลียุคเช่นนั้นหรือ?
มันเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของเต๋าแห่งสวรรค์ มันเป็นการยากสำหรับเฉินซีที่จะคาดเดาว่าเมื่อถึงเวลานั้น โลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่เขาก็รู้ว่ามันหาใช่เรื่องดีไม่!
…
ณ ยอดเขาจรัสตะวันตก
เมื่อชายหนุ่มกลับมาจากยอดเขาสัประยุทธ์ บรรยากาศภายในยอดเขาจรัสตะวันตกก็กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง
หลิงไป๋ ไป๋คุย มู่ขุย อาซิ่ว หั่วโม่เลยและศิษย์พี่คนอื่น ๆ รวมไปถึงคนจากเผ่านรุกขุมที่เก้าได้กลับมารวมตัวกันที่ยอดเขา
พวกเขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเมื่อได้พบเฉินซี
คืนนั้น กองไฟลุกโชติช่วงอีกครั้ง ณ ยอดเขาจรัสตะวันตก กลิ่นสุราหอมกรุ่นอบอวลไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนอบอุ่นนั้น พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานและเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม
ตามที่หั่วโม่เลยอธิบาย แม้ว่าพวกเขาจะถูกขับไล่ให้ลงจากยอดเขาจรัสตะวันตกเป็นการชั่วคราว แต่ด้วยการดูแลเป็นอย่างดีจากเวินหัวถิง ก็ทำให้พวกเขาไม่ได้รับความเจ็บปวดกับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น กระนั้น เมื่อพูดถึงชื่อของเหมยชิงหยวน พวกเขาก็อดมีน้ำโหไม่ได้
แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องราวทั้งหมดก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว พวกเขาได้ยินจากผู้อาวุโสเลี่ยเผิงว่า ทั้งเหมยชิงหยวนและคนอื่น ๆ ล้วนได้รับการลงโทษอย่างสาสม ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ติดใจจะต่อความยาวสาวความยืดให้อารมณ์เสียอีก
มีเพียงเสวี่ยเหยียนเท่านั้นที่ตอนนี้ได้ซุกซ่อนอารมณ์อันซับซ้อนไว้ภายในใจ เดิมทีนางเป็นผู้ติดตามของปิงซื่อเทียน แต่ต่อมาก็ถูกอาซิ่วบังคับให้กลายเป็นผู้ติดตามของเฉินซี
พูดอีกอย่างคือ ชีวิตของนางนั้นอัปยศไม่น้อย นางไม่ได้เป็นทั้งคนของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ และก็ไม่ได้เป็นทั้งคนของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง อีกทั้งจะเรียกว่าเป็นผู้ติดตามของเฉินซี ก็ดูจะไม่เข้าเค้านัก
น่าเสียดายที่นางไม่เคยได้รับการยอมรับจากเฉินซีเลยสักครั้ง
โชคดีที่ตอนนี้ ผู้คนในยอดเขาจรัสตะวันตกไม่มีใครมองว่านางเป็นคนนอก ทั้งยังไม่คิดจะถามถึงอดีตของนาง นั่นทำให้หญิงสาวไม่รู้สึกอึดอัดอย่างครั้งที่มายังที่นี่แรก ๆ หญิงสาวค่อย ๆ รู้สึกว่าที่นี่เป็นเหมือนบ้านหลังหนึ่ง
นางชอบสถานที่อันสงบสุขแห่งนี้ ชอบใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของทุกคน พวกเขาไม่มีความเกลียดชังแฝงเร้นไว้ ไม่มีแม้แต่การหลอกลวงหรือริเริ่มแผนการร้าย หากให้เปรียบ ก็คงเหมือนสวรรค์บนดิน
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเหมยชิงหยวนปรากฏตัวและตั้งใจจะเอานางไปเป็นนางบำเรอ หญิงสาวก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก จริงอยู่ นางเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี แต่ก็ยังอ่อนแออยู่มากเมื่อเทียบกับบรรดาศิษย์ที่มาจากภพเซียนเหล่านั้น
เมื่อนำเรื่องนี้มากอปรกับชีวิตอันน่าอดสู ก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกสิ้นหวัง ราวกับว่าไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่จะช่วยนางได้ ความรู้สึกอับจนหนทางที่เกิดขึ้นภายในใจอย่างรุนแรงนี้ นางยังคงจดจำได้จวบจนบัดนี้!
