บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 886 เดินทางผ่านแคว้นต้าเยี่ยน
บทที่ 886 เดินทางผ่านแคว้นต้าเยี่ยน
บทที่ 886 เดินทางผ่านแคว้นต้าเยี่ยน
เสียงหัวเราะของมารบงกชเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและความเศร้าสร้อย แต่ยามลอยเข้าหูเหมยลั่วเซียวและอวี๋จงเสีย มันกลับไม่ต่างจากสายฟ้าที่สั่นสะเทือนจิตใจอย่างรุนแรง!
“บัดซบ! ตัวตนถูกเปิดเผยแล้ว ไป!” เหมยลั่วเซียวตัดสินใจในฉับพลัน เขาคว้ามือของอวี๋จงเสียไว้ จากนั้นก็ใช้ยันต์เคลื่อนย้ายมิติก่อนหายไปในพริบตา
“เหอะ! อยู่ใต้จมูกของข้าผู้นี้ คิดว่าจะหนีไปได้หรือ?” มารบงกชกลั้นหัวเราะ จิตสังหารฉายวาบในดวงตาเย็นยะเยือกของเขา ก่อนเอื้อมมือหนึ่งออกไปคว้า
ปราณกระบี่สีโลหิตอันน่าสะพรึงปรากฏขึ้นในฝ่ามือ จากนั้นพลันพุ่งทะลวงผ่านมิติจำนวนมาก ฟาดฟันแหวกอากาศ!
ตู้ม!
ไกลออกไปหนึ่งหมื่นลี้ เสียงกรีดร้องโหยหวนสองเสียงดังขึ้น ความว่างเปล่าอันสงบสุขปะทุขึ้น ฝนโลหิตสีทองสาดกระเซ็น ผสานเข้ากับเศษเนื้อหนัง ดูน่าสะพรึงยิ่งนัก
“ตายหรือ?” เมื่อเฉินซีมาถึง เขามองก้อนเนื้อบนพื้นด้วยความไม่อยากเชื่อ เบื้องหน้าคือแอ่งโลหิตสีทองเจิ่งนอง ดูแปลกประหลาดนัก
“ยามข้าผู้นี้ลงมือ มีหรือใครจะรอด?” มารบงกชเอามือไพล่หลังขณะก้าวมาข้างหน้า ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความชั่วร้ายเย็นชา สีหน้าเปี่ยมด้วยความเจ้าเล่ห์ดูถูก ราวกับมารผู้ไร้เทียมทานจุติลงมา
เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก สองคนนี้คือเซียนสวรรค์ผู้ยืนอยู่เหนือผู้คน มีชีวิตยืนยาว! ทว่าตอนนี้กลับเป็นดั่งไก่สุนัขข้างถนน ถูกมารบงกชทุบตีเล็กน้อย ก็ถึงแก่ความตายอยู่ในความว่างเปล่า!
จนกระทั่งออกจากถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต ในที่สุดเฉินซีก็พบว่า เป้าหมายของเหมยลั่วเซียวและอวี๋จงเสียที่ลงมาสู่ภพมนุษย์ ไม่ใช่เพื่อช่วยนิกายกระบี่เก้าเรืองรองต้านทานภัยคุกคามจากพวกต่างพิภพ แต่เป็นเพราะหมายตากระบี่เต๋าวิบัติ!
เหตุผลเป็นอย่างที่เต๋าบงกชว่าไว้ เพราะมรดกเต๋าของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในภพเซียนได้ถูกกวาดล้างไปแล้ว!
