บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 948 ที่อยู่ของเข็มทิศปรโลก
บทที่ 948 ที่อยู่ของเข็มทิศปรโลก
บทที่ 948 ที่อยู่ของเข็มทิศปรโลก
ทันทีที่เปิดฉากลงมือ เฉินซีก็มีท่าทางเปลี่ยนไป
อักขระยันต์ที่ล้ำลึกมากมายพลันขดตัวอยู่รอบกายเขาและเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา ทำให้ชายหนุ่มดูราวกับมหาสมุทรแห่งยันต์อักขระ ร่างสูงใหญ่ของเขาเคลื่อนตัวไปกลางอากาศ พร้อมกับเผยกลิ่นอายของการควบคุมที่น่าเกรงขามออกมา
แม้ชายหนุ่มจะมีรูปร่างหน้าตาที่อ่อนเยาว์ แต่เขาก็เหมือนจักรพรรดิที่จุติมายังโลก และปลดปล่อยพลังอันยิ่งใหญ่ออกมาในขณะนี้!
การบ่มเพาะของเขาได้ฟื้นคืนสู่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหนึ่ง และหลังจากบ่มเพาะเคล็ดมหาจุติ มันก็เพียงพอสำหรับเฉินซีที่จะสามารถดึงอำนาจต่อสู้เกินครึ่งหนึ่งจากขีดจำกัดสูงสุดที่เคยมี
แม้ว่าจะเป็นเพียงครึ่งหนึ่ง แต่ก็เพียงพอที่จะบดขยี้ผู้เยี่ยมยุทธ์ของขอบเขตเซียนปฐพีระดับเจ็ดได้อย่างง่ายดาย และสิ่งนี้ได้รับการพิสูจน์มานานแล้ว จากการต่อสู้นับไม่ถ้วนที่เขาได้ประสบในภพมนุษย์
เมื่อสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลในกลิ่นอายอันเกรงขามของเฉินซี ใบหน้าของทุกคนต่างเผยให้เห็นถึงความตกใจ
กลิ่นอายที่น่าเกรงขามเช่นนี้ ทั้งดุดัน ลึกล้ำ และดูเหมือนกับวัตถุที่จับต้องได้ มันปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดิน และยังผ่านการขัดเกลาจากต่อสู้นับพันครั้ง ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีธรรมดาทั่วไปจะมีกลิ่นอายที่น่าเกรงขามเช่นนี้!
“ชายคนนี้คือใครกันแน่?”
แม้แต่กู่เทียน ชุยชิงหนิง เป้ยหลิงหรือคนอื่น ๆ ก็รู้สึกประหลาดใจและงุนงงเล็กน้อยเช่นกัน ราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รู้จักเฉินซีที่แท้จริง ซึ่งพวกเขารู้อย่างชัดเจนว่า ตัวตนที่แท้จริงของเฉินซีนั้นไม่ธรรมดาเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก!
“จู่โจม!” ทันใดนั้นดวงตาของหวังฉงส่องประกายวาบ จากนั้นเขาก็พุ่งตัวออกไปอย่างกล้าหาญ พร้อมกับตะโกนอย่างดุดัน
ทันใดนั้น กลิ่นอายของชายหนุ่มก็ได้เปลี่ยนไป อาการใจสั่นซึ่งเกิดจากความรู้สึกถึงอันตรายที่หาได้ยากแล่นวูบอยู่ภายในใจของเขา และสัญชาตญาณการต่อสู้ของชายหนุ่มที่ถูกขัดเกลามาหลายปี ทำให้เขาตระหนักได้ในทันทีว่าหากตนไม่ลงมือตอนนี้ มันอาจจะสายเกินไป!
“ฆ่า!”
