บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 990 ถูกเปิดเผยตัวตน
บทที่ 990 ถูกเปิดเผยตัวตน
บทที่ 990 ถูกเปิดเผยตัวตน
ครั้งหนึ่ง เฉินซีเคยสัมผัสถึงความรู้สึกนี้จากหลียางผู้เป็นศิษย์พี่ของเขา มันเหมือนกับว่าเขากลายเป็นนักโทษที่ถูกเต๋าแห่งสวรรค์เนรเทศและถูกทอดทิ้งจากโลกนี้ ซึ่งน่าอึดอัดเป็นอย่างมาก
สิ่งนี้ทำให้วิญญาณของชายหนุ่มสั่นสะท้านทันที และถูกกดดันเสียจนใกล้จะพังทลาย ยิ่งกว่านั้น ทั้งพลังชีวิตและปราณเซียนในร่างยังรู้สึกราวกับกำลังจะหลบหนีจากการควบคุม
แต่เฉินซีได้เคลื่อนไหวแล้วในขณะนี้ เขาไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยและไม่ได้คิดเลยสักนิด เพราะหากยังคงไม่เคลื่อนไหว เขาจะถูกกลิ่นอายที่น่าเกรงขามนี้กดดันในอีกชั่วขณะหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ต้องกล่าวถึงการเคลื่อนไหวเลย แม้แต่การลงมือก็อาจจะทำไม่ได้
โครม!
ร่างของเฉินซีทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ในขณะที่เขาเงื้อศอกและกำหมัด จากนั้นก็ปล่อยหมัดออกไปทันที ทำให้เกิดเส้นทางสีแดงเข้มที่สว่างไสวด้วยเปลวไฟแผ่ขยายออกไป และนำไปสู่ปารมิตา
ดวงตาของจี้คังเป็นประกายเมื่อเขาเห็นเส้นทางที่สว่างไสวด้วยเปลวไฟนั้น ก่อนจะกล่าวอย่างครุ่นคิดว่า “บรรลุเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาขอบเขตสมบูรณ์และเพลงหมัดเทพอัคคี แม้แต่มหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกฉีซานเหอก็ไม่สามารถเข้าใจศาสตร์เต๋าดังกล่าวได้”
ท่ามกลางน้ำเสียงสงบนิ่งและหนักแน่น เจ้าตัวสะบัดแขนเสื้อเบา ๆ ทำให้ลมภูเขาโหมกระหน่ำ ก่อนมันจะกลายเป็นฟองอากาศหลายชั้น สลายพลังหมัดเพลิงนี้ไปสู่ความว่างเปล่าจนหมดสิ้น ซึ่งการกระทำนี้แสดงด้วยท่วงท่าที่ผ่อนคลายและสบาย ๆ ราวกับว่าจี้คังกำลังดับแสงเทียนอย่างไม่ได้ใส่ใจ
เฉินซีเม้มปากแน่น ในขณะที่ดวงตาของเขาลุกเป็นไฟ และจิตวิญญาณในการต่อสู้ของชายหนุ่มพุ่งสูงขึ้น
เฉินซีชกออกไปอีกครั้งโดยไม่ลังเล
ทันใดนั้น หนทางนับพันที่สว่างไสวด้วยเปลวไฟก็พุ่งขึ้นท้องฟ้า และถักทอเข้าด้วยกันเหมือนตาข่ายเพลิงปกคลุมท้องฟ้า โดยมีดอกปารมิตาอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ในขณะที่เปลวไฟสว่างไสวไปทั่วทั้งท้องฟ้า
น่าเสียดาย ราชาฉู่เจียงไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยสักนิด เขาเพียงแค่ยกมือขึ้นเพื่อสลายการโจมตีทั้งหมดนี้
“เจ้าตั้งใจจะท้าทายราชาผู้นี้ด้วยเล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อยเหล่านี้หรือ?” ราชาฉู่เจียงกล่าวอย่างเฉยเมย ร่างของเขาโดดเดี่ยวและสูงส่งดุจขุนเขา แม้ว่าเสียงของเขาจะไม่ได้มีแววเยาะเย้ย แต่ท่าทางที่ดูถูกสิ่งมีชีวิตทั้งหมดราวกับมด ก็เป็นการดูถูกเหยียดหยามและไม่แยแสอย่างที่สุด
เฉินซียังคงเงียบ ชายหนุ่มในเวลานี้เป็นเหมือนหินผาที่แข็ง ดื้อรั้น และดันทุรัง เขายังคงเฉยเมยต่อทุกสิ่งรอบข้าง และมุ่งความสนใจไปยังการต่อสู้เท่านั้น
เพลงหมัดเทพอัคคีโจมตีไม่สำเร็จ ดังนั้นเขาจึงชักกระบี่ยันต์ศัสตราออกมา และใช้เจ็ดกระบวนท่าแห่งการพิพากษาออกไป
โอม!
