บัลลังก์ชายาหมอเทวดา - บทที่ 37 เจ้าเจตนา!
บทที่ 37 เจ้าเจตนา!
เย่จายซิงกะพริบตาปริบๆ คิดไม่ถึงว่าจวินหยวนจะให้เกียรตินางเช่นนี้
ไม่ว่าเขาจะซ่อนความลับใดเอาไว้ แต่เขาพูดเช่นนี้แล้ว ทำให้นางรู้สึกดียิ่งนัก
“พี่รอง เจ้าพระยาเซี่ย พวกท่านได้ยินหรือยัง ยังรู้สึกว่าข้าไม่มีปัญญาจ่ายหรือไม่?”
นางยกมุมปากขึ้น
สีหน้าของเซี่ยซือห้าวและเย่เจียหยูย่ำแย่ยิ่งนัก แต่ทั้งสองดันหวาดกลัวหวินหยวน จำต้องฝืนยิ้ม รอยยิ้มนั้นน่าเกลียดยิ่งกว่าภูตผี
“สมบัติของท่านอ๋อง พวกเราย่อมไม่กล้าสงสัย แค่ว่า…”
เซี่ยซือห้าวกำหมัดแน่น เขาอยากได้ยาทลายหล้า นอกจากยาหลานหล้าจะสามารถทำเงินมหาศาลได้แล้ว เขายังมีอีกหนึ่งจุดประสงค์ ซึ่งก็คือหากท่านพ่อสามารถศึกษาตำรับยาของยาทลายหล้าได้ เช่นนั้นเบื้องบนอาจจะชื่นชม แล้วย้ายท่านพ่อไปยังเฉินตู
หัวหน้าสำนักสาขาของแคว้นหงส์แดง ไม่อาจเทียบกับตำแหน่งเล็กๆ ในศูนย์สำนักเฉินตู เพียงแค่คิดก็รู้แล่วว่าศูนย์สำนักและสาขาแตกต่างกันมากเพียงใด
ทันทีที่เข้าไปในศูนย์สำนักได้ ตระกูลเซี่ยของพวกเขาอาจจะไปยังเฉินตู ข้ามขั้นได้สำเร็จ
ดังนั้น แม้จะหวาดกลัวอำนาจของอ๋องเซ่อเจิ้งและความเหี้ยมโหดของเขา แต่เซี่ยซือห้าวก็พูดขึ้น:
“แค่ว่า ยาทลายหล้าสำคัญกับข้ามาก ข้ายินดีจ่ายเงินเพิ่มอีกห้าล้านตำลึงทอง หวังว่าคุณหนูสี่จะเมตตา แซ่เซี่ยผู้นี้ซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
เมื่อก่อนเย่จายซิงชอบเขามากขนาดนั้น คำพูดในวันนี้ ไม่แน่อาจจะแค่เจตนาอยากให้เขาโมโหเพราะนางไม่ได้รับความรักจากเขา ตอนนี้เขายอมอ่อนข้อให้เล็กน้อย อ่อนโยนกับนางหน่อย ต้องทำให้นางหวั่นไหวอีกครั้งอย่างแน่นอน
แต่ภายในใจของเขายังคงรังเกียจเย่จายซิงอย่างมาก บนโลกใบนี้ไม่มีผู้ใดชมชอบสตรีอัปลักษณ์ ไม่รู้ว่าอ๋องเซ่อเจิ้งเป็นโรคประหลาดใด จึงดีกับนางเช่นนี้
เย่จายซิงยิ้มตาหยี ทว่าแววตาของนางกลับแผ่ซ่านด้วยความเยือกเย็น
หากนางเดาไม่ผิดละก็ เซี่ยซือห้าวต้องประมูลยาทลายหล้าให้ได้ ดังนั้นจึงยอมพูดเสียงอ่อนเช่นนี้
เพียงคิดว่าได้กำไรเพิ่มหกล้านโดยไม่เสียแรง รอยยิ้มของนางกว้างมากยิ่งขึ้น
หากทลายหล้าสามารถศึกษาอย่างง่ายดาย เช่นนั้นตำรับยาของยาทลายหล้าคงไม่สูญเสียการสืบทอดง่ายๆ ดังนั้น เซี่ยซือห้าวซื้อยากลับไปด้วยเงินมหาศาลเช่นนี้ สุดท้ายก็สูญเปล่า
ครุ่นคิด นางอารมณ์ดียิ่งนัก
“ในเมื่อเจ้าพระยาพูดเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นข้ายอมให้ท่านก็ได้”
ความหมายของนางก็คือไม่บวกราคาเพิ่มแล้ว เซี่ยซือห้าวโล่งอก ภายในใจเย้ยหยัน เย่จายซิงยังหลงใหลในตัวเขาจริงๆ ด้วย
“น้องซิง”
เวลานี้ บุรุษในห้องรับรองบนชั้นสอง ส่งเสียงดังขึ้น ราวกับหิมะบนยอดเขา ที่ไม่ละลายตลอดทั้งปี
“ขึ้นมา”
หลังจากนั้นองครักษ์ลับก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเย่จายซิง พานางขึ้นไปยังห้องรับรอง
นางเม้มริมฝีปาก แต่สุดท้ายก็เดินตามขึ้นไป เขาให้เกียรตินางเช่นนี้แล้ว ตนไม่อาจไม่ให้เกียรติเขาต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้กระมัง?
