บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 959 หอการค้าสัพพัญญู
บทที่ 959 หอการค้าสัพพัญญู
บทที่ 959 หอการค้าสัพพัญญู
ณ ภูมิภาคราชหกวิถี
ที่นี่คือใจกลางของนรกใต้พิภพ เป็นสถานที่ที่กองกำลังทรงพลังที่สุดอย่างหกวิถีสังสารวัฏ และกรมราชทัณฑ์ประจำการอยู่
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ภูมิภาคน้ำพุยมโลก และภูมิภาคแม่น้ำลืมเลือนล้วนเป็นพื้นที่รอบนอกนรกใต้พิภพ เมื่อเทียบกันแล้ว ภูมิภาคราชหกวิถีนับว่าเหนือกว่าทั้งในด้านอำนาจอิทธิพลและความกว้างใหญ่
ตระกูลชุยถือครองอำนาจใน ‘เมืองภูษาไหมม่วง’ ของภูมิภาคราชหกวิถี มันเป็นเมืองที่เก่าแก่โบราณยิ่ง ประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปถึงยุคบรรพกาล เป็นที่ล่วงรู้กันทั่วโลกในฐานะที่ตั้งของ ‘กรมราชทัณฑ์’ ที่ควบคุมเรื่องราวการพิจารณาคดีและการลงโทษ
กรมราชทัณฑ์อยู่ในการควบคุมของตระกูลชุยนับตั้งแต่โบราณกาล แม้กระทั่งตอนที่จักรพรรดิยมโลกยังครองอำนาจ มันก็ไม่เคยแปรเปลี่ยน
…
‘เรือนวิหคอมตะ’ ที่ถูกทำเครื่องหมายในแผ่นหยกที่กู่เทียนทิ้งเอาไว้ ไม่ได้อยู่ในเมืองภูษาไหมม่วง แต่อยู่ในเมืองขนาดเล็กซึ่งอยู่ห่างไกลจากเมืองภูษาไหมม่วงราวหนึ่งล้านลี้
เมืองขนาดเล็กนี้มีนามว่า ‘ เมืองสัพพัญญู’
ถึงแม้จะไม่ได้มั่งคั่งคึกคักเท่ากับเมืองภูษาไหมม่วง แต่เมื่อพูดถึงชื่อเสียง มันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเมืองภูษาไหมม่วง อาจจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ
เหตุผลก็เพราะมีหอการค้าสัพพัญญูตั้งอยู่!
หอการค้าสัพพัญญูคือกองกำลังหนึ่งที่กระจายไปทั่วแดน พวกเขามีหน่วยย่อยอยู่ในทุกเมือง คอยขายสมบัติวิเศษ โอสถลูกกลอน เคล็ดวิชาบ่มเพาะ วัตถุดิบวิญญาณและสมบัติการบ่มเพาะอื่น ๆ มันคือร้านค้าที่มีอยู่ทั่วทั้งยมโลก
ไม่ใช่การกล่าวเกินจริงที่จะบอกว่า ขอเพียงมีเงินย่อมสามารถซื้อทุกสิ่งที่หอการค้าสัพพัญญูในยมโลกได้
ส่วนเมืองสัพพัญญูนี้คือสถานที่ตั้งแรกของหอการค้าสัพพัญญู
นอกเมืองสัพพัญญูในตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนอย่างทุกที ดูมีชีวิตชีวานัก
“นี่คือเมืองสัพพัญญูหรือ? มันแตกต่างจากสถานที่อื่นจริง ๆ”
“ย่อมแน่อยู่แล้ว เพราะนี่คือเมืองแห่งการค้าขาย มีตระกูลพ่อค้ามากมาย รวมถึงบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่เข้าออกทั้งวันทั้งคืน ทำให้การค้าขายเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับที่มีผู้คนหลั่งไหลเข้าออกเป็นจำนวนมาก”
ไกลออกไป เฉินซีกับเป้ยหลิงเดินเคียงบ่าเคียงไหล่
ทั้งสองมองผู้คนซ้ายขวา และเมื่อเดินลึกเข้าไป พวกเขาก็พบว่าถนนหนทางในเมืองแห่งนี้ราวกับใยแมงมุมหนาทึบ และหลังจากเดินอยู่ราวหนึ่งถ้วยชา ในที่สุดพวกเขาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าถนนที่มีประชากรเบาบาง
