บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 889 ล้างบางด้วยหนึ่งกระบวนท่า
บทที่ 889 ล้างบางด้วยหนึ่งกระบวนท่า
บทที่ 889 ล้างบางด้วยหนึ่งกระบวนท่า
อักขระยันต์ทะยานสู่ท้องฟ้า ส่องแสงแวววาวระยิบระยับที่ลึกล้ำอย่างยิ่ง และพวกมันก็ปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดิน
ในที่สุด เฉินซีก็รู้สึกกดดันอย่างหนักเมื่อเผชิญกับการโจมตีร่วมกันของผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพทั้งเจ็ด และสิ่งนี้ทำให้เขาพึงพอใจนัก ในขณะที่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของชายหนุ่มก็ไม่ได้ลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้นแทน
ผ่านมานานแล้วที่เฉินซีได้บรรลุขอบเขตเซียนปฐพี เขาต้องการทดสอบพลังฝีมือ แต่น่าเสียดายหลังจากที่ชายหนุ่มเข้าไปในถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็พลันเกิดขึ้น ทำให้เขาไม่มีโอกาสที่จะได้ทดสอบความแข็งแกร่งของตน
ตอนนี้ผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพระดับแม่ทัพทั้งเจ็ดที่อยู่ตรงหน้า คือหินลับฝีมือที่ดีที่สุดสำหรับเฉินซีอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากชายหนุ่มที่หล่อเหลาและผอมบางท่ามกลางพวกเขาที่มีความแข็งแกร่งเทียบได้กับขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้าแล้ว คนอื่น ๆ ล้วนมีพลังต่อสู้เทียบได้กับขอบเขตเซียนปฐพีระดับหก
ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดนี้คือตัวตนสูงสุดที่สามารถเป็นจ้าวเหนือหัวในดินแดนแห่งอื่นได้ และหากพวกเขารวมพลังกัน ก็จะสามารถกวาดล้างกองกำลังอันดับหนึ่งในแดนภวังค์ทมิฬได้
แต่ตอนนี้พวกเขากลับถูกเฉินซีตรึงไว้ ทำให้สีหน้าของทุกคนกลายเป็นหนักอึ้งและจริงจัง ไม่กล้ามองว่าชายหนุ่มเป็นคนธรรมดาอีกต่อไป!
อันที่จริงก็เพราะใครก็ตามที่มีระดับการบ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีระดับที่หนึ่ง จะสามารถต้านทานการโจมตีที่เทียบเท่ากับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหกได้หรือ? ยิ่งกว่านั้น มันไม่ใช่แค่การปะทะแบบหนึ่งต่อหนึ่ง หากแต่เป็นเจ็ดต่อหนึ่ง!
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะพบตัวประหลาดเช่นนี้ในพิภพต่าง ๆ!
การโจมตีของพวกเขาดุเดือดและรวดเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งยังถึงกับควักสมบัติวิเศษที่เป็นไพ่ตายออกมา
พวกเขาทุกคนล้วนมีความคิดแบบเดียวกันในใจ ‘หากเด็กคนนี้ไม่ถูกกำจัดในวันนี้ ด้วยพรสวรรค์ของอีกฝ่าย เขาจะต้องเติบใหญ่ในภพทั้งสามอย่างแน่นอน …คนคนนี้จะกลายเป็นภัยคุกคามต่อพวกเราทุกคน!’
ด้วยการตระหนักรู้นี้ ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดจากต่างพิภพซึ่งเป็นตัวตนอันน่าเกรงขามในระดับแม่ทัพ ต่างโจมตีอย่างโหดเหี้ยมและไร้ความปรานีมากยิ่งขึ้น พวกเขาหยุดให้ความสนใจกับสิ่งอื่น ๆ และมุ่งความสนใจไปที่การกำจัดเฉินซี!
แรงกดดันที่มีต่อชายหนุ่มจึงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ!
แต่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในดวงตาของชายหนุ่มกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับหินหลอมเหลวที่ลุกโชนและเดือดพล่านจนแทบพุ่งออกมาจากตัว เพื่อหมายมั่นจะเผาผลาญฟ้าดิน
เฉินซีไม่ยั้งมืออีกต่อไป และเคลื่อนย้ายมิติซ้ำ ๆ และแม้แต่ยันต์ศัสตราก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา จากนั้นชายหนุ่มก็ฟันออกไปด้วยปราณกระบี่รังสรรค์ที่อนุมานถึงความล้ำลึกไร้ขอบเขต!
