บัลลังก์ชายาหมอเทวดา - บทที่ 16 ยาชะล้างไขกระดูกรักษาปาน
บทที่ 16 ยาชะล้างไขกระดูกรักษาปาน
เย่จายซิงมองใบหน้าของตัวเองในกระจก แม้แต่ตัวนางเองยังไม่อยากจะมอง
เนื่องจากอัปลักษณ์มากเกินไป มิน่าถึงถูกคนในเมืองตั้งฉายาให้ว่าเป็นสตรีอัปลักษณ์อันดับหนึ่งในเมือง ซึ่งความเป็นจริงแล้วก็ถือว่าไม่เสียชื่อเลยจริงๆ
นางไม่อยากมองต่ออีกแม้แต่นิดเดียว จึงเดินเข้าห้องไป
“เจ้าไป๋ เดี๋ยวข้าจะกลั่นยาชะล้างไขกระดูก เจ้าช่วยข้าเตรียมหน่อยได้หรือไม่”
“ได้เลย ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!”
เจ้าไป๋กระตือรือร้นเป็นพิเศษ แล้ววิ่งออกไปเร็วจี๋อย่างกับลมพัด
ไม่นานนักมันก็เตรียมยาสมุนไพรชนิดต่างๆ ที่ต้องใช้มาเรียบร้อย พอดีกับตอนที่นางนำสมุนไพรที่เอามาจากห้องยาของจวนอ๋องออกมาพอดี
เตากลั่นยาสีม่วงวางไว้ด้านหน้าห้องผนังหิน ฝุ่นที่เกาะอยู่ด้านบนถูกทำความสะอาดเรียบร้อย ทำให้ได้ความรู้สึกของความลึกลับโบราณ ตรงก้นเตาเป็นเพลิงพิลึกซึ่งเป็นเปลวเพลิงที่มีอยู่ในโซนอยู่แล้ว และเป็นเปลวเพลิงที่ไม่ดับมานานนับปีแล้ว
ตามที่เจ้าไป๋เล่า เพลิงพิลึกนี้เดิมคือเพลิงเทวจิ่วโยที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกาทั้งหก และเพลิงพิลึกสามารถแบ่งออกเป็นระดับหนึ่งถึงเก้า และเพลิงเทวจิ่วโยถือเป็นเพลิงพิลึกที่อยู่ในระดับเก้าขึ้นไป
แต่สุดท้ายไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น สุดท้ายเปลวเพลิงนี้จึงกลายเป็นเพลิงพิลึกระดับหนึ่งที่อ่อนด้อยที่สุด
ภูตอัคคีที่อยู่ด้านในเพลิงพิลึกก็ได้หลับใหลมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว
เย่จายซิงยื่นมือไปสัมผัสเพลิงพิลึก นางไม่รู้สึกถึงความรู้สึกร้อนที่มาจากเปลวเพลิง จึงถอนใจเบาๆ อย่ามองว่าตอนนี้มันเป็นเพียงเพลิงพิลึกระดับหนึ่ง เพราะมันสามารถเผาศพให้กลายเป็นเถ้าธุลีได้ภายในระยะเวลาหนึ่งนาที
การที่มือของนางไม่ถูกเผา นั่นก็แสดงว่าเพลิงพิลึกจำเจ้าของได้จากจิตวิญญาณ ไม่ใช่ร่างกาย ดังนั้นแม้ว่านางจะเปลี่ยนร่างกายไปแล้ว แต่นางก็ยังคงสามารถควบคุมเพลิงพิลึกในการกลั่นยาได้
“นายหญิง นี่คือยารวมจิต”
เจ้าไป๋เอาขวดยาวางไว้ในมือของเย่จายซิง
นางเปิดจุกฝาขวดออกแล้วกินเข้าไปสามเม็ด
ยายารวมจิตสามารถรวบรวมพลังทิพย์เข้ามาไว้ในร่างกายได้ภายในระยะเวลาอันสั้น เป็นยาขั้นหนึ่งที่ไม่ได้มีคุณค่าสูงมากนัก แต่สำหรับเย่จายซิงแล้วมันมีความหมายมาก เพราะนางไม่สามารถฝึกตนได้ ภายในร่างกายของนางจึงไม่มีพลังทิพย์ และจะทำให้ไม่สามารถควบคุมการกลั่นยาได้
การกลั่นยาจำเป็นต้องใช้พลังทิพย์ในการควบคุม แต่สิ่งที่สูญเสียมากกว่ากลับเป็นพลังจิตโชคดีที่นางฝึกฝนพลังจิตจนแข็งแกร่งมาแต่แรกแล้ว ดังนั้นสำหรับนางแล้วการกลั่นยาจึงไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
เมื่อการเตรียมงานทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว นางจึงเริ่มรวบรวมพลังทั้งหมดไปที่การกลั่นยาชะล้างไขกระดูก
ยาชะล้างไขกระดูกเป็นยาขั้นห้า เมื่อชาติก่อนนางไม่เคยกลั่นสำเร็จ เพราะว่านางขาดสมุนไพรไปชนิดหนึ่ง
ที่จวนของจวินหยวนมีสมุนไพรครบครัน เมื่อนางเห็นสมุนไพรพวกนั้น ในหัวของนางก็ปรากฏรายชื่อยาต่างๆ ที่สามารถกลั่นได้ หากนางไม่หยิบติดมือมานางคงรู้สึกผิดต่อตัวเอง
เวลาในการกลั่นยาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวเวลาก็ผ่านไปหนึ่งคืน เย่จายซิงกลั่นยาอยู่ในโซนจนถึงขั้นตอนสุดท้าย
จากนั้นจึงเก็บยาและเตาอย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว และได้รับเสียงตะโกนเป็นกำลังใจจากเจ้าไป๋ นางจึงปัดมือแล้วลุกขึ้น ก่อนจะบิดขี้เกียจอีกหนึ่งที
เวลาในโซนเป็นหนึ่งเท่าของภายนอก นางกลั่นยาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ จนรู้สึกเหนื่อยล้า
“นายหญิงเก่งมากเลย! กลั่นยาล้างไขกระดูกขั้นห้าได้หนึ่งเตาภายในครั้งเดียว ไหนจะยารักษ์ทิพย์ขั้นห้าอีกหนึ่งเตา ยารักษ์จิตขั้นสี่สองเตา เท่ากับว่าได้ยาทั้งหมดสี่เตาเต็มๆ!”
หากคนภายนอกรู้ว่านายหญิงกลั่นยาโดยอั้นหู้ซ่วน คงจะตกใจจนอ้าปากค้างอย่างแน่นอน
อาจารย์กลั่นยาส่วนใหญ่มักจะกลั่นยาทีละเม็ด แต่นางกลับกลั่นได้ทีละเตา เตาหนึ่งได้ยาทั้งหมดอย่างน้อยหกเม็ดขึ้นไป บางครั้งก็กลั่นได้ถึงสิบเม็ดก็มี
“แน่นอน ให้รู้เสียบ้างว่าเจ้านายของแกคือใคร”
เย่จายซิงไม่ถ่อมตัวเลยสักนิด เพราะพลังจิตของนางมีเกินขีดจำกัดของร่างกายและค่อยๆ พัฒนาแข็งแกร่งขึ้นทีละนิด สิ่งที่สำคัญในการกลั่นยาคือการควบคุมพลังจิตดังนั้นความสามารถในการกลั่นยาของนางจึงแข็งแกร่งมากเช่นกัน
“เดี๋ยวๆ นายหญิง ท่านรีบกินยาชะล้างไขกระดูกเข้าไปก่อนสักเม็ดเถิด มันจะต้องช่วยชะล้างพิษออกไปได้มากอย่างแน่นอน”
เจ้าไป๋กล่าวอย่างตั้งหน้าตั้งตารอคอย
นางพยักหน้าพลางหยิบยาชะล้างไขกระดูกออกมาแล้วกลืนลงไปหนึ่งเม็ด
ยาชะล้างไขกระดูกออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว หลอดเลือดที่อุดตันราวกับถูกพลังงานบางอย่างชะล้างอย่างรุนแรง นางรู้สึกเจ็บจนไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป เย่จายซิงเหงื่อออกทั่วศีรษะ นางกัดฟันแน่น ไม่นานนักผิวของนางก็เริ่มปรากฏสิ่งสกปรกสีดำออกมาและส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง
“เจ้าไป๋! รีบไปเอาน้ำในบ่อมาล้างให้ข้าที เหม็นมากเลย ข้าทนไม่ไหวแล้ว!”
นางคลื่นไส้จนแทบจะอาเจียนออกมา
เจ้าไป๋เป็นวิญญาณมันจึงไม่ได้กลิ่น แต่เมื่อเห็นเจ้านายของตนมีสภาพน่าอนาจเช่นนี้ มันก็หัวเราะร่าพลางตักน้ำออกมาจากบ่อผดุงจิตแล้วสาดเข้าไปที่ตัวของนายหญิง
คราบสกปรกสีดำยังคงหลุดออกมาจากภายในร่างกายของนาง ภายในร่างนี้มีสิ่งเจือปนอยู่มาก แถยังมีพิษที่ได้รับตอนอยู่ในครรภ์มารดาอีก เมื่อชะล้างจนสะอาดแล้ว นางรู้สึกราวกับถูกถอดกระดูก ผิวของนางขาวขึ้นถึงสองเท่า
ใบหน้าที่เหลืองที่หมองของนางไม่ปรากฏริ้วรอยเล็กๆ อีก ผิวของนางนุ่มและอ่อนโยนราวกับผิวทารก
แต่รอยปานแดงบนใบหน้าของนางไม่ปรากฏการเปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด แต่การที่ผิวขาวขึ้นทำให้ขับปานแดงของนางให้ยิ่งเด่นชัดขึ้นมาอีก
“ยาชะล้างไขกระดูกไม่สามารถขจัดพิษจากรอยปานแดงนี้ได้”
ประกายในแววตาของเย่จายซิงหนาวเหน็บ รอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความท้ายทาย
ชักน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
คนพวกไหนที่วางยาพิษให้นางกลายเป็นเด็กขี้เหร่ตั้งแต่ในท้องแม่ และยาชนิดนี้ไม่ใช่ยาธรรมดา แน่นอนว่าราคาของมันจะต้องแพงมากเช่นกัน
ยอมเสียเงินมากมายขนาดนี้ เพื่อทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งกลายเป็นคนอัปลักษณ์ มันเป็นเพราะวัตถุประสงค์ใดกันแน่
“พระชายาตื่นแล้วหรือยังขอรับ”
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงของพ่อบ้านดังขึ้นมาจากจวนอ๋องด้านนอก
เย่จายซิงไม่รู้ว่าพ่อบ้านตามหานางด้วยเรื่องอะไร หลังจากออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็เปิดประตูออกไป
เมื่อพ่อบ้านเห็นนางก็รู้สึกว่านางผิวขาวขึ้น แต่เมื่อเหลือบไปเห็นปานแดงบนใบหน้าของนางก็ไม่กล้ามองอีกต่อไปได้แต่กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “พระชายา นายท่านเป็นกังวลที่ท่านไม่มีคนคอยรับใช้ แต่ที่ผ่านมาจวนอ๋องไม่เคยมีสาวใช้ จึงสั่งให้บ่าวไปซื้อสาวใช้มาสิบคน ตอนนี้ทั้งหมดมาพร้อมแล้ว หากพระชายาไม่ชอบก็สามารถขายออกไปได้”
“ข้าจะเอาสาวใช้มากมายขนาดนั้นไปทำไม ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้เลย”
นางไร้คำพูด ที่นี่คือโรงเตี๊ยม หากนางนำสาวใช้มามากมายขนาดนั้นจะไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกเกินไปหรอกหรือ
“ความหมายของนายท่านคือ ในอนาคตท่านจะเป็นพระชายาของอ๋องเซ่อเจิ้ง การเตรียมสาวใช้มาให้แค่สิบคนถือว่าไม่เป็นธรรมกับท่านแล้ว วันหน้าหากท่านเข้าจวนอ๋องมาแล้ว จะต้องมีสาวใช้ดูแลพระชายาเยอะกว่านี้แน่นอน”
ท่าทางของพ่อบ้านดูเป็นห่วงความรู้สึกของพระชายามาก ทำเอาเย่จายซิงยิ่งไร้คำพูด
“อย่างนั้นช่วยลดจำนวนลงหน่อยได้หรือไม่”
นางขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม
พ่อบ้านส่ายหน้า แล้วบอกว่าเป็นความต้องการของนายท่าน ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
นางไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่ต้องยอมรับสาวใช้ทั้งหมดเอาไว้ก่อน
พ่อบ้านให้สาวใช้ทั้งหมดเข้ามาแล้วกล่าวกับพวกนางว่า “หลังจากนี้พวกเจ้าต้องดูแลพระชายาให้ดี พระชายาคือคนที่มีอำนาจสูงสุดที่จะตัดสินความเป็นตายของพวกเจ้า หากพวกเจ้ามีใจเป็นอื่น ไม่ว่าใครก็จะต้องถูกสังหารสิ้น”
สาวใช้พากันพยักหน้าแล้วก้มหน้าคุกเข่าคารวะ “คารวะพระชายา ขอให้พระชายาสุขภาพแข็งแรง!”
ในฐานะที่เย่จายซิงเป็นคนที่อยู่ในยุคสมัยปัจจุบัน การโดนคุกเข่าให้เช่นนี้ทำให้นางไม่คุ้นชินนัก
“ลุกขึ้นเถิด ตอนนี้ข้ายังไม่ใช่พระชายา พวกเจ้าเรียกข้าว่าคุณหนูก็พอ”
“บ่าวมิกล้า!”
สาวใช้ส่งเสียงพร้อมกันโดยไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา
ดูท่าแล้วก่อนหน้านี้พ่อบ้านจะต้องสั่งการเอาไว้แน่นอน
เย่จายซิงไม่ทำให้พวกนางต้องลำบากจึงกล่าวอย่างเรียบง่ายว่า “พวกเจ้าเงยหน้าขึ้นมาเถิด ข้าต้องการสาวใช้สักคนที่หวีผมได้ ใครทำได้บ้าง”
สาวใช้เงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นใบหน้าของเย่จายซิง แววตาของสาวใช้ก็เริ่มอยู่ไม่สุข
สีหน้าของนางเรียบเฉย นางไม่อาจเข้าใจความคิดของเหล่าสาวใช้พวกนี้ได้ บางที่พวกนางอาจจะมีความคิดว่านางหน้าตาอัปลักษณ์แต่กลับเป็นชายาของอ๋องเซ่อเจิ้งได้ หรือบางทีพวกนางอาจจะมีความคิดอย่างอื่นอีก
แต่นางไม่สนใจ เพราะเดิมทีนางก็ตั้งใจว่าจะมาพักที่โรงเตี๊ยมนั้นเพียงไม่กี่วันเท่านั้น นางคงไม่ได้ใช้งานสาวใช้พวกนี้ตลอดไป
“บ่าวทำได้เจ้าค่ะ!”
“บ่าวก็ทำได้เจ้าค่ะ!”
มีสาวใช้ทั้งหมดสี่คนยกมือขึ้น