รุ่ยฉิงตะโกนออกมา ขณะที่นางโจมตีเฉินซีจากอีกด้านหนึ่งพร้อมกับหวังฉง
ในบรรดาสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นมหาตุลาการจากวิถีอสูร ในขณะที่อีกคนหนึ่งเป็นมหาตุลาการจากวิถีวิญญาณ ทั้งสองคนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีอำนาจมหาศาลในนรกใต้พิภพ ซึ่งเห็นได้ชัดจากพลังและประสบการณ์การต่อสู้ที่พวกเขามี
ทันทีที่พวกเขาลงมือในเวลานี้ กระแสลมแรงได้พัดโหมสู่ท้องฟ้า ในขณะที่จิตสังหารพุ่งทะยานขึ้นสู่สวรรค์ ซึ่งพัดพากระแสลมและมวลเมฆไปสู่ความโกลาหล พร้อมกับแผ่ซ่านกลิ่นอายที่กดดันออกมา
น่าเสียดายที่พวกเขาได้เผชิญกับตัวตนที่มีพลังต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาและมีประสบการณ์ต่อสู้ที่โชกโชนมากกว่า ทำให้จุดแข็งที่เคยมีไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
ทันทีที่พวกเขาลงมือ เฉินซีก็ลงมือเช่นเดียวกัน
ชายหนุ่มถือกระบี่ยันต์ศัสตราไว้ในมือ และฟันออกไปด้วยกระบวนท่าธรรมดา ทว่ามันกลับฉีกท้องฟ้าออกจากกัน สะบั้นหยินหยางให้แยกออก และเปล่งรัศมีเจิดจรัสออกมา ซึ่งดูเหมือนจะมาจากบทกวีมหากาพย์ในยุคบรรพกาล ทำให้มันสลายการโจมตีของพวกเขาไปได้อย่างง่ายดาย
ช่างเป็นการบ่มเพาะเต๋ากระบี่ที่น่าสะพรึงกลัว!
ใบหน้าของหวังฉงกับรุ่ยฉิงเผยให้เห็นความประหลาดใจ ขณะที่พวกเขาฝืนกัดฟันแน่น เพื่อเปิดฉากโจมตีเฉินซีอีกครั้ง เพราะพวกเขาไม่มีทางให้ถอยกลับ และหนทางที่พอทำได้ คือต้องเสี่ยงชีวิตโจมตีเท่านั้น!
เมื่อเผชิญกับสิ่งนี้ เฉินซีกลับไม่สะทกสะท้าน ร่างของเขาเคลื่อนตัวผ่านท้องฟ้า ราวกับว่าชายหนุ่มกำลังเดินเล่นในลานบ้าน ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สามารถแตะตัวเขาได้แม้แต่ชายเสื้อ ซึ่งสิ่งนี้ได้ขับให้ท่าทางของชายหนุ่มดูสง่างามและไร้กังวลอย่างยิ่ง!
“สหายคนนี้เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ปิดบังพลังของตัวเองจริง ๆ!” เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว หัวใจของชุยหมิงซึ่งจุกอยู่ที่ลำคอของเขาก็ผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์ สายตาที่จ้องมองเฉินซีขณะนี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจและงุนงง จนเจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะถาม “ชิงหนิง ช่วยบอกรายละเอียดที่เกี่ยวกับสหายคนนี้ให้ข้าฟังอีกสักครั้งซิ”
ในขณะนี้ ชุยชิงหนิงเพิ่งจะฟื้นคืนความสติได้เพียงเล็กน้อย และนางกำลังมองไปที่เฉินซีอย่างประหลาดใจ ก่อนจะรวบรวมสติ และบอกเล่าชุยหมิงเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ที่นางได้พบเฉินซี ณ ดินแดนอ่างโลหิต
“เขาไม่ใช่คนของยมโลกหรือ?” ชุยหมิงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ!
“ใช่เจ้าค่ะ นั่นคือสิ่งที่พี่ใหญ่เฉินซีได้กล่าวไว้” ชุยชิงหนิงพยักหน้า
“น่าแปลกยิ่งนัก หากมีใครต้องการเข้าสู่ยมโลกจากภพเซียน ถ้าเช่นนั้นก็ต้องตายหรืออาจใช้วิธีพิเศษบางอย่าง แต่วิธีการเหล่านั้นอยู่ในมือของหน่วยงานต่าง ๆ ในนรกใต้พิภพ แล้วเขาจะมาปรากฏตัวในดินแดนอ่างโลหิตได้อย่างไรกัน?” ชุยหมิงขมวดคิ้วขณะที่ครุ่นคิด
หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าตัวก็ตัดสินใจได้ และสั่งชุยชิงหนิงด้วยท่าทางที่เคร่งขรึมว่า “ชิงหนิง อย่าได้กล่าวถึงต้นกำเนิดของเฉินซีกับผู้ใดในภายหน้า หากเขาถูกพบโดยกองกำลังเหล่านั้นในนรกใต้พิภพ เขาอาจจะประสบกับหายนะเอาได้”
ชุยชิงหนิงพลันสะดุ้งตกใจ และกล่าวว่า “เพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ?”