เฉินซีถึงขั้นสงสัยว่า ตอนที่ประมุขนิกายเวินหัวถิงทราบข่าว เขาอาจจะไม่เชื่อว่าเป็นความจริง แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ยังคงต้องบอกออกไปอยู่ดี
เพราะถึงอย่างไร แม้พวกเหมยลั่วเซียวจะตายแล้ว ก็ไม่มีอันใดรับประกันว่าเรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก
…
หลังเดินออกจากหอสยบวิญญาณ แล้วเงยหน้ามองท้องนภาสีคราม เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความรู้สึกหนักอึ้งในใจลดลงไปมาก
“หาก…” มารบงกชจู่ ๆ ก็กล่าวขึ้น สีหน้าดูจริงจังผิดปกติ
“อันใดหรือ?” เฉินซีตกใจเล็กน้อย
“หากข้าตาย อย่าบอกเต๋าบงกชล่ะ” มารบงกชคล้ายกับตัดสินใจได้ในที่สุด ก่อนหันมาจ้องเฉินซี “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าหมายถึงอันใด”
หัวใจของเฉินซีบีบรัด เขารู้ดียิ่งว่าเมื่อมารบงกชกล่าวคำพูดเหล่านี้ อีกฝ่ายได้ตัดสินใจที่จะตายแล้ว
แต่เขาไร้พลังที่จะหยุดยั้งสิ่งใด ชายหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามารบงกชจะไปแก้แค้นที่ใด แต่เขารู้ดีว่ามารบงกชไม่ได้มองโลกในแง่ดีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นมากนัก
“แต่ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าตายหรือไม่?” เฉินซีเงยหน้าขึ้นพลางเอ่ยถาม
แม้ประโยคนี้จะเหมือนกับเป็นการไม่ให้ความเคารพ แต่น่าแปลกที่ยามนี้มารบงกชไม่ได้รู้สึกโกรธ เขาครุ่นคิดอย่างจริงจัง จากนั้นตอบว่า “เมื่อเจ้าพบว่ามีดอกบัวเพิ่มขึ้นบนกระบี่เต๋าวิบัติ นั่นหมายความว่าข้าได้จากไปแล้ว”
น้ำเสียงของเขาทั้งแหบต่ำและสงบ เปี่ยมด้วยความใจกว้าง รวมถึงความมุ่งมั่น
เมื่อเฉินซีเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เขาก็ไม่พบร่องรอยของมารบงกชแล้ว ราวกับอีกฝ่ายระเหยไปกับอากาศธาตุ มีเพียงเสียงที่ยังคงดังก้องในหู
…
ณ ยอดเขาสัประยุทธ์
ยามเฉินซีเดินออกมาจากห้องโถงใหญ่ ภายนอกก็ปกคลุมด้วยรัตติกาลอันมืดมิดแล้ว มีจุดดวงดาวระยิบระยับอยู่บนท้องนภา เปล่งแสงแวววับ ขณะที่ไกลออกไป เสียงของเหล่าศิษย์ท่องตำราได้แว่วมาอย่างแผ่วเบา
สายลมราตรีพัดพาอย่างแผ่วเบา ต้นสนลู่ตาม หมอกสนธยาแผ่ปกคลุมราวกับทะเลหมู่เมฆ
ขณะเดินอยู่บนยอดเขาอย่างเงียบงัน เขาได้ยินเสียงแมลงร้องเป็นระยะ มันช่างสงบสุขยิ่งนัก
เฉินซีเอามือไพล่หลัง เดินย่างอย่างเกียจคร้าน ราวกับกำลังเดินเล่น เพียงแต่คิ้วของเขาขมวดแน่น เป็นข้อพิสูจน์ว่าอารมณ์ของชายหนุ่มไม่ได้ดี และสงบเหมือนอย่างที่เห็นจากภายนอก
“ขอเพียงผู้อาวุโสเต๋าบงกชอยู่ นิกายกระบี่เก้าเรืองรองก็จะปลอดภัย…”
ผ่านไปพักใหญ่ เฉินซีก็หยุดนิ่ง จากนั้นเขาก็หันไปมองยอดเขาสัประยุทธ์ที่อยู่ไกลออกไป ในห้องโถงใหญ่มีแสงสว่างเจิดจ้า ดูพร่างพราวยิ่งเมื่ออยู่ในยามราตรี
ชายหนุ่มรู้ดีว่า ประมุขนิกายเวินหัวถิงกำลังหารือเรื่องมาตรการโต้กลับร่วมกับปราชญ์เก้าเรืองรองทั้งสามท่าน และบรรดาผู้อาวุโสระดับสูงของนิกาย
…ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เหมยชิงหยวนและพวกคนอวดดีจากภพเซียนเหล่านี้อาจจะไม่ถูกพบเห็นอีก
และนั่นหมายความว่า นับจากนี้ไป นิกายกระบี่เก้าเรืองรองจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภพเซียนอีก ไม่เพียงแค่นั้น พวกเขายังต้องเฝ้าระวังภัยคุกคามจากภพเซียนตลอดเวลาอีกด้วย
หากนับรวมภัยคุกคามจากคนต่างพิภพ สถานการณ์ทั่วทั้งนิกายกระบี่เก้าเรืองรองก็คล้ายจะล่อแหลมขึ้นทุกที!