กระบี่ยันต์ศัสตราที่มีดำสนิทและไร้ความมันวาวยังคงปกปิดความเฉียบคมไว้ อีกทั้งมันยังแฝงไปด้วยกลิ่นอายที่ไร้ความปรานีและอำมหิตอย่างท่วมท้น ขณะที่มันฉีกผ่านท้องฟ้า และฟันลงมาราวกับอาญาแห่งสวรรค์
แบ่งแยกหยินหยาง!
การฟันด้วยกระบี่เล่มนี้ เป็นกระบวนท่าแรกของเจ็ดกระบวนท่าแห่งการพิพากษา ซึ่งเน้นย้ำถึงความรวดเร็วและรุนแรง มันรวดเร็วและรุนแรงอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ ทันทีที่กระบวนท่านี้ถูกฟันออกมา กลิ่นอายของราชาฉู่เจียงที่มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งก็ถูกฉีกเปิดออกเป็นช่องว่างเล็ก ๆ
ฉากนี้ทำให้ราชาฉู่เจียงประหลาดใจ “พลังแห่งการพิพากษาจากกรมราชทัณฑ์หรือ? ตาเฒ่าชุยเจิ้นคงเพียรพยายามฝึกฝนมาเป็นเวลานับไม่ถ้วน แต่เขาก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้จนถึงตอนนี้ ถึงกระนั้น มนุษย์ตัวเล็ก ๆ จากภพมนุษย์เช่นเจ้ากลับบรรลุเคล็ดวิชานี้ สิ่งนี้เกินความคาดหมายของราชาผู้นี้จริง ๆ”
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่การกระทำของราชาฉู่เจียงก็ไม่ได้ช้าลงงเลย มือของเขากดลงกลางอากาศ ทำให้ฟ้าดินดูจะกลายเป็นหินโม่ จากนั้นเสียงโครมครามก็ดังก้องกังวาน ในขณะที่ปราณกระบี่ซึ่งฟันลงมาแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เฉินซีได้รับบาดเจ็บจากสิ่งนี้ ทำให้ร่างของเขาเซไปข้างหลัง ก่อนจะกระอักเลือดออกมา ในขณะที่ใบหน้าซีดลง
เฉินซีเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก ดวงตายังคงทอประกายดื้อรั้นอยู่เช่นเดิม และเขากำกระบี่ยันต์ศัสตราในมือแน่น ก่อนจะพุ่งตัวเข้าใส่อีกครั้ง
พิพากษาโลกา ล้างบางอธรรม พิพากษาความดีและความชั่ว แยกแยะถูกผิด ทุกสรรพสิ่งมีกฎ… สุดยอดศาสตร์เต๋าที่เขาสืบทอดมาจากระเบียนแดนมรณะ ถูกเฉินซีฟันออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า
ปราณกระบี่เปล่งประกายทั้งแนวนอนและแนวตั้ง ราวกับดาบแห่งการสังหารที่โหดเหี้ยม การโจมตีแต่ละครั้งสามารถทำลายล้างภูมิทัศน์ในรัศมีสองหมื่นห้าพันลี้ และบดขยี้ผู้เยี่ยมยุทธ์ในระดับการบ่มเพาะเดียวกันได้!
อย่างไรก็ตาม ราชาฉู่เจียงยืนอยู่ตรงนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ และร่างของอีกฝ่ายไม่ได้ขยับแม้แต่ก้าวเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ เขาเพียงแค่โบกมือ บดขยี้การโจมตีเหล่านี้ไปทีละชั้นได้อย่างง่ายดาย
ไม่ใช่ว่าเจ็ดกระบวนท่าแห่งการพิพากษานั้นไม่ทรงพลัง แต่เป็นเพราะว่าช่องว่างระหว่างการบ่มเพาะของพวกเขานั้นใหญ่เกินไป ฝั่งหนึ่งคือเซียนปฐพีระดับแปด ในขณะที่อีกคนเป็นเซียนทองคำ คนหนึ่งอยู่บนพื้นดิน ในขณะที่อีกคนอยู่บนสวรรค์ แล้วพวกเขาจะเปรียบเทียบกันได้อย่างไร?