ทันใดนั้น ฟ้าดินล้วนเต็มไปด้วยกระแสปราณกระบี่ที่ฟาดฟันออกไปทั้งแนวนอนและแนวตั้ง เสียงคำรามของกระบี่เป็นเหมือนกระแสน้ำถาโถม ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันทั่วทุกสารทิศในโลก อีกทั้งมันยังสั่นสะเทือนแก้วหูของทุกคนจนแทบแตก
ภายในรัศมีสองพันห้าร้อยลี้ ก้อนหินถูกบดขยี้จนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ในขณะที่ต้นไม้กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย และความว่างเปล่าก็ดูจะมีรอยแยกนับไม่ถ้วนฉีกออกราวกับโกรธเกรี้ยว ยิ่งกว่านั้น พื้นดินยังดูเหมือนกับถูกเทพเจ้าเหยียบย่ำอย่างรุนแรง ซึ่งเต็มไปด้วยหุบเหวนับไม่ถ้วนและรอยแตก
ไม่มีที่ใดที่ไม่ได้รับผลกระทบ!
ซึ่งแตกต่างจากผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ การเคลื่อนย้ายมิติของเฉินซีนั้นหลอมรวมกับเคล็ดปีกกำราบผกผัน ทำให้ร่างของเขาแฝงไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบล้ำลึก ซึ่งทำลายธาตุทั้งห้าในขณะที่เคลื่อนผ่านท้องฟ้า ด้วยสิ่งนี้ ทำให้สมบัติวิเศษและเคล็ดวิชาบ่มเพาะของขอบเขตเซียนปฐพีที่มีแก่นแท้ของเบญจธาตุไม่อาจสัมผัสตัวชายหนุ่มได้แม้แต่น้อย
ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในตำแหน่งใด สมบัติวิเศษเกือบทั้งหมดในโลกล้วนมีแก่นแท้ของธาตุทั้งห้า และนั่นหมายความว่า ตราบใดที่เฉินซีต้องการหลบ ก็ไม่มีสมบัติวิเศษใดที่สามารถกักขังเขาได้!
แต่สิ่งเดียวที่เฉินซีเสียใจก็คือ มหาเต๋าแห่งมิตินั้นล้ำลึกเกินไป แม้ว่าเขาจะบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีและเข้าใจศาสตร์ของการเคลื่อนย้ายมิติ ชายหนุ่มก็ไม่มีทางบรรลุความสมบูรณ์แบบในมหาเต๋า โดยไม่พิชิตทัณฑ์สวรรค์ระดับที่หก
แม้ว่าชายหนุ่มจะเรียนรู้โดยปราศจากอาจารย์ชี้แนะเมื่อครั้งที่เขาบรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพี และเข้าใจศาสตร์แห่งการเคลื่อนย้ายมิติ แต่หากไม่พิชิตทัณฑ์สวรรค์ระดับที่หก ก็ไม่มีทางที่เฉินซีจะบรรลุมหาเต๋าได้อย่างถ่องแท้!
ทัณฑ์สวรรค์ระดับที่หกเรียกว่าทัณฑ์สวรรค์แห่งความว่างเปล่า และสายฟ้าแห่งความว่างเปล่าที่ผ่าลงมาจากมัน จะอัดแน่นด้วยพลังที่ไร้ขอบเขตของการสั่นสะเทือนมิติ บดขยี้ และฉีกกระชาก ทำให้มันน่ากลัวยิ่ง
ตราบใดที่สามารถพิชิตมันได้อย่างปลอดภัย ความเชี่ยวชาญในพลังมิติของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีจะบรรลุถึงระดับใหม่ และหากทุ่มเทความเข้าใจแล้ว ผู้เยี่ยมยุทธ์จะเชี่ยวชาญมหาเต๋านี้ได้อย่างถ่องแท้ ซึ่งในเวลานั้น ไม่ต้องกล่าวถึงการเคลื่อนที่ในรัศมีสองพันห้าร้อยลี้ในชั่วพริบตา แม้แต่สองหมื่นห้าพันลี้หรือห้าแสนลี้ ก็เป็นไปได้ด้วยการเคลื่อนย้ายมิติ!