กระนั้น นางก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่านอกจากอาซิ่วจะไม่ทอดทิ้งนางแล้ว แม้แต่ผู้คนบนยอดเขาจรัสตะวันตกคนอื่น ๆ ก็ไม่คิดจะนิ่งเฉยต่อความเดือดร้อนในครั้งนี้!
นับแต่นั้นมา คล้ายกับหัวใจของนางได้ถูกเติมเต็ม
ดังนั้น เมื่อหญิงสาวได้รู้ถึงการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของเฉินซี ได้ฟังว่าเขาลงมือกับเหมยชิงหยวนและคนอื่น ๆ อย่างโกรธเกรี้ยว นางก็พลันรู้สึกขอบคุณในใจ แม้จะรู้ดีว่าสิ่งนั้นไม่ได้ทำไปเพื่อนางเพียงคนเดียวก็ตาม
หลังจากที่นางประสบกับความสิ้นหวังอย่างยิ่ง นางก็ได้เข้าใจแล้วว่า มิตรภาพนั้นล้ำค่าเพียงใด!
“เฉินซี ขอบคุณท่านมาก” ในที่สุดเสวี่ยเหยียนก็รวบรวมความกล้าที่จะเดินเข้าไปหาเฉินซี นางยกจอกสุราคารวะเขาหนึ่งครั้งก่อนจะดื่มเข้าไปจนหมด ไม่รู้ว่าดวงหน้าเปี่ยมเสน่ห์ของหญิงสาวระเรื่อด้วยพิษสุราหรือความขวยเขินกันแน่ แต่บัดนี้ ท่ามกลางรัตติกาลกระจ่าง นางช่างดูงดงามน่าหลงใหลยิ่ง!
หลังจากดื่มขอบคุณเสร็จ นางก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วด้วยอาการเขินอาย ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
เฉินซีชะงัก เขายกสุราในมือดื่มจนหมดก่อนจะหันไปมองอาซิ่ว พลางแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ด้วยความสามารถของเจ้า น่าจะไม่หวั่นเกรงพวกคนที่มาจากภพเซียนเหล่านั้นเลยใช่หรือไม่?”
เขารู้เรื่องของนางอย่างชัดเจนก็ตอนที่กำลังเดินทางไปยังพิภพยันต์อักขระ ศิษย์พี่หลียางเคยเล่าเอาไว้ว่า สตรีผู้นี้นิยมชมชอบชุดสีเขียว ยามแย้มยิ้ม ดวงตาของนางจะวาดโค้งเหมือนจันทร์เสี้ยว บ่อยครั้ง นางมักจะถือผลไม้วิเศษไว้ในมือ และแม้จะไม่สามารถสำเร็จการบ่มเพาะจากตระกูลเซวียนหยวนได้ ทว่านางก็มีสถานะเป็นที่นับถืออยู่ไม่น้อย!
นอกจากนี้ ตอนที่เขาอยู่ในพิภพยันต์อักขระ เหวินเหรินเยี่ยก็ได้รับความเคารพจากหนานซิ่วชง ฉู่เซียว และคนอื่น ๆ เนื่องจากนางมีสัญญาหมั้นหมายกับคนของตระกูลเซวียนหยวน
เท่าที่เฉินซีเข้าใจ ลำพังเพียงความสามารถของอาซิ่ว ก็สามารถจัดการกับเหมยชิงหยวน รวมถึงศิษย์นิสัยแย่คนอื่น ๆ ทว่านางกลับไม่ทำเช่นนั้น ทำให้เขาเองก็อดแปลกใจไม่ได้
อาซิ่วอุ้มไป๋คุยไว้ในอ้อมแขนพลางสางขนให้อีกฝ่ายไปด้วย ดวงหน้าเล็กจิ้มลิ้มของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ใช่ เจ้าพวกนั้นไม่ระคายมือข้าหรอก แต่เพราะข้ายังเห็นแก่ศิษย์พี่ของเจ้า ข้าก็เลยไม่ได้ลงมือ เจ้าลองคิดดูสิ ถ้าข้าลงมือมันจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้าง? เพราะแบบนั้นข้าก็เลยชั่งใจอยู่ตั้งนาน สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่เข้าไปยุ่ง แต่ให้พูดตามตรง ข้าน่ะไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว” นางตอบอย่างเป็นกันเอง
จู่ ๆ หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับดวงตาที่กะพริบถี่รัว “นี่ ไหน ๆ เจ้าก็กลับมาแล้ว หรือว่าข้าควรจะไปอัดพวกมันตอนนี้เลยดีไหม?” น้ำเสียงของนางฟังดูตื่นเต้น
เฉินซีทำหน้าไม่ถูก ขณะที่เขาพยายามจะขัดนาง “บอกกี่ตั้งแล้วว่าอย่าเรียกข้าว่า ‘นี่’!”