“ภพมนุษย์และยมโลก เป็นสองวิถีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และนี่คือกฎของโลก เฉินซียังไม่บรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์ แต่กลับสามารถปรากฏตัวในยมโลกได้โดยไม่เป็นอันตราย เขาเป็นเหมือนสิ่งแปลกปลอมที่จะถูกมองว่าเป็นศัตรูและจะถูกกำจัด” ชุยหมิงกล่าวช้า ๆ “แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเช่นกัน ณ ปัจจุบัน ยมโลกได้ตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่ และกองกำลังต่าง ๆ ของนรกใต้พิภพก็เกิดความขัดแย้งภายใน ดังนั้นพวกมันจึงยุ่งกับเรื่องของตัวเองมากเกินไป เฉินซีจะปลอดภัยอย่างแน่นอน ตราบเท่าที่ตัวตนของเขาไม่ถูกเปิดเผย”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ชุยหมิงก็มองไปยังร่างสูงที่อาละวาดไปทั่วสมรภูมิจากระยะไกล แล้วจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ซับซ้อนเล็กน้อย “ไม่ต้องกล่าวถึง เจ้าไม่ได้สังเกตหรือว่า เขาได้เริ่มบ่มเพาะเคล็ดวิชาของยมโลกแล้ว? จึงทำให้กลิ่นอายของเขาไม่แปลกตาอีกต่อไป และบางทีอาจมีเพียงสมบัติเทวะของเหล่านักปราชญ์อย่าง ‘ศิลาแห่งอดีต ศิลาแห่งปัจจุบัน และศิลาแห่งอนาคต’ หรือ ‘คันฉ่องแห่งความลืมเลือน’ เท่านั้นที่สามารถแยกแยะตัวตนของเขาได้”
“วิเศษ วิเศษยิ่งนัก” ชุยชิงหนิงไม่สนใจเรื่องราวเหล่านั้น นางจึงหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากเด็กน้อยรู้ว่าตนไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอันตรายใด ๆ ที่จะเกิดกับเฉินซี
“อ๊าก!!” ในขณะนี้ เสียงร้องโหยหวนพลันดังขึ้น หวังฉงถูกเฉินซีฟันจนแยกออกเป็นสองส่วนด้วยกระบวนท่าเดียว ร่างกายของอีกฝ่ายระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและสิ้นชีพในบัดดล
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกใจมากเมื่อเห็นสิ่งนี้
หวังฉงเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้า เป็นมหาตุลาการจากวิถีอสูรที่ยืนคุ้มกัน ณ ธารโลหิตยมโลก และผ่านการต่อสู้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งความดีความชอบของเขาก็สั่นสะท้านโลกใต้พิภพและเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว
แต่ตอนนี้เจ้าตัวกลับถูกฟันตัวขาดด้วยกระบวนท่าเดียวของเฉินซี!
รุ่ยฉิงหวาดกลัวจนร่างกายแข็งทื่อไปหมด นางหลบหลีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่สามารถข่มความหวาดกลัวในใจได้อีกต่อไป จึงกรีดร้องออกมาอย่างรุนแรง พร้อมกับฉีกมิติออกจากกันด้วยความตั้งใจที่จะหลบหนีไปจากที่นี่
สายตาของเฉินซีเย็นยะเยือก ในขณะที่ริมฝีปากของเขาเหยียดยิ้มเย็นชา จากนั้นชายหนุ่มจึงเงื้อกระบี่ในมือขึ้นเบา ๆ และฟันลงไป
สตรีจอมประชดประชันผู้นี้เคยทำให้เฉินซีต้องอับอายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังนั้นเขาจะปล่อยให้นางหนีไปได้อย่างไร?!
โครม!
ในชั่วพริบตาต่อมา ท้องฟ้าได้สั่นสะเทือนและระเบิดห่างออกไปราวสองลี้ จากนั้นร่างกายของรุ่ยฉิงก็กลายเป็นสายฝนโลหิตที่โปรยปรายอยู่ในฟ้าดิน …นางได้เดินตามรอยเท้าของหวังฉงไปแล้ว!
ณ จุดนี้ หวังฉง หลิ่วจวิ้น และรุ่ยฉิง มหาตุลาการทั้งสามที่มาจากนรกใต้พิภพ ได้เสียชีวิตลงไปทีละคน
ฉากนี้ทำให้ทุกคนตกใจจนกล่าวอะไรไม่ออกเป็นเวลานาน
เฉินซีเก็บยันต์ศัสตราออกไป และลอบถอนหายใจเนื่องจากเขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่พลังของเขายังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ การสังหารสองคนนั้นจะลำบากถึงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?
…
ในค่ำคืนนั้น ภายในร้านอาหารของเมืองผาทมิฬ
ชุยหมิงจัดงานเลี้ยงใหม่เพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่ชุยชิงหนิงและคนอื่น ๆ
มันช่วยไม่ได้ เพราะหลังจากประสบกับการต่อสู้อันน่าพรั่นพรึงก่อนหน้านี้ จวนเจ้าเมืองจึงกลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว เขาจึงทำได้เพียงต้องจัดงานเลี้ยงขึ้นที่นี่เท่านั้น
ในระหว่างงานเลี้ยง ทุกคนต่างรู้สึกผ่อนคลายหลังจากที่รอดชีวิตจากภัยพิบัติ และพวกเขาก็ดื่มอวยพรให้แก่เฉินซีครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่กู่เทียนก็ลากสังขารที่บาดเจ็บสาหัสเข้ามาดื่มอวยพรให้แก่เฉินซี ก่อนจะออกไปพักผ่อน
ไม่มีใครถามว่าทำไมเฉินซีถึงปิดบังพลังของเขาอีกต่อไป เพราะชายหนุ่่มได้ฆ่าหวังฉงและคนอื่น ๆ เพื่อพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งและความตั้งใจของเขาแล้ว
ซึ่งหากพวกเขาต้องถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนี้ มันก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่อเฉินซีราวกับเป็นคนนอกมากเกินไป
อย่างน้อยที่สุด ชุยหมิงก็ทราบอย่างชัดเจนว่า หวังฉงและคนอื่น ๆ ล้วนเป็นบุคคลสำคัญในนรกใต้พิภพ อีกทั้งหากเฉินซีมีเจตนาร้าย แล้วทำไมอีกฝ่ายถึงต้องช่วยพวกเขาสังหารหวังฉงและคนอื่น ๆ ในช่วงเวลาวิกฤตด้วย?
เขาจึงยอมรับสถานการณ์นี้ และตราบใดที่เฉินซีไม่ทำร้ายชุยชิงหนิง แล้วทำไมเขาถึงต้องสนใจว่าเฉินซีเป็นใครกัน?
เมื่อสังเกตเห็นสิ่งนี้ เฉินซีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ตราบใดที่พวกเขาไม่เข้าใจข้าผิดไป นั่นก็หาได้สำคัญไม่”
“จริงสิ พี่ชุย ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าผู้ใดเป็นผู้ควบคุมเข็มทิศปรโลก?” เฉินซีถามทันที
เข็มทิศปรโลก!
ทุกคนตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ บรรยากาศก็พลันเงียบลง
เฉินซีสังเกตเห็นในทันทีว่า สีหน้าของชุยหมิง ชุยชิงหนิงและเหล่าผู้คุ้มกันตระกูลชุยทั้งหมดดูจะแปลกไปเล็กน้อย และสายตาที่พวกเขาจ้องมองมาที่ตัวชายหนุ่มก็มีร่องรอยของความสงสัย
ชุยหมิงหัวเราะเพื่อทำลายความเงียบ ในขณะที่กล่าวว่า “ก่อนที่ข้าจะตอบ พี่เฉินเจ้าช่วยตอบคำถามของข้าก่อนได้หรือไม่?”
เฉินซีกล่าวว่า “เชิญ”
“ข้าขอถามพี่เฉินหน่อยได้ไหมว่า เหตุใดเจ้าถึงถามเกี่ยวกับที่อยู่ของเข็มทิศปรโลก” ชุยหมิงจ้องที่ดวงตาของเฉินซี ขณะที่เขาถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“มันง่ายมาก เพื่อที่ข้าจะหาใครสักคน” ไม่มีอันใดที่เฉินซีต้องปกปิด ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า “ภรรยาของข้าถูกคนอื่นลักพาตัวไป และเบาะแสเดียวที่ข้ามีก็คือเข็มทิศปรโลก”
“ภรรยาหรือ?”
ชุยหมิงตกตะลึง จากนั้นเขาก็รู้สึกสะเทือนใจ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น ไม่น่าแปลกใจที่พี่เฉินจะถามเช่นนี้”
เขารู้ดีว่าเฉินซีมาจากภพมนุษย์ และอีกนัยหนึ่ง ภรรยาของเขาอาจถูกพรากจากภพมนุษย์มาสู่ยมโลก
ยิ่งกว่านั้น เขายังรู้ดีเกี่ยวกับพลังของเข็มทิศปรโลกว่า หากมันถูกใช้งาน มันย่อมเพียงพอที่จะบุกทะลวงผ่านขอบเขตระหว่างภพมนุษย์และยมโลกได้
“ขอบอกความจริงกับเจ้าก็แล้วกัน เข็มทิศปรโลกเป็นสมบัติเทวะของกรมราชทัณฑ์ และมันอยู่ในความครอบครองของตระกูลชุยของข้า แต่ต่อมา เนื่องจากความขัดแย้งภายในตระกูลชุย สมบัติเทวะนี้จึงถูกขโมยออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ และยังไม่ทราบที่อยู่จนกระทั่งทุกวันนี้”
ชุยหมิงถอนหายใจและกล่าวว่า “นั่นคือความอัปยศที่ถูกเก็บเป็นความลับของตระกูลชุย และนั่นเป็นเหตุผลที่ข้าถาม เมื่อพี่เฉินกล่าวถึงเรื่องนี้”
เฉินซีไม่เคยคิดเลยว่า เข็มทิศปรโลกจะถูกครอบครองโดยตระกูลชุยในอดีต ทำให้ชายหนุ่มมีความรู้สึกที่ซับซ้อนเล็กน้อยในใจ
หลังจากนั้น เฉินซีก็หายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวว่า “พี่ชุย ในเมื่อสมบัติเทวะได้หายไปแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าคนในตระกูลของเจ้าจะไม่พบเบาะแสใดเลย”
เขาดูจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าเฉินซีจะถามเรื่องนี้ ดังนั้นริมฝีปากของชุยหมิงจึงเผยให้เห็นถึงการเย้ยหยัน “เบาะแสหรือ? แน่นอนว่ามี แต่น่าเสียดายที่ตระกูลชุยขณะนี้กำลังเกิดการต่อสู้ภายในอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูล ดังนั้นจะมีผู้ใดสนใจเรื่องนี้กัน”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ชุยหมิงก็ถอนหายใจและกล่าวว่า “พี่เฉิน ข้าขอบอกความจริงกับเจ้า อันที่จริงมันง่ายมาก หากเจ้าต้องการค้นหาเบาะแสเกี่ยวกับเข็มทิศปรโลก แต่ว่า…” เขากล่าวไปได้ครึ่งทาง แต่กลับรู้สึกลังเลเล็กน้อย และไม่รู้ว่าควรกล่าวต่อไปดีหรือไม่
คิ้วของเฉินซีขมวดขึ้น ในขณะที่กล่าวว่า “พี่ชุย โปรดกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเถิด”
ริมฝีปากของชุยหมิงกระตุกวูบ ก่อนที่จะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาในที่สุด “ก่อนที่มันจะสูญหายไป เข็มทิศปรโลกได้อยู่ในความครอบครองของผู้อาวุโสรองมาโดยตลอด บางทีคงมีแค่เขาเท่านั้นที่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนขโมยเข็มทิศปรโลกไป”
“ผู้อาวุโสรองของตระกูลชุยหรือ?”
เฉินซีเข้าใจทันทีว่าทำไมชุยหมิงถึงลังเลเช่นนั้น เขาอาจกังวลว่าเฉินซีจะคิดมาก และเข้าใจผิดว่าตนต้องการพึ่งพาความแข็งแกร่งของเฉินซีเพื่อจัดการกับผู้อาวุโสรอง
ถึงอย่างไร จากการสนทนาที่ชายหนุ่มมีกับชุยชิงหนิงตลอดทาง ทำให้เฉินซีทราบในทันทีว่า คนของตระกูลชุยที่ต้องการฆ่านางนั้นมาจากฝั่งผู้อาวุโสรองของตระกูล
“พี่เฉิน ข้าไม่ได้พยายามจะลากเจ้าลงไปในปลักโคลนของตระกูลชุยของข้า แต่ว่า…” ชุยหมิงอธิบายอย่างจริงใจ ทว่าเขากล่าวได้เพียงครึ่งทาง ก่อนจะถูกเฉินซีขัดจังหวะกลางคัน ชายหนุ่มแย้มยิ้มพร้อมกล่าวว่า “นี่คือโชคชะตา แท้ที่จริงแล้วควรเป็นข้าที่รู้สึกโชคดีที่ได้เจอท่านและคุณหนูชุย มิฉะนั้น คงเป็นเรื่องยากสำหรับข้าที่จะค้นหาเกี่ยวกับทุกสิ่งด้วยตัวเอง”
ชุยหมิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อเห็นว่าเฉินซีดูจะไม่แสดงท่าทีใด ๆ “ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ควรไปกับชิงหนิง แล้วข้าจะวานใครสักคนช่วยให้เจ้าได้รับข้อมูลบางอย่างเมื่อเจ้าไปถึงนรกใต้พิภพแล้ว”
เฉินซียกจอกสุราขึ้นจากระยะไกล และดื่มสุราจนหมดในรวดเดียว ก่อนกล่าวว่า “ข้าคงต้องรบกวนท่านแล้ว”