ตรงข้ามถนนสายนี้ที่ห่างออกไปหนึ่งร้อยจั้ง มีเรือนเป็นทิวแถวตั้งตระหง่าน ดูธรรมดา ไม่มีความสะดุดตาแต่อย่างใดตั้งอยู่
หน้าชายคาเรือนหลังหนึ่งมีแผ่นป้ายที่มีคำว่า ‘เรือนวิหคอมตะ’ แขวนไว้อย่างโดดเด่น
นี่คือสถานที่ซึ่งชุยหมิงซื้อเอาไว้ และนอกจากชุยหมิงแล้ว ก็มีเพียงชุยชิงหนิงกับกู่เทียนที่ทราบ ขณะที่เหล่าสมาชิกตระกูลชุยคนอื่น ๆ ไม่ทราบเรื่องนี้เลย
ในเรือนวิหคอมตะอันเงียบสงบนี้ ตัวเรือนดูสะอาดสะอ้านยิ่งนัก ซึ่งเฉินซีก็พาเป้ยหลิงกับชุยชิงหนิงมาถึงที่นี่แล้ว และหลังจากครุ่นคิดสักพัก เขาก็วางแผนที่จะไปข้างนอกเสียหน่อย
ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองสัพพัญญู มีศาลาไม่โดดเด่นอยู่หลังหนึ่ง ศาลานี้สูงหนึ่งร้อยจั้ง รูปลักษณ์ดูเรียบง่าย แต่ตัวอักษร ‘หอการค้าสัพพัญญู’ ถูกเขียนไว้บนแผ่นป้ายอย่างน่าประทับใจ
เท่าที่ทราบ หอการค้าสัพพัญญูคือกลุ่มการค้าอันดับหนึ่งในยมโลก และส่วนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือการค้าข่าว
สำหรับลูกค้าที่สามารถจ่ายไหว หอการค้าสัพพัญญูคือ ‘ผู้รอบรู้’ ที่ถือครองข้อมูลและความลับต่าง ๆ ซึ่งสามารถซื้อขายได้
แต่หากไม่สามารถจ่ายไหว หอการค้าสัพพัญญูจะกลายเป็น ‘ผู้ไม่รู้’ ทันที
ชื่อของหอการค้าสัพพัญญูมีจุดเริ่มต้นมาจากสิ่งนี้
ภูมิหลังของหอการค้าสัพพัญญูทั้งลึกลับและน่าสะพรึงกลัว แม้กระทั่งหกวิถีสังสารวัฏ โถงน้ำพุยมโลก และโถงยายเฒ่าเมิ่งยังไม่เต็มใจที่จะยั่วยุพวกเขา สถานะค่อนข้างห่างเหิน
ชั้นที่หนึ่งของหอการค้าสัพพัญญู มีชายชราที่มีท่วงท่าสงบกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะ กำลังพลิกดูสมุดบัญชีในมือ เขามีสีหน้าจริงจัง ดูพิถีพิถัน
“ตอนนี้ ผู้เฒ่าโม่ยังรับผิดชอบเรื่องข่าวคราวของตระกูลชุยหรือไม่?”
ในยามนั้นเอง คนผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา
ชายชราเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของผู้ที่เข้ามา เขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง จากนั้นลุกขึ้นด้วยท่าทางเคร่งขรึม และตอบว่า “ถูกต้อง”
“ดี” ชายผู้นั้นพยักหน้า ก่อนตรงไปยังศาลาดังกล่าว
“น่าแปลก ๆ” ชายชรามองดูชายผู้นั้นเดินจากไป สีหน้าเผยความสงสัย ราวกับคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมาเยือนที่นี่
แต่ในไม่ช้า เขาก็หยุดครุ่นคิด เพราะใครบางคนมาที่ประตูอีกครั้ง
“เจ้าอยากซื้อขายสมบัติ หรืออยากมาถามข่าวคราวเล่า?” ชายชรานั่งอยู่ที่เก้าอี้ ยังคงมองสมุดบัญชีในมือ ก่อนเอ่ยถามตรงไปตรงมา
“ถามข่าวคราว”
“โอ้? บอกมาซิว่าเป็นข่าวคราวแบบใด” ชายชราถามโดยไม่เงยหน้า
“เกี่ยวกับตระกูลชุย”
ชายชราตกตะลึง เขาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาหรี่มองชายหนุ่มผู้อยู่หน้าโต๊ะ ผ่านไปสักพักจึงถามว่า “ตระกูลชุยไหน?”
