บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 899 ยั่วยุ
บทที่ 899 ยั่วยุ
บทที่ 899 ยั่วยุ
ไป๋เจวี้ยน ไป๋หง และคนอื่น ๆ…
หลังจากไป๋กู้หนานแสดงภาพในแผ่นหยกจบ เฉินซีก็จดจำรูปลักษณ์และข้อมูลของทั้งห้าคนนี้ได้ขึ้นใจ
ตัวชายหนุ่มต้องยอมรับเลยว่า แม้จะไม่เคยพบกันมาก่อน แต่เขาก็พอจะเข้าใจลักษณะและนิสัยของทั้งห้าคนนี้บ้างแล้ว …พวกเขาถือเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขาม มีประสบการณ์ต่อสู้ที่ยากจะหาใครเทียบเคียงได้!
หลังจากครุ่นคิดอย่างเงียบงันสักพัก เฉินซีพลันถามว่า “พวกเขาแข็งแกร่งเหมือนกับผู้อาวุโสใหญ่ไป๋เฉิงหรือไม่?”
ไป๋กู้หนานพยักหน้า ตอบว่า “เจ้าต้องระวังให้ดี ลูกหลานตระกูลไป๋ของข้าให้ค่ากับความแข็งแกร่งมากที่สุด พวกเขาแต่ละคนหาญกล้ายิ่ง แตกต่างจากพวกโง่ในโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง”
เฉินซีพยักหน้า สีหน้ายังคงสงบ
หากเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีระดับที่หนึ่งคนอื่น เมื่อทราบว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งห้าที่ล้วนอยู่เหนือกว่าขอบเขตเซียนปฐพีระดับสามต้องการจะทำร้ายเขา พวกเขาย่อมหวาดกลัวจนหัวหดในทันที
แต่เฉินซีหาใช่แบบนั้นไม่ ตอนอยู่ในขอบเขตสถิตกายา เขาได้ฟาดฟันผู้เยี่ยมยุทธ์เซียนปฐพีมามากมาย สังหารสัตว์ประหลาดเฒ่าขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้ามาแล้วคนหนึ่ง และตอนนี้ตัวเขาก็ได้บรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพีแล้ว ดังนั้นจะหวาดกลัวสถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างไร?
แต่สิ่งที่ทำให้เฉินซีสงสัยก็คือ การโค่นล้มคนทั้งห้าจะสามารถทำให้ตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วงยอมรับเขาหรือไม่เท่านั้น!
ซู่!
ขณะสนทนา เรือเหาะสมบัติได้เดินทางมาถึงเทือกเขาหนามม่วงอันกว้างใหญ่แล้ว
ไกลออกไป เฉินซีได้เห็นเข้ากับเทือกเขาอันไร้ขอบเขต มันกว้างกว่าหมื่นลี้ แทบจะเหมือนกับที่ราบขนาดใหญ่ท่ามกลางยอดเขา
เหนือหุบเขา มีปราณสีม่วงพลุ่งพล่านราวกับหมู่เมฆสีม่วงกำลังเคลื่อนตัว แผ่ปราณเซียนอันเรียบง่ายและยิ่งใหญ่ออกมา
“หุบเขานั่นมีนามว่าหุบเขาวีรบุรุษ ในสมัยบรรพกาล มีดาวดวงหนึ่งถูกผู้ยิ่งใหญ่ในตระกูลข้าโค่นล้ม ก่อนที่มันจะตกลงสู่พื้น ทำให้กำเนิดหุบเขาลูกนี้ขึ้นมา ซึ่งต่อมาพื้นที่แห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ซึ่งเหมาะกับการบ่มเพาะไป และนับแต่นั้นมา ที่แห่งนี้จึงกลายเป็นดินแดนบรรพบุรุษของตระกูลไป๋”
ไป๋กู้หนานชี้ไกลออกไป พลางเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ ดวงตาทอประกายเจิดจ้า
โค่นล้มดวงดาว!
เฉินซีไม่แปลกใจกับสิ่งนี้ เพราะยามที่เขาได้สืบทอดอำนาจเต๋าของจักรพรรดิมด ชายหนุ่มก็ได้เฝ้าดูการผงาดของมดตนหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้เถลิงขึ้นเป็นจักรพรรดิด้วยการโค่นล้มดวงดาวใหญ่เหนือท้องนภา ด้วยร่างกายอันต่ำต้อยไร้ค่า!
“ไปเถอะ ไปข้างในกัน”
ไป๋กู้หนานคุ้นเคยกับเส้นทางดี จึงเดินนำกลุ่มเฉินซีมุ่งหน้าสู่หุบเขาวีรบุรุษ
ก่อนจะเข้าใกล้ ชายหนุ่มก็พบว่าเบื้องหน้าหุบเขาถูกปกคลุมด้วยหมอกสีม่วงเป็นลูกคลื่น ขณะที่เหนือประตูหินงดงามคือบันไดหินที่สร้างขึ้นชั้นแล้วชั้นเล่าในความว่างเปล่า
หลังจากเดินไปตามบันไดหิน จนกระทั่งผ่านพ้นหมอกสีม่วงหนาแน่น เฉินซีพลันสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คล้ายสวรรค์และโลกเปิดกว้าง ไร้ซึ่งพรมแดน ราวกับมาถึงโลกอีกใบหนึ่ง
อากาศสดชื่นบริสุทธิ์เต็มไปด้วยปราณเซียนพัดพาเข้าปะทะใบหน้าของเขา ขุนเขาธารางามงดอยู่ทั่วทุกหนแห่ง น้ำพุและน้ำตกไหลเอื่อย ต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี สิงสาราสัตว์มีมากมาย สมบัติล้ำค่ามีอยู่นับไม่ถ้วนกระจายอยู่ทุกหัวมุม …มันคือดินแดนบริสุทธิ์นอกโลกอย่างแท้จริง
ณ ใจกลางหุบเขา ตำหนักจำนวนมากถูกสร้างขึ้นมา
โดยเฉพาะภายในหุบเขาลึกที่มีกลิ่นอายทรงพลังเลือนรางแผ่ออกมา ราวกับมีคนผู้หนึ่งกำลังสำแดงพลังลึกล้ำ ทำการเปิดรูในห้วงมิติ
ที่แห่งนี้คือแดนเซียนอย่างแท้จริง!
เท่าที่เฉินซีมองเห็น เขาพบว่าภายในหุบเขาวีรบุรุษ ไกลออกไปในรัศมีหนึ่งหมื่นลี้เต็มไปด้วยปราณเซียน… ซึ่งหากฝึกฝนที่นี่สักหนึ่งปี อาจจะเทียบเท่ากับการฝึกฝนที่โลกภายนอกถึงสิบปี!
“โถงรับรองแขกอยู่ข้างหน้านี่เอง ข้าจะช่วยเจ้าจัดการเรื่องที่พักก่อน และพรุ่งนี้เช้าค่อยไปเข้าพบผู้นำตระกูลกับเหล่าผู้อาวุโส” ไป๋กู้หนานชี้ไกลออกไปพลางอธิบาย
เฉินซีพยักหน้า เขามาถึงตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วงแล้ว แต่ชายหนุ่มกลับสงบนิ่งกว่าปกติ ซึ่งคงเพราะเจ้าตัวรู้ดี ว่าหากยังไม่ได้รับการยอมรับจากตระกูลไป๋ แม้จะอยากรีบพบกับไป๋หว่านฉิงเพียงใด มันก็เป็นไปไม่ได้!
และแทนที่จะคิดเรื่องนี้ สู้คิดเกี่ยวกับวิธีเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า ‘การยอมรับ’ จากตระกูลไป๋ดีกว่า
หลังจากมาถึงอาณาเขตของตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วง หลิงไป๋ เหมิงเหวย และโม่ย่ายังคงมีกำลังใจตกต่ำ พวกเขายังคงปิดปากเงียบ ความหมองหม่นและกังวลที่สั่งสมอยู่ในใจไม่ได้รับการคลี่คลาย …ในสภาพนี้ เฉินซีย่อมไม่อาจไปเข้าพบกับตัวตนระดับสูงของตระกูลไป๋ได้
เพราะถึงอย่างไร ตอนนี้เขาก็ไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกแล้ว ก่อนที่จะทำอะไร ชายหนุ่มต้องคิดถึงความปลอดภัยและท่าทีของทุกคนรอบข้างเสียก่อน
“สู้!”
“สู้!”
“สู้!”
ในตอนนี้ เสียงตะโกนราวกับฟ้าผ่าพลันดังมาจากเบื้องล่างของหุบเขา เสียงอันเรียบง่ายนี้ดังกึกก้องราวกับหอกตั้งตรงค้ำยันสวรรค์ ราวกับภูเขาไฟนับแสนที่กำลังปะทุพร้อมกัน
ผ่านไปสักพัก กระแสอากาศภายในรัศมีหนึ่งพันลี้ ทั้งเสียดสี เคลื่อนตัว และสั่นไหว ทำให้โลกกลับตาลปัตร ราวกับอึดใจต่อมา กองกำลังนับพันจะพุ่งทะยาน พร้อมเหยียบย่ำขุนเขาลำธารจนสิ้น!
ผลกระทบจากสิ่งนี้ทำให้พวกเฉินซีตัวสั่นสะท้าน และพากันก้มมองต่ำ
ที่ด้านล่างคือสนามฝึกซึ่งสร้างจากหินขนาดใหญ่ ปกคลุมพื้นที่หนึ่งพันหมู่ และตอนนี้มีกลุ่มผู้บ่มเพาะกำลังฝึกฝนอยู่ข้างใน
ศิษย์แต่ละคนล้วนเปี่ยมไปด้วยปราณ กลิ่นอายแก่กล้า ระหว่างฝึกก็ส่งเสียงไปมาราวกับสัตว์ร้ายโบราณ ดูกล้าหาญดุร้าย เปี่ยมด้วยพละกำลังหาใดเปรียบ
เสียงตะโกนที่เหมือนกับฟ้าผ่าจากสวรรค์ทั้งเก้าเมื่อครู่มาจากคนเหล่านี้ เช่นเดียวกับจิตวิญญาณในการต่อสู้ที่เอ่อล้นออกมาจนสัมผัสได้ ทำให้คนหนุ่มสาวเผ่านรกขุมที่เก้าพลอยได้รับผลกระทบ โลหิตของพวกเขาพลุ่งพล่านขึ้นมา
มีเพียงเฉินซี เหมิงเหวย โม่ย่า และพวกหลิงไป๋ที่ไม่ได้รับผลจากสิ่งนี้ เพราะถึงอย่างไร ในบรรดาศิษย์พวกนั้น ผู้ทรงพลังมากที่สุดก็มีฐานการบ่มเพาะไม่มากไปกว่าขอบเขตจุติ ดังนั้นกลิ่นอายดังกล่าวจึงไม่มากพอที่จะส่งผลต่อพวกเขาได้
ทว่าความรุ่งโรจน์ของตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วง ก็สามารถเห็นได้จากตรงนี้อย่างชัดเจน!
“ไป๋กู้หนาน! เจ้าเริ่มทำตัวเกียจคร้านอีกแล้วหรือ? ข้าต้องพูดอีกกี่ครั้งว่าเจ้าทำตัวขี้เกียจเกินไปแล้ว ไม่ตั้งใจบ่มเพาะ เอาแต่วิ่งเล่นที่โลกภายนอก น่าเสียดาย ชื่อเสียงของตระกูลไป๋ต้องไม่มัวหมองเพราะเจ้า และพวกข้ายังต้องมาตามล้างตามเช็ดให้เจ้าอีก เมื่อใดเจ้าถึงจะเลิกทำตัวขี้ขลาดเสียที?”
ทันทีที่สิ้นเสียงดังกล่าว ได้มีเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น ก่อนชายที่มีร่างสูงเก้าฉื่อคนหนึ่งจะมาปรากฏตรงเบื้องหน้าของไป๋กู้หนาน
ชายร่างกำยำผู้นี้มีผมยาวถึงบ่า ดวงตาทอประกายเจิดจ้า ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า เผยมัดกล้ามที่เหมือนกับเหล็กกล้า คล้ายกับเต็มไปด้วยพลังที่พร้อมจะระเบิดออกมา ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายแข็งแกร่ง ดุร้าย และสงบนิ่งออกมา
เฉินซีหรี่ตา เขาจำคนผู้นี้ได้ อีกฝ่ายคือหนึ่งในห้ารายนามที่ไป๋กู้หนานบอกให้ระวังไว้ก่อนหน้านี้… ไป๋ทั่ว!!
คนผู้นี้มีการบ่มเพาะในขอบเขตเซียนปฐพีระดับสาม เกิดมาพร้อมกับพลังกายสูงล้ำ บ่มเพาะบนเส้นทางขัดเกลากายา ปราณจ้าววิญญาณถูกเปลี่ยนเป็นปราณจ้าววิญญาณอมตะ และเคยฉีกกระชากหมีเกราะน้ำแข็งขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้าด้วยมือเปล่ามาแล้ว นับว่าเป็นคนที่ก้าวร้าวและทรงพลังยิ่งนัก!
ไป๋กู้หนานประเมินไว้ว่า อีกฝ่ายบ้าบิ่น มากด้วยพละกำลัง และมีความคิดอ่านที่ซื่อตรงเรียบง่าย
เมื่อเห็นไป๋ทั่วปรากฏกายในตอนนี้ ทั้งยังสร้างความอับอายด้วยการกล่าวหาว่าเป็นคนขี้ขลาด สีหน้าของไป๋กู้หนานจึงเคร่งขรึมขึ้น ก่อนตวาดว่า “ไป๋ทั่ว! เลิกขวางทางข้าเสียที!”
ชายร่างกำยำนามว่าไป๋ทั่วกอดอก เผยสายตาคมปลาบ มองตรวจสอบเฉินซีและคณะโดยไม่มีความตั้งใจจะหลีกทางให้
ทว่าเมื่อเห็นกลุ่มหนุ่มสาวที่มาจากเผ่านรกขุมที่เก้าเข้า คิ้วเจ้าตัวพลันขมวดแน่น เผยความประหลาดใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ไป๋กู้หนาน เจ้าย่อมไปได้ แต่พวกเขาไปไม่ได้”
ไป๋ทั่วหัวเราะหึ ๆ ชี้ไปที่พวกเฉินซีอย่างไร้มารยาท “ถ้าอยากเป็นแขกของตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วงของข้า ก็ต้องสำแดงพลังเสียก่อน นี่คือกฎ ข้าคิดว่าเจ้ารู้ดีกว่าใครนะ ไป๋กู้หนาน”
ใบหน้าของไป๋กู้หนานกลายเป็นมืดมน ขณะกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ทำไม พอเห็นแขกผ่านประตูเข้ามาก็อยากกระโดดโลดเต้นขึ้นมาหรือไร? ไป๋ทั่ว ข้าขอเตือนเจ้านะว่าอย่าทำตัวงี่เง่าดีกว่า หากไป๋เจวี้ยนทราบเข้า ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องมาฆ่าเจ้าแน่!”
ไป๋ทั่วหัวเราะ เผยฟันสีขาวแหลมคมเต็มปาก จับจ้องไป๋กู้หนานด้วยสายตาเหยียดหยัน กล่าวว่า “ไป๋กู้หนาน ข้าขอเตือนเจ้าเช่นกัน …หากเจ้ายังหาว่าข้าทำตัวงี่เง่าอีก อย่าโทษข้าที่ลงโทษเจ้า การบ่มเพาะของเจ้าในตอนนี้อยู่ที่ขอบเขตสถิตกายาเท่านั้น ส่วนข้าไป๋ทั่วอยู่ขอบเขตเซียนปฐพี! ต่อให้บรรพบุรุษมากล่าวโทษภายหลัง เขาก็คงโทษเจ้าที่ไร้ประโยชน์เกินไปนั่นล่ะ!”
ใบหน้าของไป๋กู้หนานหมองหม่นไม่มั่นใจ ตัวคนดูสับสนเล็กน้อย คนผู้นี้ปกติจะนิ่งเฉยไม่ยุ่งเกี่ยว มาวันนี้กลับเผยเขี้ยวเล็บข่มขู่ หรือว่า… สิ่งที่เขาเห็นตรงหน้าล้วนเป็นภาพมายา?
“โห พลังแบบใดที่เจ้าอยากลองเล่า?” เฉินซีเอ่ยถาม
“แน่นอนว่า…” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ร่องรอยความเจ้าเล่ห์พลันปรากฏบนใบหน้าอันหยาบกร้านของไป๋ทั่ว อีกฝ่ายยกมือขึ้นแล้วชี้ไปที่กลุ่มหนุ่มสาวจากเผ่านรกขุมที่เก้า “ให้พวกเขาสู้กับคนของข้า ขอเพียงชนะ จึงจะผ่านไปได้ แต่ถ้าแพ้… เหอะ ๆ โทษทีนะ มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!”
เฉินซีขมวดคิ้ว เขาคาดไม่ถึงว่าไป๋ทั่วจะเลือกหนุ่มสาวเผ่านรกขุมที่เก้าเป็นคู่ต่อสู้ หรือว่าอีกฝ่ายรู้ถึงความแข็งแกร่งของพวกเขาแล้ว จึงหันมาเล็งคนรอบข้างแทนอย่างนั้นหรือ?
ไป๋กู้หนานพลันตะโกนขึ้นว่า “ไป๋ทั่ว! เลิกทำเรื่องบ้า ๆ สักที เจ้าต้องการก่อกวนข้าหรือไร?”
ขณะเอ่ยถาม เขาหันกลับมามองเฉินซี และกล่าวว่า “เฉินซี การได้รับการยอมรับจากตระกูลไป๋ พวกเราไม่เคยให้สิทธิ์ในการถามไถ่แขก ในเมื่อเขาขวางไว้ เจ้าก็มีแต่ต้องล้มอีกฝ่ายให้ได้ อย่าได้พลาดท่าเด็ดขาด!”
ไป๋ทั่วชำเลืองมองไป๋กู้หนานอย่างเย็นชา กล่าวเย้ยหยันว่า “คิดไม่ถึงว่าจะมีคนขี้ขลาดเช่นเจ้าอยู่ในตระกูลนี้ด้วย!”
“เจ้า…” ไป๋กู้หนานโมโหจนทั้งร่างสั่นสะท้าน คนบ้าความคิดเรียบง่ายผู้นี้ทำตัวผิดปกติเกินไป …หรือว่าใครบางคนกำลังลอบชี้นิ้วสั่งการอยู่?
ปัง!
ในยามนี้ เฉินซีพลันกระโจนมาอยู่ข้างหน้า และก่อนไป๋ทั่วจะทันได้ตอบสนอง เขาก็ต่อยใส่ท้องน้องของอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง แน่นอนว่า พลังหมัดเช่นนี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีทั่วไปสามารถทานทนได้ ร่างของไป๋ทั่วจึงงอเหมือนกับกุ้ง ใบหน้าฉายชัดถึงความเจ็บปวด
การพลิกผันอย่างฉับพลันของเหตุการณ์นี้ ทำให้ทุกคนตกตะลึง บางคนไม่อยากเชื่อว่าเฉินซีจะลงมือทันทีที่พูดจบ ทั้งยังใช้วิธีที่ไร้สามัญสำนึกอีก
ทว่าชายหนุ่มคล้ายกับทำในสิ่งที่ธรรมดายิ่ง เขากล่าวอย่างราบเรียบว่า “เงื่อนไขของเจ้า ข้ายอมรับ!”