อาซิ่วหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ได้สนใจ นางทำเพียงจดจ้องยังเหลียงปิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เฉินซี หญิงสาวตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนครู่หนึ่ง ก่อนจะพึมพำออกมาด้วยเสียงเบา “พี่สาวคนนั้นถูกเจ้าล่อลวง ไม่ก็จับตัวมาสินะ”
เมื่อพูดถึงคำว่า ‘จับตัว’ เฉินซีพลันนึกถึงหลียางขึ้นมาทันที โดยเฉพาะมุกตลกของนาง ไม่นาน เขาก็จำได้ว่าครั้งหนึ่ง เหลียงปิงเคยบอกว่านางฝึกฝนเคล็ดเทพใต้พิภพกำเนิดวิญญาณ ทำให้นางสามารถตรวจจับเสียงต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย… คิดได้เช่นนั้น ใบหน้าของชายหนุ่มพลันแข็งทื่อ เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังเหลียงปิง
ใบหน้าเย็นชาของเหลียงปิงเองก็นิ่งค้างไม่ต่างกัน เห็นได้ชัดว่านางกำลังนึกถึงเรื่องเดียวกันกับเขา
เฉินซีไม่ได้กระดากอาย เขากลับหันไปตำหนิอาซิ่วด้วยความโกรธ “ถ้าพูดถึงเรื่องล่อลวง ข้าว่าเจ้าต่างหากที่เป็นพวกขี้ปด ไหนบอกข้ามา แซ่ของเจ้าคือเซวียนหยวนใช่หรือไม่”
อาซิ่วไม่ได้สะทกสะท้านเมื่อความลับถูกเปิดเผย “ก็ใช่ แต่จะมาพูดว่าข้าหลอกลวงไม่ได้นะ ก็เจ้าไม่เคยถามเองนี่” เสียงของนางยังคงเป็นกันเอง
เฉินซีชะงัก เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสรุปได้ว่าเขาเองก็ไม่เคยถามนางจริง ๆ
“เซวียนหยวน?” เหลียงปิงที่อยู่ใกล้ ๆ เงยหน้าขึ้นมาจับจ้องยังอาซิ่วอย่างจริงจัง นางดูจะประหลาดใจไม่น้อย
ในขณะที่อาซิ่วนั้นกลับก้มหน้าลงเพื่อเล่นกับไป๋คุย ราวกับว่านางไม่ได้สังเกตถึงสายตาของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
เฉินซีรู้ดีว่าเหลียงปิงน่าจะรู้จักตัวตนของอาซิ่วผ่านคำว่าเซวียนหยวน ทว่าเขาก็ไม่ได้อธิบายอะไรต่อ ด้วยชายหนุ่มเองก็ไม่รู้ว่าอาซิ่วมาอยู่ฝั่งเดียวกับเขาได้อย่างไร…
ผ่านไปครู่ใหญ่ ชายหนุ่มได้หันไปพูดคุยกับหั่วโม่เลยและศิษย์พี่คนอื่น ๆ รวมไปถึงเหมิงเหวยกับโม่ย่า เขาพบว่านอกจากการบ่มเพาะแล้ว พวกเขาก็ยังช่วยกันฝึกฝนคนหนุ่มสาวจากเผ่านรกขุมที่เก้าทั้งวันทั้งคืน สิ่งนี้ทำให้เฉินซีรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
ระหว่างการสนทนา เหมิงเหวยพูดขึ้นมาว่า “เลี้ยงคนพันวันเพื่อใช้งานวันเดียว พวกเด็ก ๆ ในเผ่าพันธุ์ของข้าล้วนสละความไร้เดียงสาไปสิ้นแล้ว ทว่าประสบการณ์การต่อสู้จริง ๆ ของพวกเขาก็ยังด้อยอยู่มาก ตอนนี้โลกกำลังตกอยู่ท่ามกลางความโกลาหล ผนวกกับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ต่างพิภพที่ปรากฏตัวในโลกบ่อยมากขึ้น ข้ากับโม่ย่ากำลังคิดทบทวนอย่างหนักด้วยตั้งใจว่าจะคว้าโอกาสนี้นำพาพวกเขาออกไปสู่โลกภายนอกเพื่อให้ได้รับประสบการณ์ที่มากขึ้น”
เฉินซีตะลึงงัน เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “โปรดรอก่อน ข้าจะพาพวกท่านไปที่เทือกเขาหนามม่วงของตระกูลไป๋ เมื่อข้าผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ พวกเด็ก ๆ จากค่ายอัสนีม่วงและค่ายผลึกเยือกแข็งครามก็น่าจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”
เหมิงเหวยพยักหน้าเห็นด้วย “ย่อมได้”
โม่ย่าพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “เจ้ากำลังจะบรรลุขอบเขียนเซียนปฐพีอย่างนั้นหรือ?”