“ตระกูลชุยแห่งเมืองภูษาไหมม่วง” ชายหนุ่มตอบอย่างแผ่วเบา ร่างของเขาสูงโปร่ง ท่วงท่าสงบนิ่ง ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเฉินซีนั่นเอง
“ผลึกใต้พิภพระดับราชันสามพันก้อน” ชายชราเสนอราคา
ชายหนุ่มตกตะลึง ถามว่า “ราคานี้เท่ากับสมบัติอมตะหลายชิ้นเลย มันไม่แพงเกินไปหน่อยหรือ?”
ชายชราเงยหน้าขึ้น หลังจากยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเล่น จึงตอบอย่างจริงจังว่า “หากเจ้ากลับมาในสิบวัน ข้าจะคิดเจ้าในราคาผลึกใต้พิภพธรรมดาเท่านั้น แต่ยามนี้ ต้องจ่ายที่ผลึกใต้พิภพระดับราชันสามพันก้อนเท่านั้น”
เฉินซีขมวดคิ้ว “เช่นนั้นมีอันใดที่น่าสนใจอีกบ้าง?”
“เจ้าไม่รู้หรือ หลังจากผ่านไปสิบวัน จะเป็น ‘พิธีบวงสรวงบรรพบุรุษ’ ของตระกูลชุยแล้ว?” ชายชราถามกลับ
พิธีบวงสรวงบรรพบุรุษหรือ?
เฉินซีครุ่นคิดสักพัก แต่ยังคงส่ายหน้า
ชายชรามองเฉินซีด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้กล่าวอันใดอีก
“นี่คือผลึกใต้พิภพระดับราชันสามพันก้อน” ชายหนุ่มส่งถุงเก็บของไปให้
ชายชราประหลาดใจเล็กน้อย ตอนนี้เขาชำเลืองมองเฉินซีอย่างตั้งใจ จากนั้นหยิบถุงเก็บของขึ้นมา หลังจากมองสักพัก เจ้าตัวอดเผยรอยยิ้มพึงพอใจไม่ได้ ก่อนพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เข้าไปตรงนั้น ตรงเข้าห้องที่สามบนชั้นห้า ใครบางคนจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าฟัง”
“ขอบคุณ” เฉินซีประสานมือ ก่อนหันหลังแล้วเดินเข้าไปข้างในหอการค้าสัพพัญญู
“ร่ำรวยถึงขนาดนี้ ดูท่าชายหนุ่มคนนี้จะไม่ใช่คนธรรมดาเสียแล้ว” ชายชรามองแผ่นหลังของเฉินซีหายไป สายตาของเขาจับจ้องถุงเก็บของอีกครั้ง พลางครุ่นคิดไปมา
ณ ห้องที่สามบนชั้นห้าของหอการค้าสัพพัญญู
เฉินซีผลักประตูแล้วเดินเข้าไป ภายในห้องมีโต๊ะเขียนหนังสือหนึ่งตัวกับเก้าอี้สองตัว ขนาดของห้องไม่ใหญ่นัก แต่ที่แห่งนี้กลับสามารถป้องกันไม่ให้ญาณเทวะอมตะตรวจสอบได้ ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยและคล้ายจะเก็บความลับได้ดียิ่ง
“เจ้าอยากรู้อันใด?” ด้านหลังโต๊ะ มีผู้ชายในชุดคลุมสีดำรออยู่ ทั่วทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยชุดคลุมสีดำนั่น มีเพียงสายตาเรียบเฉยสงบนิ่งที่ถูกเผยออกมา
“เข็มทิศปรโลกของตระกูลชุยหายไปได้อย่างไร” เฉินซีนั่งหน้าโต๊ะ ก่อนจะถามอย่างใจเย็น
ผู้ชายในชุดคลุมสีดำตกตะลึง แต่ยังคงตอบว่า “เข็มทิศปรโลกคือสมบัติเทวะของตระกูลชุย มันคือกุญแจในการควบคุมกรมราชทัณฑ์ มันตกอยู่ในมือของผู้อาวุโสรองแห่งตระกูลชุยนามชุยฟางจวิน ก่อนจะถูกขโมยไปเมื่อหนึ่งปีก่อน ส่วนอยู่ที่ใดนั้นไม่อาจทราบได้”