เรื่องทั้งหมดนี้…เฉินซีไร้พลังที่จะเปลี่ยนแปลง สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือเก็บรักษากระบี่เต๋าวิบัติเอาไว้ ต่อให้บางสิ่งที่คาดไม่ถึงจะเกิดขึ้นในสักวัน เขาก็ยังสามารถรักษาเมล็ดพันธุ์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเอาไว้ได้…
แต่เขาก็หวังว่าวันนั้นจะไม่มาถึง
…
สามวันต่อมา
คณะเดินทางอันแปลกประหลาดได้ออกเดินทางจากยอดเขาจรัสตะวันตก ก่อนออกจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองไป
เหตุผลที่บอกว่าแปลกประหลาด เป็นเพราะอาซิ่วที่อุ้มไป๋คุยไว้ในอ้อมแขน และควบขี่หลังของหลิงไป๋ ขณะที่หมีน้อยขนเหลืองอาหมานนอนอยู่บนบ่าของอาซิ่ว จึงน่าสะดุดตายิ่งนัก
นอกจากนั้น ทั้งกลุ่มดูปกติ เหมิงเหวยเดินนำค่ายอัสนีม่วง โม่ย่าเดินนำค่ายผลึกเยือกแข็งคราม จากนั้นก็เป็นมู่ขุยกับเฉินซี
พวกเขานั่งอยู่บนเรือเหาะสมบัติที่มีความยาวหนึ่งพันจั้ง รูปลักษณ์เรียบง่ายไม่สะดุดตา แต่ความจริงมันคือสมบัติล้ำค่ายิ่ง โดยเฉินซีได้วาง ‘ข้อห้าม’ ไว้บนพื้นผิว ซึ่งมากพอที่จะต้านทานการโจมตีจากผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีได้
เรือเหาะสมบัติลำนี้คือสมบัติอมตะที่หลอมโดยหั่วโม่เลย ไม่ว่าจะเป็นวัสดุหรือเคล็ดการหลอมล้วนอยู่ในระดับสูงสุด แม้แต่เฉินซียังต้องชื่นชมหลังจากได้เห็น
ทว่าบรรดาศิษย์พี่และเสิ่นเหยียนไม่ได้เดินทางออกมาพร้อมกับเฉินซี พวกเขาเลือกที่จะอยู่ยอดเขาจรัสตะวันตก เมินเฉยต่อโลกภายนอก
ส่วนเหตุที่เสิ่นเหยียนถูกทิ้งไว้เช่นกัน เป็นเพราะการบ่มเพาะยังคงตื้นเขิน ต้องศึกษาบนเส้นทางวิถีอีกมาก ยังไม่ถึงเวลาที่จะสั่งสมประสบการณ์ จึงไม่ได้ถูกพาตัวมาด้วย
วูบ!
เรือเหาะสมบัติลำนี้พลันแหวกฝ่าหมู่เมฆ ก่อนหายเข้าไปในท้องนภาในชั่วพริบตา ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
เฉินซีกำลังศึกษาแผนที่ในมืออย่างตั้งใจอยู่ในห้องพัก เค้าโครงอันลึกล้ำกว้างใหญ่ถูกวาดไว้บนนี้ มีทั้งขุนเขา ลำธาร ทะเลสาบ เมือง หมู่บ้าน รวมถึงพื้นที่ต้องห้ามลึกลับ… ตำแหน่งที่แสดงทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสำคัญที่ควรรู้จักทั้งสิ้น
และในพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับทางใต้ของแผนที่ถูกทำเครื่องหมายด้วยรอยหมึกสีแดง เป็นตัวแทนของเมืองซึ่งถูกพวกต่างพิภพยึดครองไว้
เมื่อมองทั่วทั้งแผนที่ สถานที่ที่ถูกทำเครื่องหมายสีแดงเอาไว้ ล้วนกระจายอยู่รอบนอก จำนวนมีไม่มาก อย่างน้อยก็ไม่ถึงหนึ่งส่วนของพื้นที่บนแผนที่
แต่ในสายตาของเฉินซี ภาพนี้นับว่าน่าตกตะลึงนัก
เพราะแม้เป็นแค่จุดสีแดง แต่มันอาจเป็นตัวแทนของเมืองที่มีประชากรสิบล้านคน หรือนับเป็นกองกำลังชั้นหนึ่งได้เลยทีเดียว!