เฉินซีตอบด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ข้าจะต้องเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์อัสนีครามในอีกไม่ถึงสองเดือนข้างหน้า”
“เช่นนั้นเจ้าต้องเตรียมตัวไว้ให้พร้อม ข้าได้ยินมาว่าการที่ผู้บ่มเพาะพยายามพิชิตทัณฑ์สวรรค์เพื่อบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีนั้นมันอันตรายอย่างมาก โดยปกติแล้ว จะต้องมีผู้อาวุโสของนิกายคอยให้ความคุ้มครองจากทางด้านข้าง หากยังไม่มีการเตรียมการที่เพียงพอ ก็อาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิตเจ้าได้” โม่ย่าพูดอย่างจริงจัง
“ใช่แล้ว น้องเฉินซี จงทำใจให้สงบและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับทัณฑ์สวรรค์ที่จะมาถึง เจ้าต้องผ่านไปให้ได้ภายในคราวเดียว” เหมิงเหวยหัวเราะ “ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า เจ้าจะต้องผ่านมันไปได้อย่างง่ายดายแน่นอน”
“การวางแผนเป็นเรื่องของมนุษย์ ส่วนผลลัพธ์ก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์ ข้าได้เตรียมการมาอย่างยาวนานเพื่อขจัดทุกอุปสรรคในชีวิต ดังนั้นสำหรับเรื่องอื่น ๆ แล้ว มีเพียงสวรรค์ที่ให้คำตอบได้” เฉินซียืนเอามือไพล่หลัง ขณะที่แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะหัวเราะอย่างผ่อนคลาย ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและความปรารถนา …ข้าเตรียมการมานานมาแล้ว และข้าก็ทำอย่างเต็มที่แล้วจริง ๆ!”
…
ตกดึก ทุกคนเริ่มแยกย้าย
เฉินซีเรียกเสิ่นเหยียนให้เข้ามาใกล้ ๆ เขาถอนหายใจอยู่นานพลางมองเด็กหนุ่มที่ดูเรียบง่ายแต่ไม่ยอมคนผู้นี้
ตั้งแต่เขารับเสิ่นเหยียนเข้ามาเป็นศิษย์ เวลาก็ได้ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว มันเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าเด็กหนุ่มที่ดูผอมแห้งคนนี้จะสามารถเดินทางมาเป็นระยะทางที่ยาวไกลเพื่อมายังนิกายกระบี่เก้าเรืองรองโดยปลอดภัยได้อย่างไร
ตลอดเส้นทางของเขาเต็มไปด้วยขวากหนามหรือไม่ หนทางนั้นยากลำบากเพียงไหน?
เขาเผชิญกับสิ่งใดกว่าจะมาถึงยังที่แห่งนี้?