“ข้าแค่อยากรู้ว่าใครเป็นคนขโมยไป” เฉินซีกล่าว
“นี่เกินกว่าขอบเขตที่ข้าเข้าใจ ดังนั้นจึงตอบได้ยาก” ผู้ชายในชุดคลุมสีดำตอบโดยไม่ต้องคิด
ถึงแม้จะเป็นที่ชัดเจนว่าผลลัพธ์จะออกมาทรงนี้ แต่เฉินซียังอดไม่ได้ที่จะผิดหวัง ผ่านไปสักพัก เขาจึงถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของตระกูลชุย
ผู้ชายในชุดคลุมสีดำย่อมรู้เรื่องราวในตระกูลชุยดียิ่ง เขารู้ทุกสิ่งทุกอย่างเลยทีเดียว
“ที่แท้ทุกสิ่งจะถูกตัดสินในช่วงพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษสินะ…”
ผ่านไปสักพักใหญ่ หลังจากเฉินซีฟังจบ ในที่สุดเขาก็เข้าใจทุกอย่าง
สิ่งที่เรียกว่าพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษ คือพิธีกรรมที่ตระกูลชุยจัดขึ้นทุก ๆ หนึ่งปี ทว่าพิธีไม่ได้สำคัญนัก ที่สำคัญคือพิธีบูชานี้จะยุติความขัดแย้งภายในตระกูลชุยได้ชั่วขณะหนึ่ง ทำให้ผู้อาวุโสรองอย่างชุยฟางจวินสามารถยึดอำนาจของตระกูลชุยได้อย่างราบรื่น
สิ่งสำคัญที่สุดคือ หลังจากชุยฟางจวินดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูล ชุยเจิ้นคงผู้เป็นบรรพบุรุษตระกูลจะใช้เคล็ดวิชาต้องห้าม เพื่อเปิดพื้นที่ลับให้ชุยฟางจวินเข้าไปทำความเข้าใจเคล็ดวิชาที่สืบทอดกันมาของตระกูล
ถึงตอนนั้น ต่อให้ชุยชิงหนิงกลับตระกูล ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์โดยรวมได้
แน่นอนว่า เมื่อทุกสิ่งยังไม่คลี่คลาย ชุยฟางจวินย่อมไม่ยอมให้เกิดอุบัติเหตุใด ๆ ด้วยเหตุนี้ชุยชิงหนิงจึงถูกล่ามาโดยตลอด
เพราะหากว่ากันตามตรงแล้ว ชุยชิงหนิงคือผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลสายตรง …สายเลือดที่ไหลเวียนในร่างกายของนางพิเศษนัก มันเป็นกุญแจในการไขพื้นที่ลับที่ว่า ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรบกวนบรรพบุรุษตระกูลชุยเพื่อลงมือแต่อย่างใด
“ขอบคุณมาก”
เฉินซีลุกขึ้น ก่อนหันหลังแล้วกำลังจะจากไป
“สหายเต๋าอย่าเพิ่งไป หากเจ้าอยากรู้ว่าเข็มทิศปรโลกอยู่ที่ใด ข้าแนะนำให้เจ้าไปหอวีรบุรุษ เจ้าอาจจะได้ข้อมูลที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้” ผู้ชายในชุดคลุมสีดำพลันกล่าวขึ้น
“หอวีรบุรุษหรือ?”
ดวงตาของเฉินซีทอประกาย หลังจากขอบคุณคนผู้นั้นอีกครั้ง เขาจึงหันหลังแล้วจากไป
“โชคดีเหลือเกิน ทั่วทั้งสามร้อยแปดสิบเมืองในภูมิภาคราชหกวิถี ข้าเพิ่งได้พบกับเจ้าหนูนี่…”
หลังจากเฉินซีไปแล้ว ผู้ชายในชุดคลุมสีดำพลันหัวเราะคิกคักออกมา เขายกผ้าคลุมออก เผยให้เห็นสีหน้าเคร่งขรึม
ซู่!
เขาสะบัดมือ แผ่นหยกสื่อสารกลายเป็นสายรุ้ง ก่อนหายไปจากห้อง
…
เมืองสัพพัญญู หอวีรบุรุษ
ที่นี่คือภัตตาคารรกร้างแห่งหนึ่ง
เมื่อเฉินซีมาถึง เขาเห็นเพียงผู้จัดการร้านกำลังงีบอยู่หลังโต๊ะบัญชี ใกล้จะหลับเต็มที และนอกจากคนผู้นี้แล้ว ก็ไม่มีเสี่ยวเอ้อร์คนอื่นอีก
แต่เมื่อชายหนุ่มก้าวเข้ามาในตัวอาคารดังกล่าว เขาคล้ายกับสังเกตเห็นบางสิ่ง ทันใดนั้น ประกายเย็นเยือกฉายผ่านดวงตา ก่อนหยุดการเคลื่อนไหว
“โอ้ว ลูกค้าผู้มีเกียรติ รีบเข้ามาข้างในสิ!” ในตอนนี้ ผู้จัดการร้านก็สังเกตเห็นเฉินซีเช่นกัน กำลังใจเพิ่มพูนทันที เขากล่าวด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม
“ข้ากังวลว่าหลังจากเข้าไปแล้ว โลหิตจะไหลเป็นธารเอา” เฉินซีกล่าวอย่างราบเรียบ
ผู้จัดการร้านตกตะลึง จากนั้นจึงคลี่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ลูกค้าผู้มีเกียรติ ช่างมีอารมณ์ขันเสียจริง”
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนตลกหรือ?” เฉินซีถามกลับ สายตามองอีกฝ่ายด้วยความสนใจยิ่ง
“โลหิตจะไหลเป็นธารไม่นับเป็นอารมณ์ขันหรือ?” ผู้จัดการร้านถามกลับพร้อมยิ้มออกมา “ข้าย่อมรู้เรื่องนี้ดียิ่งว่าวันนี้จะต้องมีใครตายอย่างแน่นอน อย่างเช่นลูกค้าผู้มีเกียรติเช่นท่าน”
ทันทีที่สิ้นเสียง ทั่วทั้งหอวีรบุรุษส่องแสงสว่างวาบ ทันใดนั้นมันได้กลายเป็นค่ายกลอันน่าสะพรึง ผนึกเฉินซีกับโลกทั้งใบเอาไว้
ในเวลาเดียวกัน เงาสิบกว่าร่างได้ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ แต่ละคนทรงพลังและแกร่งกล้ายิ่งนัก
โดยเฉพาะผู้จัดการร้าน ทั่วร่างของเขาสั่นสะท้าน มีเขาหนึ่งข้างงอกขึ้นมา สูงแปดฉื่อ ขณะที่มีหมอกภูตผีล้อมรอบ ก่อนจะเปิดเผยใบหน้าสีน้ำเงิน ดวงตาแดงก่ำ รอบคอมีหัวกะโหลกเปื้อนโลหิตห้อยอยู่ ดูชั่วร้ายน่าเกรงขามนัก
“เจ้าหนูน้อย ยอมรับความตายแต่โดยดีเถอะ หลังจากเข้าค่ายกลแสงเทวะผันแปรโลหิตแล้ว ต่อให้การบ่มเพาะจะสูงส่งแค่ไหน ก็ต้องกลายเป็นแอ่งโลหิตอยู่ดี!” ผู้จัดการร้านผู้แปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปหัวเราะก่อนแผดจะเสียงคำราม
สีหน้าของเฉินซียังคงสงบ สายตาของเขากวาดมองรอบข้าง จากนั้นถอนหายใจออกมา กล่าวว่า “ดูท่าว่า ข้าจะถูกหอการค้าสัพพัญญูหลอกเข้าเสียแล้ว แต่ก็นะ…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง อีกฝ่ายก็พลันเข้ามาโจมตีอย่างอุกอาจ!