บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 981 หนึ่งกระบี่สะท้านสวรรค์
บทที่ 981 หนึ่งกระบี่สะท้านสวรรค์
บทที่ 981 หนึ่งกระบี่สะท้านสวรรค์
ผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือน
ผลึกประหลาดที่แฝงด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือน!
ผลึกประหลาดชนิดนี้ก่อตัวขึ้นในก้นทะเลทุกข์ และการได้มานั้นยากเข็ญ ตามตำนานว่ากันว่า ผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนทุกก้อนจะมีปีศาจอายุพันปีที่เรียกว่า ‘ภูตหน้าพระพุทธองค์’ เฝ้าปกป้องอยู่
ปีศาจตนนี้ก่อตัวขึ้นจากปราณชั่วร้ายและวิญญาณพยาบาทในทะเลทุกข์ ใบหน้าของมันเปี่ยมด้วยความเมตตาดุจพระพุทธองค์ แต่ร่างกายของมันมีรูปร่างเหมือนวิญญาณที่พบเห็นได้ทั่วไปในทะเลทุกข์ นั่นคือวิญญาณเนตรขจีที่มีนิสัยดุร้ายและกระหายเลือดอย่างบ้าคลั่ง
เนื่องจากมันไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่ก่อตัวขึ้นจากปราณชั่วร้ายและวิญญาณพยาบาท ร่างกายของมันจึงแปดเปื้อนด้วยความขุ่นเคืองของเหล่าทวยเทพที่ล้มตายในทะเลทุกข์ และหลังจากผ่านกาลเวลามานับไม่ถ้วน ความแข็งแกร่งของมันก็น่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง
ประกอบกับภูตหน้าพุทธองค์มักจะหลบซ่อนตัวอยู่ใต้ทะเลทุกข์ มันจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะทำเข่นฆ่าพวกมันได้
สิ่งนี้จึงเป็นที่ประจักษ์ว่า การได้รับผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนนั้นยากเพียงใด
ในท้องตลาด ผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนซึ่งมีขนาดเท่าหัวแม่มือที่เฉินซีครอบครองนั้นประเมินค่าไม่ได้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะซื้อไม่ว่าจะให้ราคาที่สูงแค่ไหนก็ตาม
หลังจากทราบเรื่องราวทั้งหมดนี้ ความตื่นเต้นในหัวใจของเฉินซีก็ลดลงอย่างมาก จากนั้นเขาก็สงบสติอารมณ์ ก่อนที่จะกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “หากเป็นเช่นนี้ การจะได้รับผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนจำนวนมาก มันจะเป็นไปไม่ได้เลยหรือ?”
เดิมที เฉินซีคิดว่าตั้งแต่เขาได้ค้นพบสมบัติหายากเช่นผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือน มันคงจะไม่มีอะไรดีไปกว่านี้ ถ้าชายหนุ่มสามารถรวบรวมบางส่วนและทำความเข้าใจจนบรรลุเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือนจนถ่องแท้
แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าการได้มาสักก้อนจะยากขนาดนี้
“ใช่แล้ว” เป้ยหลิงตอบกลับ “เป็นเพราะมันหายากเกินไป จึงมีไม่กี่คนในยมโลกที่สามารถหยั่งรู้เต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือนได้”
“แต่ข้าได้ยินมาว่าเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของราชานรกองค์ที่สองอาศัยอยู่ในทะเลทุกข์มาโดยตลอด เพื่อปกป้องทางเดินหมื่นดาราขณะที่รวบรวมผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนให้แก่ราชาฉู่เจียง” เป้ยหลิงหยุดชั่วขณะ นางดูจะหลงอยู่ในห้วงความคิด “ดังนั้นหากเจ้าต้องการได้รับผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือน บางทีการแย่งชิงมาจากพวกมันก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว”
นางย่อมหมายถึงการแย่งชิงจากเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของราชาฉู่เจียงนั่นเอง!
ดวงตาของเฉินซีเป็นประกายเมื่อได้ยินสิ่งนี้ แล้วจึงกล่าวว่า “นี่เป็นความคิดที่ไม่เลวจริง ๆ”
เมื่อเฉินซีสังหารแม่ทัพยักษาอากู่หลัวและคนอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ เขาพบว่าเหยียนถูผู้เป็นราชายักษาได้อาศัยอยู่ในน่านน้ำยักษาอันไกลโพ้น และเหยียนถูก็เป็นหนึ่งในมือขวาของราชาฉู่เจียง ดังนั้นชายหนุ่มจึงคาดเดาว่า บางทีเขาอาจได้รับผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนจากการฆ่าเหยียนถู
ทันใดนั้น เป้ยหลิงก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ราชาฉู่เจียง มีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนทองคำ เจ้าตั้งใจจะไปฆ่ามันจริง ๆ หรือ?”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเฉินซียังคงสงบและเคร่งขรึม เขาตอบโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “ข้าจะไป”
เมื่อเฉินซีกล่าวถึงเรื่องนี้ เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าเป้ยหลิงเป็นห่วงตน สีหน้าของชายหนุ่มพลันอ่อนโยนลงขณะที่กล่าวว่า “อย่าได้กังวล ในเมื่อข้ากล้าไปที่นั่น อย่างน้อยข้าก็จะไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง”
เป้ยหลิงพยักหน้าและนางก้มหัวลงพร้อมกับนิ่งเงียบ
อันที่จริง ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้อีกฟากหนึ่งของทะเลทุกข์มากเท่าใด นางก็ยิ่งหวังว่าพวกเขาจะเดินช้าลงและยิ่งนานขึ้นเท่านั้น มีหลายครั้งที่นางอยากเกลี้ยกล่อมให้เฉินซีหันหลังกลับด้วยเหตุผลหลายประการ
แต่สุดท้ายนางก็ยั้งใจไว้ได้ เพราะรู้ดีว่าแม้ใจหนึ่งจะกังวลว่าเฉินซีจะประสบกับอันตราย แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดคือนางไม่อยากแยกจากเฉินซีในเร็ว ๆ นี้!
เพราะในเวลานั้น …ยามเฉินซีหวนคืนกลับสู่ภพมนุษย์ นางจะต้องอยู่ในยมโลกต่อไป และพวกเขาอาจไม่ได้พบกันอีก
วูดดดดด~
ในขณะนี้ คลื่นเสียงแตรอันอ้างว้างดังออกมาจากทะเลไกลโพ้นอย่างฉับพลัน และมันสั่นสะท้านไปทั้งฟ้าดิน พร้อมกับแผ่จิตสังหารที่เยือกเย็นและเกรี้ยวกราดออกมา ทำให้หัวใจของทุกคนสั่นไหว
พร้อมกับเสียงนี้ ยักษาสามกลุ่มได้ทะยานผ่านท้องฟ้าเข้ามาดุจเมฆสีดำทะมึน พวกมันเป็นเหมือนตั๊กแตนที่ปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดิน พวกมันทั้งหมดล้วนมีใบหน้าสีแดงเข้มดุร้าย ขณะที่กระพือปีกสีดำสนิทเคลื่อนตัวมาข้างหน้า!
“แม่ทัพใหญ่ของราชายักษา โม่ฟู!”
“แม่ทัพรองของราชายักษา หัวหลิง!”
“แม่ทัพสี่ของราชายักษา เยี่ยหลัวเจิน!”
แม้ร่างของพวกเขาจะยังมาไม่ถึง แต่เสียงก็ดังก้องกังวานไปทั่ว และสั่นสะเทือนทั้งฟ้าดินดุจเสียงฟ้าผ่า
ยักษาทั้งสามกลุ่มนั้น แต่ละกลุ่มประกอบด้วยองครักษ์ยักษาหนึ่งร้อยตน และแม่ทัพยักษาที่เป็นผู้นำล้วนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปด
ในชั่วพริบตา ทั้งสามกลุ่มก็ปิดล้อมเรือเหาะสมบัติที่เฉินซีและเป้ยหลิงโดยสารอยู่อย่างสมบูรณ์
ยักษาที่เป็นผู้นำเรียกว่าโม่ฟู เอามือกอดอกขณะที่จ้องมองอย่างภาคภูมิไปยังเฉินซีและเป้ยหลิง จากนั้นจึงถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าคือมนุษย์คนนั้นที่มาจากภพมนุษย์รึ?”