เฉินซีไม่อาจคาดเดาคำตอบ แต่เขาเองก็พอจะรับรู้ได้ตั้งแต่ครั้งที่ตัวเขาเตรียมบททดสอบสำหรับเสิ่นเหยียน ในวันนั้นชายหนุ่มได้ไตร่ตรองอยู่นาน เนื่องจากเส้นทางระหว่างจวนอ๋องเวินกับนิกายกระบี่เก้าเรืองรองนั้น เต็มไปด้วยทิวเขา แม่น้ำ และสถานที่ที่อันตรายมากมาย หากต้องการจะเดินทางไปได้อย่างปลอดภัย ก็จะต้องเป็นผู้มีปัญญาและความมุ่งมั่นอันสูงส่ง
แน่นอนว่าเงื่อนไขในบททดสอบนี้ก็คือห้ามรับความช่วยเหลือจากผู้อื่น
ด้วยเหตุนี้ เฉินซีจึงได้มอบยันต์เซียนจักรวาลให้อีกฝ่าย อย่างน้อยมันจะช่วยทำให้เจ้าตัวมีชีวิตรอด หากต้องเผชิญกับอันตรายที่รุนแรงถึงชีวิต
ถึงอย่างนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าเสิ่นเหยียนไม่ได้ใช้มัน เนื่องด้วยเขานำมันมาคืนเฉินซีด้วยตัวเอง
ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจอีกครั้ง หากเป็นคนอื่น ไม่ต้องผู้ถึงผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาเอง ก็คงไม่อาจต้านทานต่อความล่อตาล่อใจของยันต์เซียนจักรวาลได้ และคงจะครอบครองมันต่อไปโดยไม่ได้คืนให้แก่เขา
ทว่าเสิ่นเหยียนไม่ได้ทำแบบนั้น บางทีเขาก็สงสัยว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่รู้ถึงคุณค่าของมัน หรือเป็นเพราะเจ้าตัวไม่ใช่คนอยากได้อยากมี
เฉินซีเองก็ตอบเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเสิ่นเหยียนนั้นเป็นคนที่โดดเด่น ดังนั้น แม้ว่าพื้นฐานพลังของอีกฝ่ายจะดูธรรมดา แต่ว่าในสายตาของเฉินซี ก็มีแต่เพียงคนประเภทนี้เท่านั้นที่เหมาะสมจะเป็นศิษย์ของเขา!
เด็กคนนี้มีหัวใจของผู้บ่มเพาะ!
ในคืนนั้น เฉินซีได้มอบสิ่งของมากมายให้แก่เสิ่นเหยียน ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นความล้ำลึกแห่งสัจธรรมสวรรค์ ในด้านหนึ่ง เสิ่นเหยียนตั้งใจฟังเฉินซีอธิบายอย่างจริงจัง แม้ว่าตอนนี้จะไม่สามารถเข้าใจมันได้ทั้งหมด แต่เขาก็พยายามจดจำไว้ในใจ ความมุ่งมั่นและทุ่มเทของเสิ่นเหยียน ทำให้แม้แต่เฉินซียังรู้สึกชื่นชม
รุ่งสางมาถึงโดยไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มหยัดกายลุกขึ้น และสั่งให้เสิ่นเหยียนไปบ่มเพาะทำความเข้าใจในศาสตร์ต่าง ๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องและส่งแผ่นหยกให้เหลียงปิง โดยภายในนั้นได้บันทึกถึงเคล็ดวิชาธรรมเทพไร้ขอบเขตเอาไว้
“ไม่อยู่ต่ออีกสักสองสามวันหรือ?” เฉินซีถามด้วยรอยยิ้ม
“ไว้ข้ามารบกวนเจ้าอีกครั้งตอนกลียุคสิ้นสุดลงก็คงไม่สาย” เหลียงปิงจับจ้องยังดวงหน้าของอีกฝ่าย และพูดอย่างจริงจังว่า “เมื่อเวลานั้นมาถึง เราคงจะได้พบกันในภพเซียน”
“ภพเซียนหรือ?” เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเหมือนว่าเขาจะนึกอะไรบางอย่างออก จากนั้นชายหนุ่มก็มองออกไปยังท้องฟ้าอันไกลโพ้นขณะที่พึมพำ “เราจะได้พบกันอีกในภพเซียนอย่างแน่นอน…”
คำพูดที่ดูสองแง่สองง่ามชวนให้ความคิดของเหลียงปิงเตลิดผิดที่ผิดทาง ดวงหน้าอันงามงดเผยความเขินอายออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว หญิงสาวรีบปรับสีหน้ากลับมาให้ดูดุดันอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังและจากไป
“ไว้พบกันใหม่!”
“ไม่ต้องจับมือกันตอนบอกลาเหรอ?”
“…จนกว่าเราจะได้พบกันอีก!”
เสียงฝีเท้าของนางกังวานใสประหนึ่งน้ำพุที่ไหลเอื่อยท่ามกลางสายหมอกในยามเช้า มันค่อย ๆ แผ่วเบาลงจนหายไปอย่างไร้ร่องรอย