เหตุการณ์นี้ไม่ต่างอะไรกับมดที่พยายามเขย่าต้นไม้ใหญ่ หรือขว้างไข่ใส่หิน
แต่เฉินซียังคงเฉยเมยต่อเรื่องทั้งหมดนี้ เขาพุ่งไปตลอดทางด้วยท่าทางที่แน่วแน่ ดื้อรั้น ไร้ความปรานี และไม่สั่นคลอน อีกทั้งยังไม่ท้อถอยเลยแม้แต่น้อย
ในเวลาไม่นาน ร่างกายของเฉินซีก็อาบไปด้วยเลือด และเลือดสีแดงเข้มก็ไหลหยดลงพื้น เกิดเป็นภาพที่น่าสยดสยอง
นี่ไม่ใช่การบาดเจ็บที่เกิดโดยเจตนาของราชาฉู่เจียง แต่เป็นผลสะท้อนจากการที่เขาพุ่งเข้าใส่อย่างไม่หยุดหย่อน สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าราชาฉู่เจียงนั้นน่าเกรงขามเพียงใด
อีกฝ่ายไม่ได้ขยับกายเลย แต่กลับสยบเฉินซีได้อย่างสมบูรณ์!
หากราชาฉู่เจียงคิดจะลงมือ ผลลัพธ์ก็อาจจะถูกตัดสินในทันที
แต่น่าแปลกที่ราชาฉู่เจียงไม่ได้ทำเช่นนี้ เขาดูจะเป็นเหมือนแมวหยอกเล่นกับหนู ไม่ได้รีบร้อนที่จะฆ่าเฉินซีทันที ราวกับว่าเจ้าตัวต้องการจะเห็นว่ามดตัวน้อยจากภพมนุษย์จะฆ่าตัวตายอย่างไร
แควก!
ในไม่ช้า การเคลื่อนไหวของเฉินซีก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาเก็บยันต์ศัสตราออกไป และสร้างผนึกโบราณด้วยมือ ในขณะนั้น แรงฉีกขาดที่น่าสะพรึงกลัวได้บดขยี้และทำลายความว่างเปล่าเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้เกิดห้วงมิติไหลเวียนด้วยกระแสอันปั่นป่วน
กลบฝังสวรรค์ ผนึกแห่งการลืมเลือน!
นี่เป็นหนึ่งในสามเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำในคัมภีร์สยบสวรรค์แห่งการลืมเลือน มันสร้างผนึกด้วยพลังแห่งการลืมเลือนเพื่อสั่นคลอนฟ้าดินโดยหมายจะฝังกลบโลกทั้งใบลงสู่การลืมเลือน!
ดวงตาของราชาฉู่เจียงในยามนี้ปะทุด้วยสายฟ้าที่เปล่งประกาย “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าสามารถควบคุมข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนได้ ในที่สุดราชาผู้นี้ก็เข้าใจแล้ว!”
ปัง!
ในขณะนี้ ฝ่ามือของเฉินซีได้กำผนึกดังกล่าวทุบใส่ราชาฉู่เจียง แต่ราชาฉู่เจียงไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยสักนิด เขาดูจะตกใจและเผยให้เห็นความอยากรู้อยากเห็น
เฉินซีในยามปกติจะไม่ลังเลเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ จากนั้นฝ่ามือของเขาก็ฉีกขึ้นไปบนท้องฟ้า ในขณะที่ฟาดใส่ราชาฉู่เจียงอย่างดุเดือด
แต่ในช่วงเวลาถัดมา ชายหนุ่มพบว่าสถานการณ์ยังห่างไกลจากคำว่า ‘ดี’ เนื่องจากร่างของราชาฉู่เจียงเป็นเหมือนมหาสมุทรไร้ก้นบึ้ง ซึ่งสลายพลังของการโจมตีนี้ได้อย่างสมบูรณ์
สิ่งที่น่าสยดสยองที่สุดสำหรับเขาก็คือ เฉินซีสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ภายในร่างของราชาฉู่เจียงนั้นมีพลังแห่งการลืมเลือนอยู่จริง และมันยังควบแน่นเป็นพลังกฎเกณฑ์อีกด้วย!
โครม!
ราชาฉู่เจียงหายใจเข้าออก ในขณะที่ร่างกายของเขาเป็นเหมือนมหาสมุทรที่โหมกระหน่ำอย่างฉับพลัน จากนั้นเฉินซีก็รู้สึกว่าร่างกายของตนสั่นสะท้าน ในขณะที่เซไปข้างหลังและถูกระเบิดกระเด็นออกไป ทำให้ชายหนุ่มกระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่ง
ร่างกายของเฉินซีในเวลานี้อาบไปด้วยเลือด และสีหน้าของเขาก็ซีดเผือด แม้ว่าจะมีต้นอ่อนเงาทมิฬที่คอยเติมเต็มปราณเซียน แต่อาการบาดเจ็บยามนี้ก็รุนแรงมาก จนชายหนุ่มไม่สามารถทนได้เพียงเล็กน้อย เขารู้สึกปวดแสบปวดร้อน ในขณะที่พลังชีวิตและร่างกายทรุดตัวลง
“นี่คือพลังของเซียนทองคำหรือ? มันไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะต่อสู้ได้ในตอนนี้…”
เฉินซีหอบหายใจอย่างหนัก ดวงตาของเขาเป็นสีแดงก่ำเหมือนสัตว์ร้ายที่ติดกับดักซึ่งอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง แต่ในใจชายหนุ่มกลับไม่ได้ท้อถอยเลยแม้แต่น้อย และเขาเข้าใจความเป็นจริงอย่างชัดเจนผ่านการต่อสู้ที่สิ้นหวังก่อนหน้านี้
“ทำต่อไปเสีย ไม่งั้นราชาผู้นี้จะฆ่าเจ้า!” เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่เคลื่อนไหว ราชาฉู่เจียงผู้มักสงบและไม่แยแสอยู่เสมอก็กลายเป็นคนใจร้อน จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ ซึ่งเผยให้เห็นน้ำเสียงที่ออกคำสั่งอันปฏิเสธไม่ได้
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะหลอมรวมความล้ำลึกของการลืมเลือนไว้ในพลังแห่งกฎ แต่เจ้ากลับไม่มีเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่สามารถนำพลังของมันออกมาได้อย่างสมบูรณ์”
เฉินซีคาดเดาความคิดของราชาฉู่เจียงได้ในทันที และรอยยิ้มเยาะเย้ยก็ระบายอยู่ที่มุมปากของเขา
“ถูกต้อง ข้าพำนักอยู่ที่ชายฝั่งทะเลทุกข์มานานปี และทำความเข้าใจต่อความล้ำลึกของการลืมเลือนทั้งวันทั้งคืน น่าเสียดาย นอกจากคัมภีร์สยบสวรรค์แห่งการลืมเลือนแล้ว ไม่มีเคล็ดวิชาบ่มเพาะอื่นที่สามารถดึงเอาพลังทั้งหมดของความล้ำลึกของการลืมเลือนออกมาได้” ราชาฉู่เจียงตอบอย่างตรงไปตรงมาและสงบนิ่ง เขาจ้องมองเฉินซีด้วยสายตาที่เฉียบแหลมขณะที่กล่าวว่า “แต่มดตัวเล็ก ๆ จากภพมนุษย์เช่นเจ้ากลับเข้าใจเคล็ดวิชาบ่มเพาะนี้อย่างแท้จริง และมันทำให้แม้แต่ราชาผู้นี้ก็ยังรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย”
เฉินซีเม้มริมฝีปากและเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนชายหนุ่มจะกล่าวว่า “หรือที่เจ้าไม่ได้เคลื่อนไหวในตลอดเวลาที่ผ่านมา เป็นเพราะเจ้าต้องการยืนยันสิ่งนี้? ”
“แม้ว่าการบ่มเพาะของเจ้าจะต่ำต้อย แต่เจ้าก็ไม่ได้โง่เสียทีเดียว” ราชาชูเจี้ยนกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ไม่ว่ามันจะเป็นเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตา เต๋ารู้แจ้งแห่งการพิพากษา หรือเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือน การที่เจ้าเข้าใจมันก็ไม่น่าแปลกใจสำหรับราชาผู้นี้ เนื่องจากภายในยมโลก มหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกได้เข้าใจเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาแล้ว กรมราชทัณฑ์ก็มีความเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งแห่งการพิพากษา และราชาผู้นี้ก็ได้เข้าใจเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือน”
เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อไปว่า “สิ่งที่กระตุ้นความสนใจของราชาผู้นี้คือศาสตร์เต๋าที่เจ้าใช้ เช่นเพลงหมัดเทพอัคคี เจ็ดกระบวนท่าแห่งการพิพากษา และคัมภีร์สยบสวรรค์แห่งการลืมเลือน ซึ่งภายในยมโลกมีเพียงคนผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถสืบทอดมรดกสูงสุดทั้งสามนี้พร้อมกันได้ และคนผู้นั้นคือจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามเมื่อหลายปีก่อน!”