สถานที่เหล่านี้ล้วนถูกยึดครองโดยพวกต่างพิภพ ชะตากรรมของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในนั้นจึงพอจะจินตนาการได้
เฉินซีหยุดครุ่นคิด ก่อนจะจดจ่อบริเวณใกล้เคียงกับเทือกเขาหนามม่วง
ระยะทางระหว่างนิกายกระบี่เก้าเรืองรองกับเทือกเขาหนามม่วง อันเป็นตำแหน่งที่ตั้งของตระกูลไป๋นับว่าไกลยิ่งนัก หากยึดตามความเร็วในปัจจุบัน ต้องใช้เวลาในการเดินทางถึงเจ็ดวัน
ในขณะเดียวกัน มีทั้งเมือง ภูเขา ทะเลสาบ และหนองบึงอยู่มากมายนับไม่ถ้วน… รวมถึงนิกายและกองกำลังน้อยใหญ่อีกมากมายเช่นกัน
หากเป็นคนธรรมดา ต่อให้พยายามแทบตาย อาจจะไม่สามารถไปถึงเทือกเขาหนามม่วงได้ตลอดชีวิต แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นเฉินซี ด้วยการเคลื่อนย้ายมิติ ก็จะใช้เวลาเพียงหนึ่งวัน!
ทว่าเฉินซีไม่รีบร้อนถึงเพียงนั้น
เป้าหมายแรกในครั้งนี้คือการเดินทางไปยังเทือกเขาหนามม่วงของตระกูลไป๋ ตามหาไป๋หว่านฉิง เพื่อสอบถามเกี่ยวกับตระกูล ส่วนเป้าหมายที่สองคือเพื่อขัดเกลาการบ่มเพาะของคนหนุ่มสาวจากเผ่านรกขุมที่เก้า
แม้หนุ่มสาวพวกนี้จะทำการบ่มเพาะอย่างต่อเนื่อง มันก็ยังห่างชั้นอีกมากนัก และมีเพียงการต่อสู้จริงผ่านศึกนองเลือดเท่านั้นที่จะช่วยขัดเกลาฝีมือได้ ถึงตอนนั้นพวกเด็กหนุ่มเด็กสาวจากเผ่านรกขุมที่เก้า จึงจะสามารถเปลี่ยนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แท้จริงได้
ผ่านไปหนึ่งวัน
เฉินซีได้ตื่นจากการนั่งสมาธิ เขาเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถามว่า “มู่ขุย ตอนนี้ถึงไหนแล้ว?”