แต่มหาเต๋าแห่งมิติก็เป็นมหาเต๋าที่หายากเช่นกัน นอกจากการได้รับมันผ่านทัณฑ์สวรรค์แล้ว กุญแจสำคัญยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการเข้าใจของตนเอง และผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีบางคนก็ไม่สามารถบ่มเพาะให้ถ่องแท้ได้ แม้ว่าพวกเขาจะรับรู้ถึงมันแล้วก็ตาม
…มันหาได้มีเหตุผลอื่นใด นอกจากมันยากที่จะบรรลุ!
มหาเต๋าที่หายากเช่นนี้เป็นเหมือนมหาเต๋าแห่งการลืมเลือน มหาเต๋าแห่งการรังสรรค์ มหาเต๋าแห่งนิรันดร์ มหาเต๋าแห่งแสงสว่าง มหาเต๋าแห่งความมืด และอื่น ๆ อีกมากมาย มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีจะสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้
ปัง!
จื่อเย่าเยว่ถือไม้ตะพดสีดำสนิทดุจน้ำหมึก ซึ่งถูกแกะสลักด้วยลวดลายแปลก ๆ มากมาย เหมือนกับมังกรพิษที่ฟาดเข้าใส่เฉินซีจากทางด้านข้าง
พลังของไม้ตะพดดูจะเทียบได้กับสมบัติอมตะ และทันทีที่ถูกเหวี่ยง หนามเรียวแหลมจะระเบิดออกมาจากมัน ราวกับว่ามันถือเฉินซีเป็นผืนดินที่กว้างใหญ่ และหมายจะหยั่งรากลงในร่างกายของชายหนุ่ม
เฉินซีสะบัดมือออกทันทีที่เห็นสิ่งนี้ ยันต์เทวะไฟโลกันตร์บนยันต์ศัสตราปรากฏขึ้นและปกคลุมไปด้วยมหาสมุทรแห่งเปลวเพลิงที่มีขนาดมหึมา อีกทั้งมันยังเต็มไปด้วยอักขระยันต์ธาตุไฟของหยาง และเสียงคำรามอันปราศจากความยับยั้ง!
ตู้ม!
ไม้เท้าของจื่อเย่าเยว่ถูกทำลาย และถ้าไม่ใช่เพราะนางหลบได้ทันเวลา เปลวไฟที่ลุกโชนคงแผดเผาเส้นผมที่ยาวสยายของหญิงสาวจนมอดไหม้
“ทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อต่อสู้กับเจ้าเด็กนี่ซะ!” สีหน้าของจื่อเย่าเยว่กลายเป็นเคร่งขรึม เนื่องจากนางตระหนักดีว่าไม่สามารถยืดเยื้อการต่อสู้ได้อีก จนกระทั่งการต่อสู้ดำเนินมาถึงจุดนี้ ศัตรูที่อยู่ตรงหน้าของนางไม่เคยแสดงร่องรอยของความเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย และปราณเซียนของเขาก็ดูจะไม่มีสิ้นสุด ดังนั้นหากการต่อสู้ยังคงยืดเยื้อต่อไป ฝ่ายที่จะประสบเคราะห์ร้ายในที่สุดก็อาจจะเป็นพวกนาง!
“ฆ่า!” คนอื่น ๆ สังเกตเห็นสิ่งนี้มานานแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง และทุ่มพลังทั้งหมดที่มี สีหน้าของแต่ละคนดูโหดเหี้ยม ตั้งใจที่จะเผชิญกับการบาดเจ็บสาหัสเพื่อแลกกับการสังหารเฉินซี
ความกดดันที่เฉินซีเผชิญอยู่ก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง แต่มันก็ยังไม่ถึงขีดจำกัดของเขา ทั้งยังทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เพราะถึงอย่างไร เขาก็สามารถสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้าได้ ในขณะที่ยังอยู่ในขอบเขตสถิตกายา ตอนนี้เขาได้บรรลุขอบเขตเซียนปฐพีแล้ว ความแข็งแกร่งโดยรวมของชายหนุ่มจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และเขาก็แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนหลายเท่าตัว
ในขณะที่ผู้มีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ศัตรูนั้นอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหก แม้ว่าอีกฝ่ายจะได้เปรียบในด้านจำนวน แต่ก็ไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้มากนัก
“มันจะดีแค่ไหน หากมีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับเจ็ดอยู่ในหมู่พวกมัน?” ชายหนุ่มได้แต่ทอดถอนใจ จากนั้นเขาก็เลิกลังเลและตัดสินใจยุติการต่อสู้ที่คาดหวังใช้เป็นหินลับมีด
หากผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพเหล่านั้นได้รู้ว่า เฉินซีใช้พวกเขาเป็นเป้าซ้อมมือเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งมาตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ และไม่พอใจกับความแข็งแกร่งของพวกเขา มันก็คงจินตนาการได้ยากว่าพวกเขาจะรู้สึกเช่นไร…
แต่เมื่อเฉินซีหมายมั่นจะฆ่าพวกมัน แสงดาวเย็นยะเยือกพลันปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า มันทั้งวิเศษ เลือนราง และส่องประกายพร่างพราวที่งดงามราวกับความฝัน ขดตัวอยู่รอบผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพทั้งเจ็ดคนนั้น
แสงดาวดวงนี้ทั้งงดงาม ปราดเปรียว เลือนราง และบริสุทธิ์เสียจนผู้อื่นรู้สึกไม่อาจต่อต้านได้
แต่ในพริบตาถัดมา ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทั้งเจ็ดคนก็ตัวแข็งทื่อทันที พวกเขาเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจและความหวาดกลัวอย่างสุดจะพรรณนา
พรวด! พรวด! พรวด! พรวด!
เสียงอู้อี้ดังก้องออกมา ในขณะที่ทุกอณูบนร่างกายของผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพระดับแม่ทัพเหล่านั้นระเบิดเลือดออกมา ในพริบตาถัดมา พวกเขาได้สูญเสียพละกำลังทั้งหมด และร่วงหล่นจากกลางอากาศ ก่อนที่ร่างจะกระแทกลงกับพื้น
ในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเจ็ดคนที่สามารถกวาดล้างกองกำลังอันดับต้น ๆ ในแดนภวังค์ทมิฬ ได้เสียชีวิตลงเช่นนี้!
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ!
มันรวดเร็วจนเหนือจินตนาการของทุกคน รวดเร็วเสียจนเฉินซีไม่มีโอกาสจะลงมือ และมันก็รวดเร็วจนเลี่ยวฝานซึ่งมักจะลังเลอยู่ห่าง ๆ ว่าควรก้าวไปข้างหน้าดีหรือไม่ ไม่ทันได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น!
เฉินซีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็หันกลับมาและมองไกลออกไปอย่างดุดัน
แน่นอนว่า ชายหนุ่มเห็นอาซิ่วกำลังอุ้มไป๋คุยด้วยความรู้สึกผิดและตั้งใจจะหลบหนี ดูเหมือนนางจะสังเกตเห็นการจ้องมองของเฉินซี หญิงสาวจึงหันกลับมาพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่ใสซื่อและอ่อนหวานบนใบหน้างาม
หลังจากนั้น นางก็ลับไปจากสายตาของเฉินซีอย่างรวดเร็ว
เฉินซีทั้งขุ่นเคือง ขบขัน และตกใจในเวลาเดียวกัน ที่เขาขุ่นเคืองเพราะเขาไม่ได้มอบหมายหน้าที่ใด ๆ ให้แก่อาซิ่ว ทำให้นางฉวยโอกาสจากสิ่งนี้ และ ‘แย่งผลงาน’ ไปจากเขา
ส่วนที่เขารู้สึกขบขัน เพราะนางฆ่าพวกเขาอย่างตรงไปตรงมาและเด็ดขาด แต่นางกลับหนีไปราวกับเป็นหัวขโมย
สำหรับความตกใจของเขาก็เป็นเรื่องปกติ เพราะฝีมือที่ร้ายกาจของอาซิ่ว เฉินซีไม่อาจสังเกตเห็นว่านางลงมือยามใด แต่หญิงสาวกลับสามารถกำจัดผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพระดับแม่ทัพทั้งเจ็ดคนได้อย่างง่ายดาย!
“พวกมันตายหมดแล้วหรือ?” ในขณะเดียวกัน เลี่ยวฝานก็หายจากอาการตกใจ โดยคิดว่าทั้งหมดนี้ทำโดยเฉินซี ทำให้เจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
เฉินซีมองไปที่เลี่ยวฝานด้วยท่าทางแปลก ๆ จากนั้นเขาก็ให้ความสนใจกับสิ่งรอบข้างแทน
ในขณะนี้ ม่านของการต่อสู้ที่บริเวณนอกเมืองผาวารีได้ถูกรูดปิดลงแล้ว
ด้วยการมีส่วนร่วมของหลิงไป๋ มู่ขุย อาหมาน เหมิงเหวย โม่ย่าและเหล่าหนุ่มสาวจากเผ่านรกขุมที่เก้า กองทัพต่างพิภพที่ยิ่งใหญ่เกือบสามส่วนได้ถูกทำลายลง และผู้ที่หลงเหลืออยู่ต่างหลบหนีหลังจากเห็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับแม่ทัพเจ็ดคนล้มตาย ประกอบกับพวกมันมีจำนวนมากเกินไป จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไล่ล่าและฆ่าพวกมันทั้งหมด
…สิ่งนี้ยังได้พิสูจน์คำกล่าวหนึ่ง หากเผชิญหน้ากับพลังอำนาจที่เบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะศัตรูจะมีจำนวนมากมายเพียงใด พวกมันก็เป็นเหมือนต้นหญ้าที่มีชะตากรรมในการถูกเก็บเกี่ยวเท่านั้น
พื้นดินเต็มไปด้วยซากศพที่กองเป็นชั้น ๆ ในขณะที่เลือดไหลนองไปทั่วพื้นดิน ดูราวกับมีกองเลือดขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นที่ด้านนอกเมือง ทำให้กลิ่นคาวเลือดรุนแรงมาก จนแทบย้อมอากาศเป็นสีแดง อีกทั้งยังระคายจมูกเป็นอย่างยิ่ง
นี่เป็นฉากที่น่าสยดสยองอย่างแท้จริง
แต่ไม่มีผู้ใดเสียใจกับเรื่องนี้ และแม้แต่คลื่นเสียงโห่ร้องก็ยังดังสนั่นจากกำแพงที่ล้อมรอบเมืองผาวารี ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดีที่พวกตนมีชีวิตรอดจากภัยพิบัติ บางคนถึงกับตื่นเต้นจนน้ำตาไหลอาบแก้มเลยทีเดียว
นับตั้งแต่สมัยโบราณ พวกคนจากต่างพิภพถือเป็นศัตรูร่วมกันของภพทั้งสาม โดยเผ่าพันธุ์ต่างพิภพพวกนี้ทั้งโหดเหี้ยมไร้ความปรานี และพวกมันถือว่าสิ่งมีชีวิตในภพทั้งสามทั้งหมดเป็นดั่งชนพื้นเมืองที่ต่ำต้อย ซึ่งทุกครั้งที่พวกมันยึดครองพื้นที่ พวกมันจะสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น และพวกมันไม่เคยแสดงความเมตตาแม้แต่ครั้งเดียว
ทุกคนรู้อย่างชัดเจนว่า หากแคว้นต้าเยี่ยนถูกยึดครอง สิ่งเดียวที่รอพวกเขาอยู่คือความตาย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกคนถึงตื่นเต้นและไม่สามารถหักห้ามใจได้ เมื่อพวกเขาได้ชัยชนะอย่างน่าอัศจรรย์ในการต่อสู้ครั้งนี้ ด้วยมีเพียงคนที่เคยผ่านบททดสอบความเป็นและความตายเท่านั้น จึงจะเข้าใจว่าชีวิตนั้นมีค่าเพียงใด!
แม้ว่าม่านของการต่อสู้จะถูกรูดปิดลง แต่ในใจของเฉินซีกลับเกิดคำถามขึ้นแทน คำถามที่ว่านั่นก็คือ เหตุใดพวกคนต่างพิภพถึงต้องส่งกองทัพจำนวนมหาศาลมาโจมตีแคว้นต้าเยี่ยน?
ถึงอย่างไร แคว้นต้าเยี่ยนก็นับว่าธรรมดามากในแดนภวังค์ทมิฬ และมันคงไม่ใช่การเผชิญหน้าโดยบังเอิญ …ดังนั้นมันจึงอาจมีความลับบางอย่างอยู่เบื้องหลังการเดินทัพในครั้งนี้ก็เป็นได้!