แค่ว่านางสงสัย เขาโกรธเคืองเรื่องอะไร?
เย่เจียหยูมองแผ่นหลังของนาง กัดฟันแน่น นั่นคือห้องรับรองเพียงห้องเดียวของงานประมูลผานหลง นอกจากอ๋องเซ่อเจิ้งแล้วผู้อื่นไม่อาจเข้าไป เย่จายซิงมีสิทธิ์ใดในการเข้าไป!
เมื่อไปถึงห้องรับรอง เย่จายซิงพบว่าห้องนี้มีขนาดใหญ่มาก น้ำดื่ม ชาและผลไม้ล้วนครบคัน ไม่ว่าจะอยู่มุมใดก็มองเห็นทุกอย่าง
สมกับเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในแคว้นหงส์แดงจริงๆ แม้แต่เข้าร่วมงานประมูล ยังสบายราวกับอยู่บ้านตนเอง
“เสด็จอา ไม่คิดว่าท่านจะมาร่วมงานประมูลด้วย”
นางยิ้ม ไม่พูดถึงเรื่องที่นางสลัดเหยียนเฟิงทิ้งกลางทาง
ภายในห้องมีพวกเขาเพียงสองคนเท่านั้น จวินหยวนไม่ได้สวมหน้ากาก เผยให้เห็นใบหน้าที่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ล้วนหล่อเหลา ทว่าแววตาของเขากลับเยือกเย็น
เขาโบกมือให้นาง เรียกนางเข้าไปใกล้
“มานั่งที่นี่”
นางเห็นเขานั่งบนเก้าอี้ มองดูรอบๆ ไม่มีเก้าอี้ตัวที่สอง หรือว่าจะให้นางนั่งบนตักของเขา?
นางยิ้มแห้งแล้วพูด:
“หึๆ เสด็จอา ข้ายืนก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
“น้องซิงไม่เชื่อฟังอย่างมาก เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรดี จับเจ้าขังเอาไว้ดีหรือไม่?”
นัยน์ตาของเขามีพายุก่อตัว ดวงตาสีนิลเยือกเย็น เสียงของเขายังคงไพเราะ ทว่าเคล้าไปด้วยความอันตราย ทำให้เย่จายซิงขนลุกเล็กน้อย
เขาไม่ชอบให้ผู้อื่นขัดคำสั่ง เขาชอบคนที่เชื่อฟัง
เย่จายซิงเข็ดฟัน หากนางมีความสามารถเหนือผู้คน ต้องข่วนหน้าเขาอย่างแน่นอน แต่นางทั้งอ่อนแอและโง่เขลา ทำได้เพียงเก็บกรงเล็บ แกล้งทำเป็นแมวเชื่อง
สุดท้ายนางก็เดินไปหาเขา ทว่านางเดินไปด้านหลังเขา นวดหัวไหล่ของเขา แล้วพูดประจบ:
“เสด็จอา ท่านต้องเหนื่อยมากกระมัง น้องซิงนวดไหล่ให้ท่าน”
เป็นไปไม่ได้ที่จะนั่งบนตักของเขา หึ คนลามก
แม้ใบหน้าของนางจะมีปาน ไม่งดงาม แต่เรือนร่างของนางอรชร อีกทั้งเจ้าไป๋ที่อยู่ในห้วงอากาศให้นางดื่มน้ำทิพย์ทุกวัน ทำให้เอวของนางคอด ผิวของนางก็อ่อนโยนกว่าเดิม ผิวขาวใสและนุ่มนวล เด้งดึ๋ง บวกกับกลิ่นหอมในร่างกายของนาง
หากให้เขาได้ชิม กักขังนางขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นนางอยากร้องไห้ก็คงร้องไม่ออก
นางยืนอยู่ด้านหลังเขา ย่อมมองไม่เห็น หลังจากนางนวดไหล่ให้เขาด้วยความอ่อนโยนแล้ว สีหน้าของเขาอ่อนโยน
เห็นเขาไม่คัดค้าน เย่จายซิงโล่งอก นวดไหล่ให้เขา แล้วมองงานประมูล
ยาทลายหล้าถูกเซี่ยซือห้าวประมูลไปแล้ว สิ่งของประมูลชิ้นที่สองถูกนำขึ้นมา คือาอวุธขั้นหกประเภทโจมตี
นางไม่สนใจ เพราะถึงอย่างไนางในตอนนี้แม้แต่ฝึกยุทธ์ก็ฝึกไม่ได้ ไม่อาจใช้อาวุธได้
สิ่งของที่นำมาประมูลชั้นที่สามและชิ้นที่สี่นางล้วนไม่สนใจ นางตั้งหน้าตั้งตารอให้รีบนำอัคคีผนึกนภากาฬออกมา จะได้รีบประมูลแล้วกลับไป นางไม่อยากอยู่ในห้องเดียวกับจวินหยวนจริงๆ ความรู้สึกที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาทำให้คนกดดัน
สุดท้ายนางนวดจนเมื่อยแล้ว กระทั่งสิ่งประมูลชิ้นที่สิบ อัคคีผนึกนภากาฬก็ยังไม่ออกมา
ได้ยินว่าสิ่งประมูลในงานประมูลครั้งนี้มีทั้งหมดสิบสองชิ้น ตอนนี้เหลือสองชิ้นสุดท้ายแล้ว นางเริ่มสงสัย หรือว่าเหยียนเฟิงได้ยินมาผิด?
เมื่อนางเหม่อลอย น้ำหนักที่มือก็อ่อนแรง มือน้อยๆ ของนางราวกับสัตว์อสูรตัวน้อยไร้กระดูกที่เจตนายั่วยวนไฟราคะบนตัวบุรุฒ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของนางทำให้ดวงตาของจวินหยวนลุ่มลึก เขายื่นมือออกไป ดึงตัวนางจนหมุนครึ่งหนึ่ง แล้วถูกเขากดลงบนต้นขา
“น้องซิง เจ้าตั้งใจหรือ?”
ลมหายใจอุ่นๆ ของเขารินรดที่หน้าของนาง
เย่จายซิงฉงน ตั้งใจอะไรกัน?
หลังจากนั้น นางก็ตกตะลึง นางเกือบจะกลายเป็นก้อนหิน ใบหน้าของนางแดงก่ำ
น่า! รัง! เกียจ! ยิ่ง! นัก!
ไม่เคยกินเนื้อหมู แล้วยังไม่เคยเห็นหมูวิ่ง? นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร!
เย่จายซิงเด้งตัวลุกขึ้น แก้มของนางแดงก่ำราวกับกุ้งต้มสุก แดงจะแทบจะกลั่นเลือดออกมาได้แล้ว นางกัดริมฝีปากล่าง หัวใจเต้นแรง
ผู้ชายบ้า ไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร! ถึงทำให้นางสัมผัสได้!
จวินหยวนมองท่าทีเขินอายของนาง เขาหัวเราะเสียงเบา แววตาเปี่ยมไปด้วยความดีใจ ลุกขึ้นช้าๆ
“ท่าน ท่านอย่าเข้ามา…”
เย่จายซิงมองเขาด้วยความหวาดระแวง