“นายท่าน พวกเราอยู่ห่างจากแคว้นต้าเยี่ยนราวแปดหมื่นลี้ขอรับ” มู่ขุยกางแผนที่ มองดูสักพัก ก่อนตอบกลับด้วยความเคารพ
หลายปีมานี้ รากฐานการบ่มเพาะของมู่ขุยพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว กอปรกับการตื่นขึ้นของพรสวรรค์อย่าง ‘จันทราคำรามแห่งความตาย’ จากสายเลือดของ ‘หมาป่าจันทรคราส’ ความแข็งแกร่งของเขาจึงห่างจากการบรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพีอีกนิดเดียวเท่านั้น
ความก้าวหน้าของระดับการบ่มเพาะนี้ แม้แต่เฉินซียังประหลาดใจ เขาจึงยินดีกับมู่ขุยเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน
หลังจากคำนวณอย่างละเอียดแล้ว มู่ขุยอยู่ข้างกายชายหนุ่มมาหลายสิบปี ย่อมสามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็นผู้ติดตามที่จงรักภักดี แต่ยามที่ปฏิบัติกับอีกฝ่าย เฉินซีไม่เคยตระหนี่ถี่เหนียว เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาเพิ่งมอบกระบี่เซียนให้มู่ขุยด้วยซ้ำ
หลายปีมานี้ เฉินซีรวบรวมกระบี่เซียนได้นับไม่ถ้วน แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นสมบัติอมตะธรรมดา เรียกได้ว่าเป็นของคุณภาพสูง มีเพียงชุดเกราะขนนกหมอกใต้พิภพที่พอจะมีค่า
แน่นอนว่ายังมีสมบัติบางส่วนที่นับว่ามีค่ามาก พวกมันเกินกว่าขอบเขตของสมบัติอมตะธรรมดา ยกตัวอย่างเช่นกระบี่ต้องห้ามสังหารปราชญ์ของเผ่าเทาเที่ย กระบี่เต๋าวิบัติที่เพิ่งได้รับมาจากชั้นที่เก้าสิบเก้าของถ้ำกระบี่ ระเบียนแดนมรณะ พู่กันพิพากษามาร… และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งมีมูลค่ามหาศาล ไม่อาจนับรวมกับสมบัติอมตะทั่วไปได้
ทว่ามีพวกมันหลายชิ้นที่เขายังไม่กล้าใช้ เช่นระเบียนแดนมรณะ พู่กันพิพากษามาร และกระบี่เต๋าวิบัติ เพราะภูมิหลังของพวกมันยิ่งใหญ่เกินไป เกี่ยวข้องกับเหตุต้นผลกรรมมหาศาล ทำให้ตอนนี้ไม่สามารถนำออกมาใช้งานได้
“แคว้นต้าเยี่ยนหรือ?”
เค้าโครงแผนที่อย่างละเอียดปรากฏขึ้นในใจของเฉินซีทันที ขณะเขาครุ่นคิดกับตัวเองว่า จะพักผ่อนอยู่ในแคว้นต้าเยี่ยนดีหรือไม่ ตอนนี้เอง เสียงอึกทึกพลันดังมาจากด้านนอกห้องพัก
“นั่นมันอันใดกัน?!”
“พวกคนจากต่างพิภพ การต่อสู้นองเลือดกำลังจะเกิดขึ้นที่นี่!”
“ดี พวกมันนับว่ารนหาที่โดยแท้!”
เมื่อได้ยินเสียงเหล่านี้ เฉินซีก็ลุกขึ้นทันที เขาเปิดประตูออกไปแล้วตรงไปที่หัวเรือ จึงพบว่าเหมิงเหวยมีสีหน้าจริงจัง กำลังจับจ้องท้องนภาที่อยู่ไกลลิบ และที่ด้านข้างเขาถูกห้อมล้อมไปด้วยกลุ่มหนุ่มสาวจากเผ่านรกขุมที่เก้า
ตู้มมม!
ในท้องนภาไกลลิบ การต่อสู้อันดุเดือดพลันอุบัติขึ้นที่นี่ ควันพวยพุ่งขึ้นท้องนภา ลำแสงร้อนแรงสาดส่อง ตามมาด้วยเสียงต่อสู้อันน่าเวทนา เสียงร้องโหยหวน รวมถึงเสียงกรีดร้อง
เรือเหาะสมบัติหยุดนิ่งทันที
เฉินซียืนอยู่บนหัวเรือ กวาดสายตามองดู พบว่าไกลออกไป มีกองทัพอยู่กลุ่มหนึ่งกำลังตรงเข้ามาหาพร้อมแผ่กลิ่นอายสังหาร
ทุกคนในกองทัพกลุ่มนี้ล้วนสวมชุดเกราะศึกสีดำ ควบขี่สัตว์ร้ายแปลกประหลาดที่มีสีดำสนิทรูปลักษณ์ดุร้าย กลิ่นอายรุนแรงน่าสะพรึงกลัว หากเฉินซีเข้าใจไม่ผิด พวกมันย่อมคือกองทัพของเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ!