บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 897 ถล่มกลับด้วยหมัดเดียว!
บทที่ 897 ถล่มกลับด้วยหมัดเดียว!
บทที่ 897 ถล่มกลับด้วยหมัดเดียว!
ม่านราตรีอันเป็นนิรันดร์ปกคลุมท้องฟ้า และเผยให้เห็นถึงพลังของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กุ้ยซูที่สั่นคลอนฟ้าดิน มันเหมือนกับกรงที่จุติลงมาจากสวรรค์ ซึ่งกักขังเฉินซีและคนอื่น ๆ จนไม่สามารถดิ้นรนขัดขืนได้
แต่ในขณะนี้ กำปั้นที่แผ่กระจายไปทั่วฟ้าดินกลับฉีกม่านราตรีอันเป็นนิรันดร์จนเกิดรูโหว่อย่างง่ายดาย ซึ่งพลังที่ปลดปล่อยออกมาก็ดูจะสามารถบดขยี้สวรรค์และโลกที่กว้างใหญ่ใบนี้ได้อย่างไม่ยากนัก
เมื่อเผชิญหน้ากับกำปั้นที่น่าสะพรึงกลัวอย่างน่าเหลือเชื่อนี้ ดวงตาของเฉินซีพลันเบิกโพลง ในขณะที่ใบหน้าของเขาแข็งค้าง จนลืมแม้แต่จะหายใจ
น่าเกรงขาม!
ทรงอำนาจ!
ดุดันไม่ย่อท้อ!
นี่คืออานุภาพของหมัด มันอาละวาดไปทั่วท้องฟ้าด้วยลักษณะที่ไร้การควบคุมและไร้ซึ่งเหตุผล
ใบหน้าที่หล่อเหลาดุจอิสตรีของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กุ้ยซูเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขากอดอกไว้ ในขณะที่มีเงาสีดำสนิทที่ดูคล้ายไม้กางเขนปรากฏขึ้น ตีตราอยู่บนท้องฟ้าที่ว่างเปล่า แผ่พลังแห่งการพิพากษาอันน่าสะพรึงกลัวออกกว้าง
ปัง!
เฉินซีรู้สึกว่าแก้วหูของเขากำลังจะระเบิด ในขณะที่กลิ่นอายในร่างแผ่กระจายไปทั่ว การปะทะกันครั้งนี้น่ากลัวเกินไป และทำให้ญาณเทวะอมตะของชายหนุ่มไม่สามารถตรวจจับสถานการณ์โดยรอบได้
ดังนั้นเขาจึงได้แต่พึ่งพาพาเนตรเทวะแห่งความจริงเพื่อสังเกตได้ราง ๆ
…เมื่อเผชิญหน้ากับกำปั้นที่ไร้เทียมทานนี้ ไม้กางเขนสีดำสนิทที่แม้มีขนาดเล็กเหมือนมด แต่แท้จริงแล้วมันกลับสามารถต้านทานการโจมตีนี้ ทำให้มันดูไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ใบหน้าที่หล่อเหลาของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กุ้ยซูพลันกลายเป็นสีแดงก่ำ จากนั้นมันก็กลายเป็นสีขาวซีด เห็นได้ชัดว่าการโจมตีครั้งนี้รุนแรงจนทำให้เจ้าตัวบาดเจ็บ
ครืน!
หมัดได้มลายหายไป ในขณะที่ม่านราตรีอันเป็นนิรันดร์ได้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับผลึกแก้ว ทำให้แสงตะวันปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ในที่สุดเฉินซีและคนอื่น ๆ ก็ได้หลุดพ้นจากพันธนาการ ทุกคนรู้สึกราวกับว่าได้กระโจนออกมาจากเหวอันมืดมิด ทำให้พวกเขาทั้งหมดถอนหายใจด้วยความโล่งอก มีเพียงซางจือเท่านั้นที่ยังคงเย็นยะเยือกและเงียบงันเช่นเมื่อก่อน และดูเหมือนเขาจะไม่ได้สังเกตทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้าง
ซูด! ซูด!
เสียงที่คุ้นเคยและแปลกประหลาดดังขึ้น ก่อนที่ชายวัยกลางคนผู้มีรูปร่างกำยำที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรงดุจเหล็กกล้าจะปรากฏตัวขึ้นในระยะสายตาของพวกเขา
ผมยาวยุ่งเหยิงของอีกฝ่ายถูกปล่อยลงมาบนไหล่กว้าง และหนวดเคราของเจ้าตัวก็ดกครึ้มเหมือนเข็มเหล็กมากมาย มือที่มีขนาดใหญ่เท่าใบธูปฤาษีของเขานั้นถือชามลายครามที่มีขนาดใหญ่เหมือนกะละมังไม้ และเขากำลังกลืนเส้นก๋วยเตี๋ยวที่อยู่
เสียงซดนั้นดังออกมาจากปากของเขา!
ชายวัยกลางคนผู้มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ซึ่งควรจะทรงพลังอย่างยิ่ง กลับแสดงออกถึงความเลินเล่อและไม่ใส่ใจอยู่ในขณะนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกแปลกประหลาดไม่น้อย
แต่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กุ้ยซูกลับไม่รู้สึกว่าสิ่งนี้แปลกประหลาด ดวงตาที่โค้งดุจกระบี่ของเจ้าตัวกลับค่อย ๆ หรี่ลง ก่อนจะเผยความรู้สึกอันหนักอึ้งออกมา
ปัง!
โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กุ้ยซูลงมืออย่างฉับพลัน มือของเขาดูจะสามารถคว้าจับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ขณะที่คว้าออก …ในช่วงเวลาถัดมา ดอกกุหลาบที่ดูจะถูกปกคลุมไปด้วยแสงเงาของม่านราตรีอันเป็นนิรันดร์ได้ผลิบานอย่างเงียบงันบนท้องฟ้า และดอกตูมที่กำลังผลิบานของมันกำลังเผชิญหน้ากับชายวัยกลางคนร่างกำยำ
ดูราวกับมีเส้นทางสู่นรกได้ถูกปูไว้ภายในดอกตูม และมันตั้งใจที่จะนำพาชายวัยกลางคนร่างกำยำนี้ไป
ผัวะ!
ชายวัยกลางคนร่างกำยำถือตะเกียบไว้ในมือขวา ในขณะที่ใช้ตะเกียบแทงออกไปอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้ความว่างเปล่าโดยรอบแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหมือนผลึกแก้ว ในขณะที่ดอกตูมของดอกกุหลาบก็แตกตามไปด้วย ทำให้กลีบดอกกุหลาบร่วงหล่นพร้อมกับกลิ่นหอมจาง ๆ ที่ลอยฟุ้งออกมา ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
สีหน้าของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กุ้ยซูยิ่งหนักอึ้งเมื่อเห็นสิ่งนี้ และดวงตาที่หรี่ลงของเขาก็เริ่มลุกโชนด้วยเปลวไฟ มือของเจ้าตัวโบกสะบัดไปมา ขณะที่กำลังควบแน่นอำนาจอันแปลกประหลาด ด้วยมันทะลุความว่างเปล่าบนท้องฟ้า ขณะที่ส่งเสียงหวีดหวิวออกมา
ในขณะเดียวกัน ชายวัยกลางคนร่างกำยำก็กินก๋วยเตี๋ยวในชามจนหมด จากนั้นเขาก็ตบท้องแล้วเรอออกมาด้วยความพึงพอใจ
เอิ้ก!
การเรอครั้งนี้ดูเป็นธรรมชาติและแสดงออกถึงความพึงพอใจ แต่ทันทีที่ถูกเปล่งออกมาจากปาก มันก็ดังก้องดุจพายุโหมกระหน่ำ ซึ่งบดขยี้ท้องฟ้าอย่างรุนแรง จนบังเกิดเป็นรอยแยกสีดำสนิทที่น่าหวาดหวั่น
ทว่าพลังฝ่ามือที่แปลกประหลาดและบิดเบี้ยวได้ถูกพายุทำลายจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ พร้อมกับเกิดเสียงที่ดังกึกก้อง ทิ้งไว้เพียงจุดแสงที่กระจายไปตามทาง!
ริมฝีปากของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กุ้ยซูกระตุก ก่อนที่อีกฝ่ายจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ หลังจากนั้นร่างของเจ้าตัวพลันสว่างวาบและผสานเข้ากับท้องฟ้า ทำให้ตัวคนหายไปทันทีอย่างไร้ร่องรอย
ดูเหมือนจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กุ้ยซูผู้นี้จะสัมผัสถึงพลังที่แท้จริงของชายวัยกลางคนร่างกำยำได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงถอนตัวออกมาอย่างเด็ดเดี่ยวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“บังอาจทำตัวต่ำช้าในดินแดนของบิดาผู้นี้ แล้วยังคิดจะจากไปตามอำเภอใจอีกหรือ? นี่เจ้าได้คำยินยอมจากบิดาผู้นี้แล้วหรือยัง?”
เพล้ง!
ชายวัยกลางคนร่างกำยำโยนชามลายครามในมือทิ้ง และใช้แขนเสื้อเช็ดปากก่อนจะก้าวไปข้างหน้า
แรงกดดันของเขาเหมือนกับพยัคฆ์ดุร้ายที่หลุดจากกรงขัง เช่นเดียวกับเสียงฝีเท้าที่หนักราวกับกลองศึกซึ่งสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งท้องฟ้า ทำให้ความว่างเปล่าโดยรอบไม่สามารถทนต่อฝีเท้านี้ได้และระเบิดออก ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าที่ทำให้หูหนวกก็ดังก้องไปทั่วรัศมีสองหมื่นห้าพันลี้ มันเหมือนกับภูเขาไฟที่ปะทุอย่างกะทันหัน หรือสัตว์ร้ายบรรพกาลที่ตื่นขึ้นจากพงศาวดารแห่งกาลเวลา
แกร็ก!
หลังจากเดินครบเก้าก้าว กระดูกสันหลังของชายวัยกลางคนร่างกำยำก็บิดคด ก่อนที่หมัดของเขาจะชกออกไป
หมัดนี้เรียบง่ายอย่างที่สุด และมันก็ไม่ฉูดฉาดเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเฉินซีจ้องมองไปที่มัน ความรู้สึกหนาวเย็นและความหวาดกลัวที่อธิบายไม่ได้พลันผุดขึ้นในใจของเขา ทำให้เสื้อผ้าของชายหนุ่มเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเยียบเย็น!
เฉินซีรู้ดีว่า หากเป็นตัวเองที่เผชิญหน้ากับหมัดนี้ เพียงแค่พลังหมัดเสี้ยวเดียวย่อมเพียงพอจะทุบตัวเขาให้กลายเป็นเศษเนื้อได้อย่างง่ายดาย!
ห่างออกไปสองหมื่นห้าพันลี้
ทันใดนั้น ร่างของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กุ้ยซูก็เซออกมาจากห้วงมิติ ในขณะที่คอของเขาสั่นสะท้าน ในที่สุด อีกฝ่ายก็ไม่สามารถอดกลั้นได้ ทำให้เลือดสีแดงสดกระอักออกมาจากปากอย่างไม่อาจควบคุม
ทันใดนั้น จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กุ้ยซูก็หันกลับมาด้วยสายตาที่ใสกระจ่าง เฉียบคม และเย็นยะเยือกยิ่ง ซึ่งดูราวกับกำลังจ้องไปยังชายวัยกลางคนที่อยู่ห่างออกไปสองหมื่นห้าพันลี้
“หากพลังบ่มเพาะของข้าฟื้นฟูดีแล้ว ข้าจะล้างบางตระกูลของเจ้าอย่างแน่นอน!” เสียงของอีกฝ่ายหนักแน่นดุจเหล็กกล้าซึ่งเต็มไปด้วยน้ำเสียงแห่งการพิพากษา ดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน ในขณะที่ดังก้องอยู่ในหูของเฉินซีและคนอื่น ๆ ในเวลาเดียวกัน
“บัดซบ! มันหนีไปแล้ว!” ชายวัยกลางคนก็ได้ยินเช่นกัน เขาก็ยักไหล่ด้วยท่าทางดูถูกเหยียดหยาม ก่อนจะถ่มน้ำลายออกมาอย่างรุนแรง ทำให้เกิดการระเบิดจนกลายเป็นหลุมในท้องฟ้า!!
เฉินซีและคนอื่น ๆ จ้องมองไปที่ชายวัยกลางคนร่างกำยำ พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าชายผู้มีรูปร่างกำยำและหยาบคายเช่นนี้จะมีพลังต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวได้อย่างไร
“โอ้ ข้าคือไป๋จิงเฉิน หากยึดตามลำดับอาวุโสแล้ว เจ้าควรเรียกข้าว่าท่านลุง แน่นอน มันไม่สำคัญว่าเจ้าจะเรียกข้าอันใด และเจ้าสามารถทำได้ตามที่เจ้าต้องการ” จู่ ๆ ชายวัยกลางคนร่างกำยำก็ปรากฏตัวขึ้นบนเรือสมบัติและนั่งบนเก้าอี้ ก่อนจะหยิบเหยือกสุราบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นเขาก็กระดกเข้าปากสองสามคำอย่างรวดเร็ว แล้วจึงตบปากด้วยความพึงพอใจพร้อมกล่าวว่า “สุรานี้นับว่าไม่เลว แต่มันแทบจะสูญเสียรสชาติไปแล้ว”
ไป๋จิงเฉิน!
โดยปกติแล้ว มีไป๋จิงเฉินเพียงคนเดียวในโลกนี้ และอีกฝ่ายคือผู้นำแห่งตระกูลไป๋ของเทือกเขาหนามม่วง นี่คือชายผู้เต็มไปด้วยสีสันแห่งตำนาน เขาทั้งเอาแต่ใจ หยิ่งยโส และหยิ่งผยองมาตั้งแต่เมื่อยังเยาว์ …คนผู้นี้เคยทุบตีเหล่าศิษย์ของนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิบ และตบสั่งสอนเหล่าศิษย์ของนิกายอสูรทั้งหก ถึงขนาดที่เคยถูกจัดให้อยู่ในรายชื่อล่าหัวของแดนภวังค์ทมิฬ และถูกกองกำลังนับไม่ถ้วนร่วมกันไล่ล่า แต่คนคนนี้ก็ยังใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
ต่อมาเขายังคงเอาแต่ใจ แต่เจ้าตัวได้เปลี่ยนเป้าหมายและระบายเรื่องนี้กับพวกต่างพิภพ ครั้งหนึ่งคนคนนี้เคยล่วงล้ำเข้าไปในโลกของพวกต่างพิภพเพียงลำพัง และฆ่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพไปนับไม่ถ้วน ก่อนที่จะกลับมาได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเรื่องนี้ได้ทำให้เกิดความปั่นป่วนอย่างมากในแดนภวังค์ทมิฬ!
ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา เขาเริ่มทำตัวต่ำต้อย และอยู่บนเทือกเขาหนามม่วงตลอดเวลา โดยอยู่ห่างจากการถูกพบเห็น แต่ตราบใดที่ชื่อไป๋จิงเฉินถูกเอ่ยถึง แม้แต่ฝ่ายตรงข้ามที่เกลียดชังเขาที่สุดก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากชื่นชมความกล้าหาญและความเอาแต่ใจของคนคนนี้
ตราบใดที่ศัตรูดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่ ป่านนี้คนคนนั้นก็คงจะกลายเป็นปรมาจารย์ของนิกายหรือบรรลุสู่การเป็นเซียนสรรค์ที่ท่องไปอย่างอิสระในภพเซียนแล้ว!
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ตัวตนที่ถูกเลือกเป็นคู่ต่อสู้ของไป๋จิงเฉินนั้นย่อมมีพรสวรรค์และความแข็งแกร่งอันยอดเยี่ยม
เฉินซีย่อมเคยได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน นอกจากนี้ เขายังรู้ว่าไป๋จิงเฉินนั้นเป็นพี่ชายของไป๋หว่านฉิงอีกเช่นกัน!
“ท่านลุงไป๋ ขอบคุณที่ท่านยื่นมือช่วยเหลือในวันนี้” เฉินซีป้องมือคำนับอย่างเคร่งขรึม
ไป๋จิงเฉินเพียงโบกมืออย่างสบาย ๆ และกล่าวว่า “พอแล้ว ข้าแค่ไม่อยากให้ผู้ใดบังอาจรังแกเจ้าในดินแดนของข้าเท่านั้น”
เฉินซีเพียงยิ้ม เขาสังเกตได้ว่า ชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำและมีท่าทางที่สบาย ๆ ดูเหมือนไม่ใส่ใจต่อสิ่งใด แท้จริงแล้วมีอุปนิสัยที่ไร้กังวลจนแทบจะฟั่นเฟือน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนประเภทที่สนใจขนบธรรมเนียม
“ข้ารู้ว่าเจ้ามาเพื่อหาเบาะแสเกี่ยวกับบิดามารของเจ้า ข้าจะไม่ห้ามเจ้า แต่ข้าควรจะกล่าวอย่างไรดี…” ไป๋จิงเฉินเกาศีรษะของเขาที่ปกคลุมไปด้วยผมกระเซิงและหัวเราะเบา ๆ “ถ้าอยากได้สิ่งใด ก็ต้องได้รับการยอมรับก่อน จริงหรือไม่?”
คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้น “การยอมรับหรือ?”
“ถูกต้อง” ไป๋จิงเฉินกล่าวในขณะที่เขาพยักหน้า
“ข้าจะได้รับการยอมรับได้อย่างไร?” เฉินซีกล่าวต่อ
“ความแข็งแกร่ง!” ไป๋จิงเฉินประเมินเฉินซีตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะพยักหน้า “การบ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีระดับที่หนึ่ง แต่พลังต่อสู้ของเจ้ากลับน่ากลัวยิ่งกว่า เจ้าแทบจะสามารถผ่านไปได้ แต่ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้ เพราะกฎของตระกูลไป๋นั้นยึดถือความแข็งแกร่งเป็นหลักสำคัญ ไม่เช่นนั้นแล้วคำพูดของผู้นำตระกูลอย่างข้าจะถูกมองว่าเป็นเรื่องผายลม!”
แม้คำกล่าวของเขาจะหยาบคายมาก แต่ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงกฎของตระกูลไป๋ และกฎนี้คือความแข็งแกร่ง เมื่อความแข็งแกร่งของใครคนหนึ่งแข็งแกร่งเพียงพอ เมื่อนั้นผู้ใดก็สามารถทำลายกฎและตั้งกฎขึ้นมาใหม่ได้!
“แน่นอน ความแข็งแกร่งของข้าในตระกูลยังนับได้ว่าไม่เลว ดังนั้นข้าจึงยังคงเป็นผู้นำมาจวบจนปัจจุบัน” ไป๋จิงเฉินนั่งขัดสมาธิด้วยสีหน้าพึงพอใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าควรทำอย่างไรดี?” เฉินซีถามต่อไป เพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าการที่ตัวเขาจะได้พบกับไป๋หว่านฉิง เขาจะต้องได้รับการยอมรับจากตระกูลไป๋เสียก่อน ซึ่งมันก็ถือเป็นเรื่องที่ชายหนุ่มไม่สามารถปฏิเสธได้และทำได้เพียงยอมรับมัน
เช่นเดียวกับที่ไป๋จิงเฉินกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ หากเขาต้องการได้รับบางสิ่ง อย่างน้อยที่สุดเขาจะต้องได้รับการยอมรับเสียก่อน
“เจ้าจะได้รู้เมื่อเจ้าไปถึงที่นั่นแล้ว” ไป๋จิงเฉินโบกมือ ก่อนจะจ้องมองไปยังซางจือ จากนั้นเขาก็ตรวจดูมันชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวด้วยความชื่นชม “ไม่น่าแปลกใจเลยที่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ถูกส่งตัวมา ดังนั้นกลายเป็นว่าเจ้าได้สิ่งนี้ไป”
หัวใจของเฉินซีพลันบีบรัดแน่น ‘ตัวตนของซางจือถูกจำได้แล้วหรือ?’
“ไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก มันเป็นแค่หุ่นวิญญาณศึกไม่ใช่หรือ? ข้าได้ฆ่าไอ้พวกเผ่าช่างฝีมือวิญญาณมานับไม่ถ้วนยามที่อยู่รอบนอกของสามภพเมื่อหลายปีก่อน แล้วข้าจะไม่รู้จักมันได้อย่างไร” ไป๋จิงเฉินชำเลืองมองเฉินซี ราวกับว่าเขาเข้าใจสิ่งที่ชายหนุ่มกังวล จากนั้นจึงกล่าวว่า “แน่นอน หุ่นวิญญาณศึกที่เจ้าได้รับนี้พิเศษมาก ถ้าไม่ใช่เพราะข้าฆ่าช่างฝีมือวิญญาณไปหลายคน ข้าคงแทบจำมันไม่ได้”
เฉินซีเข้าใจความนัยของมันในทันที
“ข้าต้องขอตัวก่อน สหายน้อย แต่ข้าขอเตือนเจ้าไว้อย่าง มีคนมากมายในตระกูลไป๋ที่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการฆ่าเจ้า ดังนั้นเจ้าต้องระวังตัวไว้ แน่นอน ข้ายินดีต้อนรับเจ้าที่จะเป็นแขกในตระกูลไป๋ของข้า” ไป๋จิงเฉินยืนขึ้นและยกยิ้ม ในขณะที่เขาตบไหล่เฉินซี จากนั้นก็ก้าวออกจากเรือสมบัติและหายไป
“ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการฆ่าข้าหรือ? ดูเหมือนว่าการที่จะเป็นที่ยอมรับของตระกูลไป๋จะไม่ราบรื่นอย่างที่ข้าคาดไว้…” เฉินซีพึมพำ แต่สายตาที่ลึกและสงบนิ่งกลับเผยให้เห็นแววเย็นเยือก