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง ในขณะที่หัวใจของเขาหนักอึ้งเล็กน้อย ‘อย่างที่ข้าคาดไว้ ดูเหมือนว่าเขาจะเดาบางสิ่งได้’
“ถ้าราชาผู้นี้เดาไม่ผิด…” จู่ ๆ ราชาฉู่เจียงก็เงยศีรษะขึ้น ในขณะที่สายตาเหมือนสายฟ้าฟาดของเขาจดจ้องมายังเฉินซีอย่างเย็นชา “เจ้าน่าจะเป็นผู้สืบทอดของจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม!”
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ไม่มากก็น้อย”
ราชาฉู่เจียงไม่ได้แสดงความตื่นเต้นเมื่อเห็นเฉินซียอมรับ และเขากล่าวด้วยความสนใจแทนว่า “ก่อนจะตาย เจ้าช่วยบอกราชาผู้นี้ได้หรือไม่ ว่าเจ้าซ่อนตัวจากสายตาเหล่าทวยเทพและพุทธองค์มาจนถึงบัดนี้ได้อย่างไร?”
เฉินซีย่อมเข้าใจว่าราชาฉู่เจียงหมายถึงอะไร ในฐานะผู้สืบทอดของจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม เขาถือเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งไม่อาจจะรอดพ้นจากการทำลายล้างของเหล่าทวยเทพและพุทธองค์ได้
แต่สถานการณ์ของเขาพิเศษเล็กน้อย ตามที่ศิษย์พี่หลียางได้กล่าวไว้ ชะตากรรมของชายหนุ่มถูกปกปิดตั้งแต่พริบตาที่เขาได้รับชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก และเขาได้กลายเป็น ‘สิ่งแปลกปลอม’ ในสายตาของเต๋าแห่งสวรรค์ ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกทวยเทพและพุทธองค์พบเห็น
แน่นอนว่า เฉินซีไม่ได้คิดจะบอกราชาฉู่เจียงเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเงยหน้าขึ้นและมองตรงไปยังราชาฉู่เจียง ในขณะที่กล่าวอย่างใจเย็น “ข้ายังไม่ตาย ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนั้น”
ราชาฉู่เจียงตกตะลึง จากนั้นกล่าวพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ ว่า “เจ้าว่ากระไรนะ? นี่เจ้ายังไม่ยอมรับชะตากรรมของตัวเองในเวลาเช่นนี้อีกหรือ?”
เฉินซีเม้มปากเงียบ มีเพียงดวงตาคู่นั้นของชายหนุ่มที่สงบนิ่งและดื้อรั้นเช่นเดิม
ลมสามารถพัดกระดาษจนปลิวได้ แต่ไม่อาจพัดพาผีเสื้อออกไปได้ เพราะพลังแห่งชีวิตนั้นปฏิเสธที่จะยอมจำนน!
“ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้ ราชาผู้นี้จึงทำได้เพียงฆ่าเจ้าก่อน แล้วค่อยค้นหาดวงวิญญาณของเจ้า เพื่อหาสิ่งที่ข้าต้องการ” ราชาฉู่เจียงหัวเราะ ในขณะที่น้ำเสียงของเขาเย็นชาและไร้ความรู้สึก ซึ่งเผยให้เห็นกลิ่นอายแห่งอำนาจสูงสุด
“งั้นก็เข้ามาเลย” เฉินซีตอบอย่างใจเย็น และทุกคำที่เขากล่าวนั้นเฉียบขาดเป็นอย่างมาก
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ราชาฉู่เจียงพลันระเบิดเสียงหัวเราะดังเสียจนสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณโดยรอบ ในที่สุด ร่างของเขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ขยับ ซึ่งในเวลาต่อมา มือที่เรียวกว้างได้ทะลุผ่านความว่างเปล่ามาถึงเหนือศีรษะของเฉินซีทันที ก่อนที่มันจะฟาดลงมาอย่างดุเดือด
มันรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ!