บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 904 พิฆาตไตรภาคี
บทที่ 904 พิฆาตไตรภาคี
บทที่ 904 พิฆาตไตรภาคี
เพลงกระบี่อันเรียบง่ายถูกตวัดออกไปในแนวราบ แต่ในสายตาของทุกคน กระบี่เล่มนี้กลับเต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาล!
ราวกับฝูงมังกรที่โผล่ขึ้นมาจากทะเล!
เคร้ง!
ดาบของไป๋ฉวินเคลื่อนลงมาปะทะกับยันต์ศัสตรา ก่อนจะระเบิดประกายแสงนับพันล้านดวงจนแตกกระจาย สะเทือนมือของไป๋ฉวินจนชาหนึบ
ช่างทรงพลังอะไรเช่นนี้!
“อย่างที่คาดไว้ สมแล้วที่สามารถสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหกได้! แต่ความแข็งแกร่งเล็กน้อยแค่นี้ มันยังไม่เพียงพอที่จะทำลายกระบวนท่าของข้าหรอก!”
ไป๋ฉวินคำรามเสียงลั่น เร่งลงมืออย่างต่อเนื่อง ตวัดฟาดฟันคมดาบ ส่งริ้วปราณดาบสีเลือดจำนวนมากออกไป ปล่อยให้พวกมันสังหารหยินและหยาง ฉีกจักรวาลออกจากกัน ขณะที่เผยเจตจำนงที่ไม่ยอมแพ้ถึงที่สุดออกมา
ทว่าท่าทางของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่ยันต์ศัสตราได้แผ่รัศมีไปทั่วทั้งท้องฟ้า เคลื่อนไหวอย่างราบรื่นดุจเมฆและสายน้ำไหล …ทั้งหมดที่เขาใช้ล้วนเป็นกระบวนท่าที่เรียบง่ายที่สุด เช่น แทง ฟัน ตัด สับ และกวาด
แต่เมื่อมันเกิดจาการลงมือของชายหนุ่ม การโจมตีแต่ละครั้งจึงแฝงไปด้วยมหาเต๋า ซึ่งประสานกับสวรรค์และโลกอย่างกลมกลืน จนเกิดเป็นอักขระยันต์ที่ลึกซึ้งและซับซ้อน ซึ่งสามารถรับมือกับการโจมตีทั้งหมดของไป๋ฉวินได้อย่างง่ายดาย
ท่ามกลางความสับสนงุนงง ทุกคนรู้สึกราวกับว่าเฉินซีไม่ได้กำลังต่อสู้กับศัตรู แต่เขาดูจะกำลังเดินทอดน่องไปตามลานบ้านด้วยท่าทางผ่อนคลายไร้กังวล
“หนึ่งกระบี่แปรเปลี่ยนหมื่นวิชา! ปรมาจารย์กระบี่!?”
ไป๋ฉวินตะโกนขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของเขาที่เคยยิ้มตลอดเวลากลายเป็นจริงจัง หว่างคิ้วเผยความตึงเครียดเย็นชา ในขณะที่ร่างอ้วนเตี้ยลอยขึ้นไปกลางอากาศ แผ่รัศมีกดดันให้พุ่งสูงเสียดฟ้า
ช่วงเวลาสั้น ๆ ของการปะทะกัน ทำให้ไป๋ฉวินเข้าใจได้ทันทีว่าเขาไม่สามารถปฏิบัติต่อคู่ต่อสู้เช่นเดียวกับที่ทำกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทั่วไปได้ ด้วยพลังที่หนาแน่นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และระดับการบ่มเพาะของเต๋าแห่งกระบี่ที่อยู่ในจุดสูงสุดของอีกฝ่าย …ทำให้ไป๋ฉวินรู้สึกกดดันยิ่งนัก!
“วิถีแห่งดาบสืบทอดอดีต สานต่อปัจจุบัน เปิดทางสู่อนาคต รับพิฆาตไตรภาคีของข้าไป! ดาบแรก เตาหลอมโลกาโกลาหล!”
การโจมตีครั้งแรกของไป๋ฉวินฟาดฟันออกไป ทำให้พื้นที่กว้างใหญ่นับไม่ถ้วนลุกเป็นไฟในทันที ดูราวกับไฟที่ปะทุออกมาจากเตาหลอม รวมตัวกันเป็นกระแสดาบอันวุ่นวายพุ่งตรงออกมา
“พิฆาตไตรภาคี! ไอ้บัดซบ!”
ม่านตาของไป๋ฉวินหดตัวลง ทักษะวิชาที่ไม่เหมือนใครนี้คือกระบวนกระบี่ทั้งสามที่บรรพบุรุษของตระกูลไป๋สละเลือดเนื้อและการเข่นฆ่าท่ามกลางสนามรบในยุคบรรพกาลเพื่อให้ได้มา!
ทุกท่วงท่าของกระบี่ล้วนสอดคล้องกับมหาเต๋า และเต็มไปด้วยจิตสังหารที่ไม่ธรรมดา ตัวอย่างเช่น ดาบแรก เตาหลอมโลกาโกลาหล มันได้หลอมรวมช่วงเวลาโกลาหลและเปลวไฟแห่งสงครามไว้ในกระบวนท่านี้ ซึ่งพลังของมันก็มากพอที่จะทำให้โลกสั่นสะเทือน และทวยเทพตกตะลึง
เมื่อหลายปีก่อน บรรพบุรุษของตระกูลไป๋อาศัยเคล็ดพิฆาตไตรภาคีนี้เพื่อสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ไม่มีใครเทียบได้มานับไม่ถ้วน จนได้รับฉายา ‘ปรมาจารย์ดาบ’ ผู้ไม่เป็นสองรองใคร!
แม้ว่าการโจมตีนี้ของไป๋ฉวินจะไม่ได้มีระดับความน่ากลัวเช่นบรรพบุรุษของเขา แต่ถ้ามันเกิดขึ้นที่โลกภายนอก มันก็เพียงพอที่จะกวาดล้างทั้งเมืองหรือตระกูลได้อย่างสมบูรณ์!
นี่คือพลังของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี พวกเขาสามารถพลิกคว่ำเมฆฝน ผลาญมหาสมุทร เป็นตัวตนที่ยืน ณ จุดสูงสุดของภพมนุษย์อย่างภาคภูมิใจ ดังนั้นหากพวกเขาถูกกระตุ้นให้เกิดจิตสังหาร พลังทำลายล้างระดับนี้ก็มากพอที่จะทำให้เกิดความวุ่นวายสะเทือนโลก!
ครืน!
ก่อนที่คมดาบจะมาถึง สวรรค์และโลกทั้งหมดราวกับกลายเป็นเตาหลอม เปลวเพลิงลุกโชนอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง เต็มไปด้วยจิตสังหารที่ไร้ขอบเขต
“ธาตุทั้งห้าหวนคืนสู่ต้นกำเนิด แปรเป็นหนึ่งเดียว!”
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง กระดูกสันหลังของเขาเหยียดตรง ยันต์ศัสตราก่อตัวเป็นกระบี่ปราณ ซึ่งรวบรวมความลึกซึ้งของมหาเต๋าที่สมบูรณ์แบบทั้งห้า อันได้แก่ ทอง พฤกษา วารี อัคคี และปฐพีเอาไว้ ธาตุทั้งห้าหมุนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ส่งกลิ่นอายแฝงการโคจรของทั้งโลกไว้ภายในการโจมตีครั้งเดียว
ปัง!
กระบี่และคมดาบเข้าปะทะกัน ประกายแสงจากการปะทะปลดปล่อยคลื่นรุนแรงพัดผ่านท้องฟ้า กวาดกระจายออกไปโดยรอบ สั่นสะเทือนทุกที่ที่มันผ่านไป พื้นดินถล่ม ความว่างเปล่าพังทลาย ทำให้ทุกคนตกใจมากเสียจนต้องล่าถอยไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบนี้ไปด้วย
“ดาบที่สอง เทพทลายโลกา!”
ก่อนที่พลังทำลายล้างจากกระบวนท่าแรกจะจางหายไป ไป๋ฉวินก็ได้ฟันออกเป็นครั้งที่สอง แสงของคมดาบถูกควบแน่นเข้าด้วยกัน เผยให้เห็นเจตจำนงอันยิ่งใหญ่ที่ตั้งใจจะผ่าแยกความโกลาหลออกจากกันและสร้างจักรวาลขึ้นใหม่
ทันทีที่กระบวนท่านี้ถูกใช้ออก มันไม่เพียงแค่ทำให้ยันต์ศัสตราสั่นคลอนเท่านั้น แต่ยังมีพลังมากพอที่จะโจมตีใส่เฉินซีโดยตรงอีกด้วย
ร่างของเฉินซีสั่นไหว เขาย้ายหลบครั้งแล้วครั้งเล่า ในใจของชายหนุ่มรู้สึกแปลกประหลาด การบ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีระดับหกของไป๋ฉวิน …เมื่อรวมกับการเคลื่อนไหวของดาบอันน่าสะพรึงกลัวนี้ ก็นับว่ามากพอแล้วที่คนคนนี้จะเหนือกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ธรรมดาที่อยู่ในระดับเดียวกัน!
เมื่อเทียบกับไป๋หง คนคนนี้นับว่ามีจิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อสูงส่งกว่า
“เจ้าสามารถต้านทานการโจมตีสองครั้งแรกของข้าได้ เจ้าถือเป็นคู่ต่อสู้ที่เก่งมากจริง ๆ น่าเสียดายที่โชคของเจ้าต้องจบลงที่นี่แล้ว ดาบที่สาม ดาบเทพนิรมิต!”
ไป๋ฉวินผู้นี้สมกับที่เป็นตัวตนสำคัญอันดับต้น ๆ ในตระกูลไป๋ เพราะทันทีที่สองกระบวนท่าแรกเพิ่งจางหาย เจ้าตัวก็สามารถใช้ดาบที่สาม ดาบเทพนิรมิตออกมา! ทำให้ผู้คนสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงอำนาจของสวรรค์และโลกที่หล่อหลอมเข้ากับคมดาบ จนมันทั้งทรงพลังและไม่อาจต้านทานได้!
เพราะการโจมตีครั้งนี้… แท้ที่จริงแล้วไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เลย
และเมื่อไม่มีการเคลื่อนไหว มันจึงไม่อาจต้านทานได้
ไป๋ฉวินในยามนี้ดูราวกับกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกหล้า ทุกที่ที่คมดาบไปถึง ดาบเล่มนี้ก็ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ทำให้คู่ต่อสู้ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับโลกทั้งใบ!
ไป๋เจวี้ยนผู้เคยเคลื่อนไหวไปมาอยู่โดยรอบเพื่อหาโอกาสโจมตี ได้หยุดเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกันนี้ และดวงตารูปดอกท้อคู่นั้นพลันเปล่งประกายด้วยแสงเย็นยะเยือก ดุจงูพิษที่พร้อมจะพุ่งเข้าโจมตี กำลังรอโอกาสที่จะกลืนกินคู่ต่อสู้ของมันในคำเดียว!
จังหวะเดียวกันนั้นเอง ผู้อาวุโสของตระกูลไป๋ที่ให้ความสนใจกับการต่อสู้ครั้งนี้จากเงามืด ก็อดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจ จดจ่ออย่างมีสมาธิ ขณะที่แสงจ้าปะทุออกมาจากดวงตาของพวกเขา
ผู้นำตระกูลไป๋จิงเฉินถึงกับวางชามก๋วยเตี๊ยวในมือลง
มือของผู้อาวุโสระดับสูงสุดไป๋เฉิงที่กำลังลูบเคราของเขาแข็งค้าง ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ
นับตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น มันเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ทว่าความเข้มข้นของการต่อสู้ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้กลับน่าตกใจและน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการต่อสู้ระหว่างหลิงไป๋กับไป๋หงเสียอีก!
ในตอนนี้ ‘ดาบเทพนิรมิต’ ของไป๋ฉวินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าและดึงสถานการณ์ของการต่อสู้ไปสู่สถานะที่รุนแรงสูงสุด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเพิกเฉย แม้แต่ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลไป๋เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เมื่ออยู่ท่ามกลางการต่อสู้ ประสาทสัมผัสของเฉินซีล้วนเฉียบคมและแข็งแกร่งขึ้น เขาสามารถจับพลังที่น่าสะพรึงกลัวจากการโจมตีในครั้งนี้ของไป๋ฉวินได้อย่างชัดเจน และไม่ลังเลที่จะตัดสินใจลงมืออย่างเต็มกำลังบ้าง!
ปัง!
ร่างของเฉินซีเต็มไปด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์ที่ลุกโชนขึ้นและเดือดพล่าน แปรเปลี่ยนเป็นสายรุ้งศักดิ์สิทธิ์มากมายที่ขดรอบตัว สิ่งเหล่านี้เป็นแสงที่ก่อตัวขึ้นจากความลึกล้ำของเต๋ามากมาย และพวกมันถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นวงล้อศักดิ์สิทธิ์อักขระยันต์ ก่อนกลายเป็นมหาสมุทรอักขระ
ราวกับเขาจะกลายร่างเป็นปราชญ์เต๋าแห่งยันต์อักขระ ยันต์ศัสตราในมือของชายหนุ่มได้ปะทุขึ้นพร้อมกับแสงมงคลแห่งพลังธรรมเทพไร้ขอบเขต และอัดแน่นไปด้วยความเป็นนิรันดร์ เสียงสะท้อนแห่งเบญจธาตุ สื่อสารกับหยินหยางจากภายนอก กักเก็บวายุอัสนี โคจรดารา รวมถึงอนุมานถึงความงดงามที่เปล่งประกายเจิดจรัส และเต๋ารู้แจ้งแห่งกระบี่รังสรรค์ที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
นี่คือ…
ไป๋ฉวินรู้สึกหายใจไม่ออก เพราะเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่อันตรายยิ่ง
หืม?
สีหน้าของไป๋เจวี้ยนเปลี่ยนไปเล็กน้อย และลมหายใจของเจ้าตัวก็แทบหยุดชะงักไปอย่างช่วยไม่ได้
ช่างเป็นเต๋ารู้แจ้งแห่งกระบี่ที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้!
เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลไป๋ที่เฝ้าดูการต่อสู้จากเงามืดเริ่มหายใจหนักถี่รัว และตกใจอย่างมาก
ในที่สุดเฉินซีก็แสดงฝีมือออกมา!
ดวงตาของหลิงไป๋และคนอื่น ๆ เป็นประกาย และพวกเขารู้สึกผ่อนคลายขึ้น
“ตาย!”
ไป๋ฉวินขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและคำรามออกมา เขาไม่เลือกที่จะหลบ แม้ว่าคมดาบครั้งนี้จะทำให้สัมผัสได้ถึงอันตรายคร่าชีวิต ไป๋ฉวินก็ยังโจมตีสวนกลับไปโดยไม่ลังเล!
นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเชื่อมั่นในพลังการต่อสู้ มันเป็นเพียงเพราะคำพูดของผู้อาวุโสไป๋เฉิง ทำให้แม้ว่าจะต้องตาย เขาก็ต้องฆ่าเฉินซีและหยุดยั้งไม่ให้อีกฝ่ายเข้าสู่ตระกูลไป๋ให้ได้!
ฟิ้ว!
ในเวลาเดียวกัน ไป๋เจวี้ยนก็ลงมือเคลื่อนไหวเช่นกัน ทันใดนั้นกระสวยสีดำสนิทเรียวยาวพลันปรากฏขึ้นในมือ ปลายแหลมของกระสวยฉีกอากาศออกจากกันเงียบ ๆ และหายไปในความว่างเปล่าอย่างรวดเร็วพร้อมกับตัวคน
ตู้ม!
เสียงระเบิดที่น่ากลัวดังก้องสะท้านท้องฟ้า และชั้นปราณสีม่วงหนาทึบซึ่งปกคลุมท้องฟ้าอยู่พลันแตกเป็นเสี่ยง ๆ คล้ายอากาศกำลังฉีกขาด จนเผยให้เห็นฉากที่วุ่นวาย
หากไม่ใช่เพราะเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลไป๋ได้ลอบเปิดใช้ค่ายกลป้องกันในหุบเขาไว้ก่อนหน้า การปะทะกันครั้งนี้เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะบดขยี้ทั้งหุบเขาวีรบุรุษแล้ว!
ฟิ้ว!
ท่ามกลางฝุ่นละอองและควันที่ฟุ้งกระจายในอากาศ ร่างกายที่อ้วนเตี้ยของไป๋ฉวินปลิวกระเด็นราวกับใบไม้ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า และกระอักเลือดออกมาจนใบหน้าซีดขาว
มือขวาของเจ้าตัวสั่นอย่างต่อเนื่อง ฝ่ามือของเขาฉีกขาด มีเลือดสดไหลทะลัก ในขณะที่ดาบกระเด็นตก ก่อนปักลงบนพื้นพร้อมกับสั่นอย่างรุนแรง
ไป๋ฉวิน…แพ้!
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่น่าสังเวชของไป๋ฉวิน ไม่ว่าจะอยู่ในที่โล่งหรือในเงามืด แทบทุกคนต่างทราบอย่างชัดเจนว่า ตอนนี้ไป๋ฉวิน…พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงแล้ว!!!
“ดีมาก! เจ้าเป็นคนแรกที่เอาชนะข้าได้ด้วยการบ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีระดับหนึ่ง ข้าจะจำเจ้าเอาไว้!”
ไป๋ฉวินกระอักเลือด หน้าตาซีดเซียว กระดูกทั่วทั้งร่างกายของเขาแตกหัก ทำให้เขาไม่อาจลุกขึ้นยืน หมดโอกาสที่จะเข้าไปแลกชีวิตกับเฉินซี
สิ่งนี้ทำให้หัวใจของไป๋ฉวินรู้สึกขมขื่นอย่างมาก เพราะเขาไม่เคยคาดคิดว่าสุดท้ายแล้ว ตนเองจะไม่สามารถทำงานที่ผู้อาวุโสมอบหมายให้ได้สำเร็จ และไม่เคยคิดเลยว่า ความแข็งแกร่งของเฉินซีจะน่ากลัวเสียยิ่งกว่าข่าวลือ…
อีกฝ่ายเป็นดั่งตัวประหลาดที่ไม่อาจเข้าใจได้!
เฉินซีเดินออกมาจากควันฝุ่น จ้องมองไป๋ฉวินที่อยู่บนพื้นในขณะที่พูดว่า “เช่นนี้ ข้าถือว่าได้รับการยอมรับจากเจ้าแล้วหรือไม่?”
ไป๋ฉวินสูดหายใจและกำลังจะตอบกลับ แต่จู่ ๆ เขาก็สังเกตเห็นจากหางตาว่ามีเงาโปร่งแสงกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในความว่างเปล่าทางด้านหลังของเฉินซี
ทว่าแม้จะเห็นเช่นนั้น หากแต่สีหน้าของไป๋ฉวินกลับยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่เจ้าตัวพยักหน้าและพูดว่า “แน่นอน”
ทันทีที่พูดจบ
ฟิ้ว!
ทันใดนั้น แสงเย็นตาที่งดงามอย่างแปลกประหลาดและพร่างพราวก็ปะทุจากช่องว่างทางด้านหลังของชายหนุ่ม มันช่างเป็นแสงที่แพรวพราวสะดุดตา เจิดจรัสยิ่ง ทว่ากลับไร้เสียงและเงียบงันเสียจนน่าสะพรึงกลัว มันไม่รบกวนความว่างเปล่าโดยรอบเลยแม้แต่น้อย!
สิ่งสำคัญที่สุดคือภายใต้การตรวจจับของจิตสัมผัสเทพและญาณเทวะอมตะของทุกคน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพบเงาแสงอันเยือกเย็นนี้ ราวกับว่ามันไม่มีอยู่จริง!
แต่ทุกคนก็ยังสังเกตเห็นฉากนี้ และดวงตาของพวกเขาก็หรี่ลงอย่างรวดเร็วในขณะที่แสดงสีหน้าตกใจ
“เฉินซี ระวังตัวด้วย…” ก่อนที่หลิงไป๋จะพูดจบ เขาก็ต้องปิดปากลง
เพราะปฏิกิริยาของเฉินซีนั้นรวดเร็วกว่า! …ในเวลาไล่เลี่ยกับที่จุดแสงอันพร่างพราวปรากฏขึ้น เฉินซีไม่ได้หันหลังกลับ แต่ยันต์ศัสตราในมือของเขาราวกับมีตาหลัง คมกระบี่พลันแทงออกไปราวกับแม่น้ำดาราที่ไหลย้อน ฟันอย่างรุนแรงไปยังจุดแสงเย็นนั้น!
เคร้ง!
เสียงโลหะกระทบกันดังเสียดหู ก่อนที่ร่างหนึ่งจะถูกระเบิดอย่างรุนแรงและกระเด็นออกจากความว่างเปล่าทางด้านหลังของเฉินซี …หลังจากซวนเซอยู่ครู่หนึ่ง อีกฝ่ายก็ได้กระอักเลือดสีแดงสดออกมาเต็มปาก
คนผู้นี้ย่อมเป็นไป๋เจวี้ยน!
จู่ ๆ บรรยากาศในที่แห่งนี้ก็ตกอยู่ในความเงียบงันอย่างน่าประหลาดอีกครั้ง พวกเขาดูจะตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก คล้ายทุกคนกำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่า เฉินซีสังเกตเห็นไป๋เจวี้ยนก่อนหน้านี้ได้อย่างไร? หรือว่าเขาสามารถทำนายอนาคตได้อย่างนั้นหรือ?!!