“พี่ใหญ่ เหตุใดต้องเปลืองลมหายใจ? ผู้ใดจะสนใจว่ามันเป็นมนุษย์คนนั้นจากภพมนุษย์หรือไม่? มาฆ่ามันก่อนเถอะ!” แม่ทัพรองหัวหลิงที่อยู่ใกล้เคียงกล่าวด้วยท่าทางอาฆาต เขาดูจะกระเหี้ยนกระหือรือยิ่ง กระทั่งดวงตายังเต็มไปด้วยจิตสังหารพลุ่งพล่าน
“พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สามอากู่หลัวยังมาไม่ถึง เราควรรอเขาหรือไม่” เยี่ยหลัวเจิน แม่ทัพสี่ของยักษาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามด้วยเสียงแผ่วเบา
“ไอ้โง่นั่นน่ะหรือ? เหตุใดเราต้องรอมันด้วย?” แม่ทัพใหญ่โม่ฟูกล่าวด้วยความไม่พอใจ
“ใช่แล้ว หากอากู่หลัวมาถึง ผลงานของเราจะลดลงเปล่า ๆ” แม่ทัพรองหัวหลิงส่ายศีรษะเช่นกัน
ขณะที่แม่ทัพยักษาเหล่านี้กล่าว พวกเขาดูจะมองว่าเป้ยหลิงกับเฉินซีเป็นสิ่งของที่อยู่ในถุงย่าม และคำพูดนี้ก็เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและคุกคาม
สีหน้าของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเผชิญกับเรื่องทั้งหมดนี้ และเขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับมันเลยแม้แต่น้อย สายตาลึกล้ำของชายหนุ่มมองทะลุผ่านมวลยักษาและจดจ้องไปยังระยะไกล
เพราะมีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งอยู่ที่นั่น มันเก็บงำซ่อนเร้นและไม่ขยับเขยื้อน ในขณะที่ให้ความสนใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่อย่างใกล้ชิด
เฉินซีไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากลิ่นอายนี้น่าจะเป็นราชายักษา เหยียนถู!
“เขาเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก…” ชายหนุ่มเบือนสายตาออกและดูจะจมอยู่ในห้วงความคิด กลิ่นอายของราชายักษาควบแน่นราวกับภูเขาและลึกราวกับทะเล อีกทั้งยังปลดปล่อยความรู้สึกที่น่าสะพรึงกลัวและน่าสยดสยองออกมา เห็นได้ชัดว่าราชายักษาได้ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน และไม่อาจประเมินฝีมืออีกฝ่ายได้ต่ำเกินไป
ถึงขนาดที่อาจกล่าวได้ว่าราชายักษาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์คนแรกที่เฉินซีได้พบตั้งแต่ที่เข้าสู่ยมโลก และนั่นทำให้เขารู้สึกถึงแรงกดดัน!
แน่นอนว่ามันเป็นเพียงแรงกดดันเท่านั้น…
เพราะอันที่จริง เฉินซีแทบไม่สามารถอดใจรอการต่อสู้ครั้งนี้ได้เลย ด้วยยิ่งการบ่มเพาะของเขาสูงขึ้น ชายหนุ่มก็พบว่าแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะหาคู่ต่อสู้ที่พอมีฝีมือทัดเทียมกัน หากไม่เผชิญกับตัวตนอ่อนแอเกินไปอย่างผู้อาวุโสรองตระกูลชุย ก็เผชิญกับตัวตนที่แข็งแกร่งเกินไปอย่างมหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลก และชุยเจิ้นคง บรรพบุรุษของตระกูลชุย!
ดังนั้นคู่ต่อสู้อย่างราชายักษาที่มีการบ่มเพาะคล้ายกับเขาและสามารถทำให้ชายหนุ่มรู้สึกถึงแรงกดดัน จึงนับเป็นอาหารจานโปรดที่ยั่วยวนให้เขาอยากลิ้มลองยิ่งนัก!
เฉินซีได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางที่ ‘สุดขีด’ ของขอบเขตเซียนปฐพีแล้ว และเขายืนหยัดอย่างภาคภูมิ ณ จุดสูงสุดของพลังที่ภพมนุษย์จะมีได้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับชายหนุ่มที่จะหาคู่ต่อสู้ท่ามกลางเหล่าผู้บ่มเพาะที่อยู่ในระดับเดียวกัน
ส่วนตัวตนที่มีการบ่มเพาะอย่างขอบเขตเซียนสวรรค์และขอบเขตเซียนลึกลับ พวกมันต่างเหนือขีดจำกัดของการบ่มเพาะของเขาแล้ว และนับได้ว่าเป็นตัวตนในอีกระดับหนึ่ง ดังนั้นเฉินซีจึงไม่อาจเทียบเคียงกับพวกเขาได้
“ไอ้มนุษย์บัดซบ! นี่เจ้ากล้าเมินเราจริงหรือ!? พวกเจ้าจงฆ่าไอ้เด็กนี่ซะ!” แม่ทัพรองหัวหลิงมีนิสัยรุนแรงดุจระเบิดเพลิง และเมื่อเห็นว่าเฉินซีไม่สนใจพวกเขาจริง ๆ เจ้าตัวพลันกระทืบเท้าด้วยความโกรธก่อนจะคำรามขึ้นฟ้า
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ในพริบตาต่อมา ทหารองค์รักษ์ยักษาหนึ่งร้อยตนก็เคลื่อนตัวออกมาจากทางด้านหลังของหัวหลิงอย่างพร้อมเพรียงกัน …พวกเขากระพือปีกประหนึ่งกลุ่มปีศาจที่โผล่ออกมาจากขุมนรก ขณะกู่ร้องและหัวเราะ พร้อมพุ่งตัวเข้าหาเฉินซี!
ครืน!
วิธีการโจมตีของยักษานั้นเรียบง่ายและหยาบกระด้างมาก เพราะมันคือการพุ่งตัวไปข้างหน้า! พวกมันกล้าหาญดุจทหารม้าที่ห้อตะบึงผ่านภูเขาและแม่น้ำ อีกทั้งยังโจมตีเหมือนสายฟ้าฟาดที่กวาดตัวออกไปรอบ ๆ ซึ่งแฝงกลิ่นอายอันน่าเกรงขามและพลังน่าสะพรึงกลัวที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกมันลงมือ เฉินซีก็ลงมือทันทีเช่นกัน
โอม!
กระบี่ยันต์ศัสตราในมือของเขาถูกขดด้วยลำแสงศักดิ์สิทธิ์นับพันนับหมื่น จนดูเหมือนดวงอาทิตย์เจิดจรัสที่แผดเผาพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะฟันลงมาพร้อมพลังสังหารที่ไร้ความปรานี ซึ่งหมายมั่นที่จะทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง
การฟันด้วยกระบี่ครั้งนี้มีจิตสังหารที่พลุ่งพล่าน!
การฟันด้วยกระบี่ครั้งนี้ดูราวกับว่ามันจะแบ่งแยกหยินหยางออกจากกัน!
การฟันด้วยกระบี่ครั้งนี้ดูเหมือนกับว่ามันสามารถแยกดำและขาว ความดีและความชั่ว ความบริสุทธิ์และความขุ่นมัวออกจากฟ้าดิน ทำให้ทุกสรรพสิ่งในโลกกลับสู่ระเบียบ
การฟันด้วยกระบี่ครั้งนี้เป็นหนึ่งในเจ็ดกระบวนท่าแห่งการพิพากษา… ทุกสรรพสิ่งมีกฎ!
ขวับ!
เมื่อกระบี่ฟันลงมา ฟ้าดินก็ดูจะกลับคืนสู่ความเงียบงันและตกอยู่สภาวะที่ไร้การเคลื่อนไหว มีเพียงประกายแสงแหลมคมซึ่งดูราวกับว่ามันจะทำลายสะบั้นความโกลาหลในโลกออกจากกันเท่านั้นที่สาดส่องผ่านท้องฟ้า
เวลาดูเหมือนจะหยุดลงในขณะนี้ และทุกคนมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า รอยยิ้มอำมหิตแห่งชัยชนะยังคงอยู่บนใบหน้าของแม่ทัพยักษาทั้งสาม ซึ่งได้แก่ โม่ฟู หัวหลิง และเยี่ยหลัวเจิน
ความกระหายเลือดในดวงตาสีแดงเข้มขององครักษ์ยักษาร้อยตนที่กำลังพุ่งเข้ามา ความกังวล และจิตสังหารที่ทอประกายอยู่ในดวงตาสุกใสคู่นั้นของเป้ยหลิง ทั้งหมดนี้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน!
แต่ทั้งหมดนี้กลายเป็นความตกใจและความงุนงงในชั่วพริบตา กระทั่งมีความหวาดกลัวอย่างสุดจะพรรณนาอยู่ในหัวใจของพวกเขา
โครม!
ร่างกายของยักษาที่พุ่งตัวเข้ามาเป็นตนแรกสั่นสะท้าน จากนั้นร่างกายของมันพลันกลายเป็นเศษเนื้อที่ร่วงหล่นสู่ทะเลทุกข์ ราวกับมันถูกสับเป็นชิ้น ๆ ด้วยมีดคมกริบนับพันนับหมื่นในชั่วพริบตา ซึ่งฉากนั้นก็โหดร้ายและน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด ยิ่งกว่านั้น รอยยิ้มอำมหิตบนใบหน้าของมันยังไม่จางหายไป แม้ในขณะที่มันถูกพรากชีวิตไปแล้วก็ตาม
เหตุการณ์นี้ทำลายบรรยากาศเงียบสงบเช่นกัน
ต่อจากนั้น เสียงอื้ออึงจากการระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ ก็ดังออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดูคล้ายกับซากศพนับพันในโรงเชือดที่ถูกสับพร้อม ๆ กัน
หลังจากนั้น สายฝนเลือดสีแดงสดก็โปรยปรายลงมาจากกลางอากาศและย้อมทะเลจนเป็นสีแดง!
การฟันด้วยกระบี่เพียงครั้งเดียว กลับทำให้องครักษ์ยักษาทั้งร้อยตนได้กลายร่างเป็นสายฝนเลือดโปรยปรายลงมาในฟ้าดิน
เหตุการณ์นี้ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ ถึงอย่างไร พวกมันก็คือผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีกว่าหนึ่งร้อยคน แต่พวกมันยังไม่ทันได้เปิดฉากโจมตี กลับต้องถูกบดขยี้จนตายเหมือนฝูงมดด้วยการฟันกระบี่เพียงครั้งเดียว!
ฉากที่น่าสยดสยองและน่าเวทนาเช่นนี้ เหมือนกับฉากในนรกอเวจี และทำให้ทุกคนที่พบเห็นต้องตกตะลึง
สิ่งที่มาพร้อมกับสิ่งนี้คือความสยดสยองอันไร้ขอบเขต ซึ่งแผ่ขยายออกไปราวกับคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าสู่หัวใจของยักษาทุกตน อีกทั้งยังเหมือนกับอสรพิษที่กลืนกินและสลายความตั้งใจที่จะต่อสู้ของพวกมัน
สีหน้าของพวกมันซีดลง ในขณะที่ม่านตาหดแคบ และร่างกายของพวกมันสั่นสะท้าน ยักษาเหล่านี้ดูราวกับมดที่ตกลงไปในเหวลึกไร้ก้นบึ้ง ดวงวิญญาณของพวกมันแทบจะหลุดออกจากร่างไป!
แม้แต่โม่ฟู หัวหลิง และเยี่ยหลัวเจินก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน ในขณะที่สีหน้าของพวกมันดูหนักอึ้งยิ่ง และเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวที่ไร้ขอบเขตออกมา
…ใครจะจินตนาการได้ว่า ผู้เยี่ยมยุทธ์จากภพมนุษย์ที่ยืนอยู่ต่อหน้าพวกมันจะมีพลังต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้?
เป็นเพราะพวกมันไม่เคยคาดคิดมาก่อน จึงทำให้พวกมันตกใจและหวาดกลัวสุดขีด
การฟันด้วยกระบี่ครั้งนี้เป็นไปตามที่เฉินซีคาดไว้… มันได้สร้างความหวาดกลัวในหัวใจของทุกคน!
ในเวลาเดียวกัน นี่เป็นการฟันกระบี่ด้วยพลังทั้งหมดที่เขาจะสามารถใช้ได้ด้วยการบ่มเพาะในปัจจุบันที่มีอยู่ และเพื่อทำลายสถานการณ์ที่ถูกปิดล้อม ประกอบกับการเข่นฆ่าเพื่อเปิดเส้นทาง มันจึงทำให้ศัตรูของเขาหวาดกลัวอย่างสุดซึ้งด้วยเช่นกัน!
ย่อมไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหลังจากที่ชายหนุ่มใช้กระบวนท่ากระบี่นี้ออกไป สีหน้าของเฉินซีจะซีดลงชั่วขณะ ก่อนที่จะฟื้นคืนสู่ความปกติในทันที